ศาลสั่งจำคุกตลอดชีวิต 4 จำเลยยิงเอ็ม 79 ใส่ กปปส. หน้าบิ๊กซีราชดำริ
ที่ศาลอาญากรุงเทพใต้ ถ.เจริญกรุง 63 วันที่ 4 ก.ย.58 เวลา 09.00 น. ศาลอ่านคำพิพากษา คดีหมายเลขดำ อ.3734/2557พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญากรุงเทพใต้ 4 เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง
นายชัชวาล หรือชัช ปราบบำรุง อายุ 45 ปี ,
นายสมศรี มาฤทธิ์ อายุ 40 ปี ,
นายสุนทร ผิผ่วนนอก อายุ 49 ปี และ
นายทวีชัย วิชาคำ อายุ 39 ปี เป็นจำเลยที่ 1-4 ในความผิดต่อชีวิตฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน , ร่วมกันพยายามฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน , ทำร้ายร่างกาย , พ.ร.บ.อาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนฯ พ.ศ.2490 และความผิด ตามพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548...
...ศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานแล้วเห็นว่า หลักฐานที่จำเลยนำสืบมา ไม่อาจหักล้างพยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบได้ จึงพิพากษาว่า จำเลยทั้งสี่ มีความผิดตามฟ้อง ให้ประหารชีวิตสถานเดียว
แต่คำให้การของจำเลย เป็นประโยชน์ต่อการพิจารณา จึงลดโทษให้ 1 ใน 3 คงจำคุกจำเลยทั้งสี่ไว้ตลอดชีวิต และให้จำเลยร่วมกันชดใช้ค่าสินไหมทดแทนผู้บาดเจ็บ 534,700 บาท ด้วย
http://www.manager.co.th/Crime/ViewNews.aspx?NewsID=9580000100324
...
ชัชวาลซึ่งถูกจับกุมเป็นคนแรก เขาและภรรยาถูกจับกุมกลางสี่แยกในเชียงราย หลังจากเดินทางไปทำธุระด้านที่ดิน โดยเจ้าหน้าที่ทหารราว 50 คนพร้อมอาวุธครบมือได้เข้าล้อมและควบคุมตัวขึ้นรถตู้
เขาถูกปิดตาโดยตลอดและถูกข่มขู่ว่าให้สารภาพมาให้หมดไม่เช่นนั้นภรรยาของเขา ที่เดินทางมาด้วยกันและถูกคุมตัวแยกในรถอีกคัน
อาจจะไม่ปลอดภัย เขาคาดเดาว่าเจ้าหน้าที่ทหารนำตัวเข้ากรุงเทพฯ
เมื่อถึงที่หมายเขาถูกมัดมือไพล่หลังและถูก
ทำร้ายร่างกายโดยชายสวมหน้ากากรูปสัตว์ 2 คนประมาณครึ่งชั่วโมง จากนั้นถูกนำตัวไปขึ้นรถตู้และถูกทำร้ายร่างกายเป็นระยะอีกราว 3-4 ชม. ก่อนถูกนำตัวเข้าไปในอาคารและเขาคิดว่าถูกพาเดินลงไปห้องใต้ดิน
มีการนำสายไฟพันสำลียัดเข้าไปในช่องทวารหนัก อีกส่วนหนึ่งนำมามัดที่อวัยวะเพศ เอาน้ำราดแล้วปล่อยกระแสไฟช็อต เมื่อร้องก็ถูกถุงพลาสติกดำคลุมศีรษะทำให้ร้องไม่ได้และหายใจติดขัด นอกจากนี้ยังมีการนำปืนพกสั้นยัดใส่ปากพร้อมบังคับให้สารภาพว่านำอาวุธไปซ่อนไว้ที่ใด
ภรรยาของชัชวาลที่เดินทางมาด้วยกัน แม้จะไม่ใช่เป้าหมายแต่ก็ถูกจับกุมและควบคุมตัวไว้หลายวันเช่นกัน จึงได้รับการปล่อยตัวแต่ภายหลังก็ถูกตั้งข้อหาเกี่ยวกับอาวุธสงคราม และออกหมายจับ
สุนทรและทวีชัย ถูกทหารจับพร้อมกัน ในวันที่ 8 ก.ค. 2557 ประมาณบ่าย 2 โมง
เนื่องจากทวีชัยนำรถจักรยานยนต์ไปซ่อมที่ร้านของสุนทรและเป็นบ้านของสุนทรด้วย
โดยบุคคลที่คาดว่าน่าจะเป็นทหารนอกเครื่องแบบสั่งให้นอนคว่ำเอามือไพล่หลังแล้วใช้สายเคเบิลรัดแขน นำผ้าสีดำมาปิดตาและนำหมวกคลุมมาคลุมหัว เมื่อสุนทรพูดร้องขอชีวิตทหารก็เอาเท้ามากระทืบกลางหลังและนำตัวสุนทรเเละทวีชัยขึ้นรถไปพร้อมกับจับกุมลูกชายของนายสุนทรซึ่งช่วยงานอยู่ที่ร้านไปด้วยทั้งหมดถูกปิดตาด้วยผ้าสีดำเหมือนกันและถูกนำตัวขึ้นรถมาที่ค่ายทหารแห่งหนึ่งถึงเวลาประมาณ 5 โมงเย็น โดยการเดินทางทหารนำพวกเขาเปลี่ยนรถระหว่างทางหนึ่งครั้ง โดยลูกชายของสุนทรถูกแยกไปรถอีกคันโดยนายสุนทรไม่ได้พบและไม่ได้ข่าวลูกชายอีกเลยในระหว่างที่ถูกควบคุมตัว
สมศรี ถูกทหารจับกุมที่บ้านย่านดอนเมืองในวันที่ 8 ก.ค. หลังจากรับลูกมาจากโรงเรียน เวลา 16.00 น. ทหารที่มาจับกุมมีอาวุธทั้งปืนสั้นและเอ็ม16 ทหารได้ยึดรถยนต์ TOYOTA สีดํา หมายเลข ฒษ 4664 กทม. 1 คัน และยึดโทรศัพท์มือถือ 1 เครื่อง
เขาถูกนําตัวขึ้นรถเก๋ง สีบรอนซ์เงิน โดยใส่กุญแจมือ ถูกสวมหมวกคลุมปิดตา และถูกให้นอนคว่ำหน้ากับพื้นเอาเข่าและศอกกดไว้ ระหว่างทางเขาถูกบังคับให้รับว่าไปยิงที่ราชประสงค์ เพราะมีคนอื่นซัดทอดมาแล้ว ถูกกดอยู่ในรถประมาณ 1 ชั่วโมง
ซึ่งสุนทร ทวีชัย และสมศรี เล่าว่าระหว่างการสอบสวนมีการทำร้ายร่างกายและการข่มขู่เอาชีวิตเช่นเดียวกับกรณีของชัชวาลจึงรับสารภาพด้วยเช่นกัน
https://tlhr2014.wordpress.com/2015/09/03/weapon_m79_bigc/
ในคำพิพากษา มีบรรยายเรื่องการก่อเหตุ และการทำร้ายผู้ต้องหา ว่า
...ประเด็นต่อมาจำเลยได้กระทำความผิดจริงหรือไม่ พ.ต.อ.อัคราเดช พิมลศรี ได้เข้าเป็นหนึ่งในคณะ คสช. ตาม พ.ร.บ.กฎอัยการศึก และเข้าร่วมการสอบสวนจำเลยที่ค่ายทหารเมื่อวันที่ 10 ก.ค. 2557 จำเลยทั้ง 4 รับสารภาพว่าได้ลงมือกระทำ
โดยจำเลยที่ 1 เป็นผู้ขับรถนำขบวน จำเลยที่ 2 เป็นผู้ขับรถปิดท้ายขบวน จำเลยที่ 3 เป็นผู้ซ่อมอาวุธ และจำเลยที่ 4 เป็นผู้ยิง ที่จำเลยให้การว่าถูกทำร้ายร่างกายระหว่างการสอบสวนนั้น พ.ต.อ.อัคราเดชได้ให้การว่าในระหว่างการสอบสวนไม่มีการทำร้ายร่างกาย และยืนยันว่าจำเลยให้การโดยสมัครใจ เนื่องจากพยานเป็นตำรวจชั้นผู้ใหญ่มีความน่าเชื่อถือจึงรับฟังได้...
คดีนี้ มีประเด็นที่ "น่าสงสัย" อย่างยิ่ง
เหตุเกิดตอนเย็น ซึ่งถือว่าเป็นเวลากลางวัน ใครไปใครมาเห็นชัดเจน
จำเลยบอกว่าขับรถ "3 คัน" ขึ้นไปยิงเอ็ม 79 จากสะพานข้ามแยกประตูน้ำ
น่าสงสัยคือ
วันเกิดเหตุ 23 ก.พซ 2557 นั้น สะพานข้ามแยกประตูน้ำถูกม็อบ กปปส. ปิด
ปิดมาตั้งแต่วันที่ 22 ก.พ. ด้วยข้ออ้างเพื่อความปลอดภัย
เมื่อม็อบ กปปส. ปิดสะพานข้ามแยกประตูน้ำ แล้วขับรถตั้ง 3 คัน ขึ้นไปก่อเหตุได้อย่างไร ???
หลังเกิดเหตุ 24 ก.พ. ก็เปิดสะพานข้ามแยกประตูน้ำ ด้วยข้ออ้าง แก้ปัญหารถติด
พิลึก เพื่อความปลอดภัย ปิดสะพาน (ก็ยึดสะพานนั่นแหละ) แต่ปล่อยให้รถตั้ง 3 คันขึ้นไปยิงเอ็ม 79 แล้วหนีได้สบาย ๆ
เพื่อความปลอดภัยอย่างไรไม่รู้ เกิดเหตุปั๊บ เปิดสะพานปุ๊บ
ย้อนแย้ง กลับหน้ากลับหลัง
เรื่องเผาศาลากลางเหมือนกัน หากเอาแต่ฟังผลของคดี โดยไม่สืบค้นข้อมูลว่า แต่ละคนที่โดนนั้น
ขณะเกิดเหตุ วันเกิดเหตุ พวกเขาทำอะไรบ้าง ก็จะไม่รู้รายละเอียด รู้ข้อมูล มองเห็นข้อเท็จจริงได้เลยว่า เกิดอะไรขึ้น
ยกตัวอย่างสักเรื่อง
คุณพี่
pongsri ล็อคอินในราชดำเนินนี่แหละครับ เป็นครูบาอาจารย์ ลูกศิษย์ลูกหาเต็มเมืองอุบลฯ
ยังได้รับโอกาสติดคุกฟรีตั้ง 28 วัน น่าอิจฉาจริง ๆเพราะดันเป็นหนึ่งที่ติดอยู่ในรูปถ่ายที่ทางเจ้าหน้าที่ถ่ายไว้ในวันเกิดเหตุเผาศาลากลางอุบลฯ
ดีครับที่มีลูกศิษย์ลูกหาเป็นเจ้าหน้าที่เรือนจำ มีลูกศิษย์ลูกหาเต็มเมือง เป็นข้าราชการชั้นผู้ใหญ่
หากเป็นตาสีตาสา ไม่มียศศักดินาอำมาตย์ติดตัว อาจโชคดีกว่า 28 วันเป็น 13 ปีก็ได้
น่าเสียดายจริง ๆ

ทั้งหมด นำมาให้อ่านเพื่อพิจารณาครับ
อ่านแล้วขอให้นึกถึงเรื่อง 11 นักรบแดงให้มาก ๆ ที่จับจากเชียงราย(หรือเชียงใหม่นี่แหละ) ในปี 53 หลังเหตุการณ์ 99 ศพ
ตอนนั้นก็แถลงข่าวใหญ่โต ว่าพวกนี้ไปฝึกอาวุธมาจากเขมร มีเป้าหมายสังหารบุคคลสำคัญ
ลูกเมียเขาไม่รู้จะหาใครช่วย ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าผัว พ่อ โดนเอาตัวไปไว้ที่ไหน
ก็ได้แต่ร้องขอผ่านสื่อว่า กรุณาปล่อยตัวด้วย (ก็น่าสงสารครับ ใช้แรงงานหาเช้ากินค่ำ เป็นคนงานก่อสร้าง เจอแบบนี้)
กลางปี 54 หลังจากกักขังไว้เกือบปี ก็แอบปล่อยตัวเงียบ ๆ ไม่มีข่าว ไม่มีข้อหาใด ๆ
ไม่สามารถเรียกร้องใด ๆ ได้ เงียบสนิท ไม่กล้ามากเรื่องเพราะกลัวจะโดนอีก
ทั้งหมดทั้งมวลคือเรื่องความเป็นธรรมครับ
ความเป็นธรรมต้องมี ไม่ว่าใครคนนั้นจะผิดจริงหรือไม่ก็ตาม
เราประชาชน อย่าปล่อยให้เรื่องความไม่เป็นธรรมกลายเป็นเรื่องปกติของบ้านเมือง
เพียงเพื่อตอบสนองอารมณ์ความรู้สึกสะใจเท่านั้น
ไม่งั้นสักวันหนึ่ง เมื่อบ้านเมืองไร้ธรรม ไม่มีความเป็นธรรมมาก ๆ เข้า
เราทุกคนจะได้รับผลกระทบไปด้วยกัน อย่างไม่มีทางหลบเลี่ยงได้ และจะไม่มีใครลุกขึ้นต่อต้านความไม่เป็นธรรมให้เรา ให้บ้านเมือง
เห็นเล่นเรื่องเสื้อแดงขอนแก่นโดนจำคุกข้อหาเผาศาลากลาง ชักเบื่อ เลยเอาอีกเรื่องมาให้อ่านกันเล่น ๆ ดีกั่ว
ที่ศาลอาญากรุงเทพใต้ ถ.เจริญกรุง 63 วันที่ 4 ก.ย.58 เวลา 09.00 น. ศาลอ่านคำพิพากษา คดีหมายเลขดำ อ.3734/2557พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญากรุงเทพใต้ 4 เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง นายชัชวาล หรือชัช ปราบบำรุง อายุ 45 ปี , นายสมศรี มาฤทธิ์ อายุ 40 ปี , นายสุนทร ผิผ่วนนอก อายุ 49 ปี และนายทวีชัย วิชาคำ อายุ 39 ปี เป็นจำเลยที่ 1-4 ในความผิดต่อชีวิตฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน , ร่วมกันพยายามฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน , ทำร้ายร่างกาย , พ.ร.บ.อาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนฯ พ.ศ.2490 และความผิด ตามพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548...
...ศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานแล้วเห็นว่า หลักฐานที่จำเลยนำสืบมา ไม่อาจหักล้างพยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบได้ จึงพิพากษาว่า จำเลยทั้งสี่ มีความผิดตามฟ้อง ให้ประหารชีวิตสถานเดียว
แต่คำให้การของจำเลย เป็นประโยชน์ต่อการพิจารณา จึงลดโทษให้ 1 ใน 3 คงจำคุกจำเลยทั้งสี่ไว้ตลอดชีวิต และให้จำเลยร่วมกันชดใช้ค่าสินไหมทดแทนผู้บาดเจ็บ 534,700 บาท ด้วย
http://www.manager.co.th/Crime/ViewNews.aspx?NewsID=9580000100324
...ชัชวาลซึ่งถูกจับกุมเป็นคนแรก เขาและภรรยาถูกจับกุมกลางสี่แยกในเชียงราย หลังจากเดินทางไปทำธุระด้านที่ดิน โดยเจ้าหน้าที่ทหารราว 50 คนพร้อมอาวุธครบมือได้เข้าล้อมและควบคุมตัวขึ้นรถตู้ เขาถูกปิดตาโดยตลอดและถูกข่มขู่ว่าให้สารภาพมาให้หมดไม่เช่นนั้นภรรยาของเขา ที่เดินทางมาด้วยกันและถูกคุมตัวแยกในรถอีกคันอาจจะไม่ปลอดภัย เขาคาดเดาว่าเจ้าหน้าที่ทหารนำตัวเข้ากรุงเทพฯ
เมื่อถึงที่หมายเขาถูกมัดมือไพล่หลังและถูกทำร้ายร่างกายโดยชายสวมหน้ากากรูปสัตว์ 2 คนประมาณครึ่งชั่วโมง จากนั้นถูกนำตัวไปขึ้นรถตู้และถูกทำร้ายร่างกายเป็นระยะอีกราว 3-4 ชม. ก่อนถูกนำตัวเข้าไปในอาคารและเขาคิดว่าถูกพาเดินลงไปห้องใต้ดิน มีการนำสายไฟพันสำลียัดเข้าไปในช่องทวารหนัก อีกส่วนหนึ่งนำมามัดที่อวัยวะเพศ เอาน้ำราดแล้วปล่อยกระแสไฟช็อต เมื่อร้องก็ถูกถุงพลาสติกดำคลุมศีรษะทำให้ร้องไม่ได้และหายใจติดขัด นอกจากนี้ยังมีการนำปืนพกสั้นยัดใส่ปากพร้อมบังคับให้สารภาพว่านำอาวุธไปซ่อนไว้ที่ใด
ภรรยาของชัชวาลที่เดินทางมาด้วยกัน แม้จะไม่ใช่เป้าหมายแต่ก็ถูกจับกุมและควบคุมตัวไว้หลายวันเช่นกัน จึงได้รับการปล่อยตัวแต่ภายหลังก็ถูกตั้งข้อหาเกี่ยวกับอาวุธสงคราม และออกหมายจับ
สุนทรและทวีชัย ถูกทหารจับพร้อมกัน ในวันที่ 8 ก.ค. 2557 ประมาณบ่าย 2 โมง เนื่องจากทวีชัยนำรถจักรยานยนต์ไปซ่อมที่ร้านของสุนทรและเป็นบ้านของสุนทรด้วย โดยบุคคลที่คาดว่าน่าจะเป็นทหารนอกเครื่องแบบสั่งให้นอนคว่ำเอามือไพล่หลังแล้วใช้สายเคเบิลรัดแขน นำผ้าสีดำมาปิดตาและนำหมวกคลุมมาคลุมหัว เมื่อสุนทรพูดร้องขอชีวิตทหารก็เอาเท้ามากระทืบกลางหลังและนำตัวสุนทรเเละทวีชัยขึ้นรถไปพร้อมกับจับกุมลูกชายของนายสุนทรซึ่งช่วยงานอยู่ที่ร้านไปด้วยทั้งหมดถูกปิดตาด้วยผ้าสีดำเหมือนกันและถูกนำตัวขึ้นรถมาที่ค่ายทหารแห่งหนึ่งถึงเวลาประมาณ 5 โมงเย็น โดยการเดินทางทหารนำพวกเขาเปลี่ยนรถระหว่างทางหนึ่งครั้ง โดยลูกชายของสุนทรถูกแยกไปรถอีกคันโดยนายสุนทรไม่ได้พบและไม่ได้ข่าวลูกชายอีกเลยในระหว่างที่ถูกควบคุมตัว
สมศรี ถูกทหารจับกุมที่บ้านย่านดอนเมืองในวันที่ 8 ก.ค. หลังจากรับลูกมาจากโรงเรียน เวลา 16.00 น. ทหารที่มาจับกุมมีอาวุธทั้งปืนสั้นและเอ็ม16 ทหารได้ยึดรถยนต์ TOYOTA สีดํา หมายเลข ฒษ 4664 กทม. 1 คัน และยึดโทรศัพท์มือถือ 1 เครื่อง เขาถูกนําตัวขึ้นรถเก๋ง สีบรอนซ์เงิน โดยใส่กุญแจมือ ถูกสวมหมวกคลุมปิดตา และถูกให้นอนคว่ำหน้ากับพื้นเอาเข่าและศอกกดไว้ ระหว่างทางเขาถูกบังคับให้รับว่าไปยิงที่ราชประสงค์ เพราะมีคนอื่นซัดทอดมาแล้ว ถูกกดอยู่ในรถประมาณ 1 ชั่วโมง
ซึ่งสุนทร ทวีชัย และสมศรี เล่าว่าระหว่างการสอบสวนมีการทำร้ายร่างกายและการข่มขู่เอาชีวิตเช่นเดียวกับกรณีของชัชวาลจึงรับสารภาพด้วยเช่นกัน
https://tlhr2014.wordpress.com/2015/09/03/weapon_m79_bigc/
ในคำพิพากษา มีบรรยายเรื่องการก่อเหตุ และการทำร้ายผู้ต้องหา ว่า
...ประเด็นต่อมาจำเลยได้กระทำความผิดจริงหรือไม่ พ.ต.อ.อัคราเดช พิมลศรี ได้เข้าเป็นหนึ่งในคณะ คสช. ตาม พ.ร.บ.กฎอัยการศึก และเข้าร่วมการสอบสวนจำเลยที่ค่ายทหารเมื่อวันที่ 10 ก.ค. 2557 จำเลยทั้ง 4 รับสารภาพว่าได้ลงมือกระทำโดยจำเลยที่ 1 เป็นผู้ขับรถนำขบวน จำเลยที่ 2 เป็นผู้ขับรถปิดท้ายขบวน จำเลยที่ 3 เป็นผู้ซ่อมอาวุธ และจำเลยที่ 4 เป็นผู้ยิง ที่จำเลยให้การว่าถูกทำร้ายร่างกายระหว่างการสอบสวนนั้น พ.ต.อ.อัคราเดชได้ให้การว่าในระหว่างการสอบสวนไม่มีการทำร้ายร่างกาย และยืนยันว่าจำเลยให้การโดยสมัครใจ เนื่องจากพยานเป็นตำรวจชั้นผู้ใหญ่มีความน่าเชื่อถือจึงรับฟังได้...
คดีนี้ มีประเด็นที่ "น่าสงสัย" อย่างยิ่ง
เหตุเกิดตอนเย็น ซึ่งถือว่าเป็นเวลากลางวัน ใครไปใครมาเห็นชัดเจน
จำเลยบอกว่าขับรถ "3 คัน" ขึ้นไปยิงเอ็ม 79 จากสะพานข้ามแยกประตูน้ำ
น่าสงสัยคือ วันเกิดเหตุ 23 ก.พซ 2557 นั้น สะพานข้ามแยกประตูน้ำถูกม็อบ กปปส. ปิด
ปิดมาตั้งแต่วันที่ 22 ก.พ. ด้วยข้ออ้างเพื่อความปลอดภัย
เมื่อม็อบ กปปส. ปิดสะพานข้ามแยกประตูน้ำ แล้วขับรถตั้ง 3 คัน ขึ้นไปก่อเหตุได้อย่างไร ???
หลังเกิดเหตุ 24 ก.พ. ก็เปิดสะพานข้ามแยกประตูน้ำ ด้วยข้ออ้าง แก้ปัญหารถติด
พิลึก เพื่อความปลอดภัย ปิดสะพาน (ก็ยึดสะพานนั่นแหละ) แต่ปล่อยให้รถตั้ง 3 คันขึ้นไปยิงเอ็ม 79 แล้วหนีได้สบาย ๆ
เพื่อความปลอดภัยอย่างไรไม่รู้ เกิดเหตุปั๊บ เปิดสะพานปุ๊บ
ย้อนแย้ง กลับหน้ากลับหลัง
เรื่องเผาศาลากลางเหมือนกัน หากเอาแต่ฟังผลของคดี โดยไม่สืบค้นข้อมูลว่า แต่ละคนที่โดนนั้น
ขณะเกิดเหตุ วันเกิดเหตุ พวกเขาทำอะไรบ้าง ก็จะไม่รู้รายละเอียด รู้ข้อมูล มองเห็นข้อเท็จจริงได้เลยว่า เกิดอะไรขึ้น
ยกตัวอย่างสักเรื่อง
คุณพี่ pongsri ล็อคอินในราชดำเนินนี่แหละครับ เป็นครูบาอาจารย์ ลูกศิษย์ลูกหาเต็มเมืองอุบลฯ
ยังได้รับโอกาสติดคุกฟรีตั้ง 28 วัน น่าอิจฉาจริง ๆเพราะดันเป็นหนึ่งที่ติดอยู่ในรูปถ่ายที่ทางเจ้าหน้าที่ถ่ายไว้ในวันเกิดเหตุเผาศาลากลางอุบลฯ
ดีครับที่มีลูกศิษย์ลูกหาเป็นเจ้าหน้าที่เรือนจำ มีลูกศิษย์ลูกหาเต็มเมือง เป็นข้าราชการชั้นผู้ใหญ่
หากเป็นตาสีตาสา ไม่มียศศักดินาอำมาตย์ติดตัว อาจโชคดีกว่า 28 วันเป็น 13 ปีก็ได้
น่าเสียดายจริง ๆ
ทั้งหมด นำมาให้อ่านเพื่อพิจารณาครับ
อ่านแล้วขอให้นึกถึงเรื่อง 11 นักรบแดงให้มาก ๆ ที่จับจากเชียงราย(หรือเชียงใหม่นี่แหละ) ในปี 53 หลังเหตุการณ์ 99 ศพ
ตอนนั้นก็แถลงข่าวใหญ่โต ว่าพวกนี้ไปฝึกอาวุธมาจากเขมร มีเป้าหมายสังหารบุคคลสำคัญ
ลูกเมียเขาไม่รู้จะหาใครช่วย ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าผัว พ่อ โดนเอาตัวไปไว้ที่ไหน
ก็ได้แต่ร้องขอผ่านสื่อว่า กรุณาปล่อยตัวด้วย (ก็น่าสงสารครับ ใช้แรงงานหาเช้ากินค่ำ เป็นคนงานก่อสร้าง เจอแบบนี้)
กลางปี 54 หลังจากกักขังไว้เกือบปี ก็แอบปล่อยตัวเงียบ ๆ ไม่มีข่าว ไม่มีข้อหาใด ๆ
ไม่สามารถเรียกร้องใด ๆ ได้ เงียบสนิท ไม่กล้ามากเรื่องเพราะกลัวจะโดนอีก
ทั้งหมดทั้งมวลคือเรื่องความเป็นธรรมครับ
ความเป็นธรรมต้องมี ไม่ว่าใครคนนั้นจะผิดจริงหรือไม่ก็ตาม
เราประชาชน อย่าปล่อยให้เรื่องความไม่เป็นธรรมกลายเป็นเรื่องปกติของบ้านเมือง
เพียงเพื่อตอบสนองอารมณ์ความรู้สึกสะใจเท่านั้น
ไม่งั้นสักวันหนึ่ง เมื่อบ้านเมืองไร้ธรรม ไม่มีความเป็นธรรมมาก ๆ เข้า
เราทุกคนจะได้รับผลกระทบไปด้วยกัน อย่างไม่มีทางหลบเลี่ยงได้ และจะไม่มีใครลุกขึ้นต่อต้านความไม่เป็นธรรมให้เรา ให้บ้านเมือง