ปฐมบท...
จุดเริ่มต้นของการเดินทางนี้จริงๆ ของผมนั้นต้องนับย้อนไป ถึง 15 ปี นับตั้งแต่วันที่ได้รู้จักคำว่าประเทศญี่ปุ่นจากบทเพลง ของวง L'Arc en Ciel ซึ่งบังเอิญคืนนึงผมนอนดึกแล้วได้ดูรายการเพลงรายการนึง (พิธีกรนามสกุลผุงประเสริฐมั้งครับ) แล้วเกิดอาการตะลึง ว่ามันช่างเท่อะไรเช่นนี้ 555 จากนั้นมาผมก็ชอบวงนี้ขึ้นมาทันทีแล้วเริ่มชอบอะไรที่เป็นญี่ปุ่นๆ แต่ตอนแรกยังไม่คิดถึงการเที่ยวญี่ปุ่นนะ จนผ่านมาถึงวัยมหาลัย ผมก็เริ่มสนใจการเที่ยวญี่ปุ่น แต่จากการสอบถามคุณป้าข้างบ้านที่ไปญี่ปุ่นบ่อยๆ สมัยนั้นการไปญี่ปุ่นครั้งนึงต้องมีเงินอย่างน้อย 4-5 หมื่นเลยทีเดียว ด้วยความที่บ้านมีฐานะแค่ปานกลางถึงจน จึงต้องปิดฉากความฝันไป
จนมาถึงวันที่ผมได้ทำงาน และได้เริ่มมีเงินใช้เอง ความชอบญี่ปุ่นยังคงอยู่ในใจผมเสมอ โดยผมเริ่มจากการทานอาหารญี่ปุ่น เสพอะไรที่เป็นญี่ปุ่นๆ และผมก็ได้มาพบกับเวปพันทิป ทำให้ผมรู้ว่าสมัยนี้การไปเที่ยวญี่ปุ่นนั้นไม่ยากอย่างที่คิด ประกอบกับมีสายการบินโลว์คอสบินตรงสู่ญี่ปุ่น ผมจึงเริ่มเก็บเงินก่อนเป็นอันดับแรก โดยเริ่มเก็บตั้งแต่ เดือนมีนาคม เดือนละ 1-2 พันบาท แล้วปีนี้ผมก็โชคดี จับฉลากงานกาชาดได้ทีวีเครื่องนึง หลังจากปรึกษากับที่บ้านแล้ว ที่บ้านยังไม่ต้องการทีวี ผมจึงนำทีวีนั้นไปขายซะ เอาเงินเข้าโปรแกรมเที่ยวญี่ปุ่นซะเลย อิอิ เอาล่ะโม้มานานแล้ว ผมขอเข้าเรื่องเลยครับ
บทที่ 1 : การเดินทาง (ไปวันที่ 7 พ.ย.58 กลับคืนวันที่ 11 พ.ย.58 รวม 4 วัน 4 คืน เดินทางคนเดียวครับ)
การเดินทางของผมนั้น ไปโดยสายการบินไทยแอร์เอเชียเอ็กซ์ บินตรงลงสนามบินคันไซ
ขาไป ไปถึงสนามบินคันไซ เวลาท้องถิ่นประมาณ 22.50 น. +/- 10
ขากลับ เดินทางถึงดอนเมือง เวลาท้องถิ่นประมาณ 04.00 น. +/-10
ค่าตั๋วเครื่องบินที่ผมใช้ไปทั้งสิ้น ค่าตั๋ว+ประกัน 8,740 บาท - โหลดกระเป๋าไปกลับ+ซื้อที่นั่งไปกลับ 2,200 บาท
เครื่องที่เราจะนั่งไปวันนี้ครับ เป็นเครื่องบิน Airbus A330-300 ขนาดของที่นั่งนั้น ก็เหมือนแอร์เอเชียทั่วไปครับ ไม่ได้กว้างขึ้นกว่าเดิมเลย

และแล้วเราก็บิน ใช้เวลาอยู่บนท้องฟ้าประมาณ 5 ชั่วโมง 20 นาที

มาถึงเราก็จะพบกับป้ายต้อนรับทันที เราก็เดินตามทางไปเพื่อขึ้นรถรางมาลงที่เทอร์มินอลหลัก เพื่อผ่านจุดตรวจคนเข้าเมืองและศุลกากรครับ เดินตามๆกันมาเลย ยังไงทางบังคับอยู่แล้วไม่มีหลงแน่นอน
เนื่องจากเป็นไฟลท์ดึก และเช้าผมต้องแลกว้อชเชอร์เป็นเจอาร์พาส ผมจึงเลือกนอนที่สนามบินครับ
วิธีหาที่นอนครับ - หลังจากผ่านตม.และจนท.ศุลกากรแล้ว(ตม.และศุลกากรไม่โหดอย่างที่คิดเนื่องจากดึกแล้วคนก็เยอะเหมือนเขาก็รีบๆเหมือนกันครับ แทบจะไม่ถามอะไรผมเลย) ออกมาให้มองซ้ายและมองขวาครับ จะเห็นบันไดเลื่อนให้ขึ้นฝั่งไหนก็ได้ ถ้าออกมาแล้วขึ้นฝั่งซ้ายจะเป็นทางไปแฟมมิลี่มาร์ท ถ้าขึ้นฝั่งขวาจะเป็นทางไปลอว์สันและเล้าจ์บริเวณนั้นจะมีแมคโดนัลกับสุคิยะที่เปิด 24ช.ม.ด้วยครับพอขึ้นมาชั้น 2 แล้วก็เลือกทำเลเอาตามสะดวกเลย แนะนำให้พยายามนอนหลับไปเลยครับ ไม่งั้นจะมีเจ้าหน้าที่ตำรวคอยเดินตรวจตราและเข้ามาถามข้อมูล ซึ่งผมก็โดนถามก่อนเลยว่ามาทำอะไร ผมก็ตอบว่าแทรเวลๆ แต่ท่านจนท.ฟังไม่ออกครับ 5555 ผมเลยต้องกดกูเกิ้ลแปลภาษา พิมพ์ว่า ท่องเที่ยว แล้วแปลเป็นภาษาญี่ปุ่นให้เขาอ่าน (ตูว่าตูอ่อนอังกฤษแระนะ) เขาก็พยักหน้าแล้วก็ยิ้มๆ แล้วก็พูดว่า เทมเปิ้ลๆ ผมก็ เยส!! ไอไลค์เทมเปิ้ล!! ต่างคนต่างหัวเราะเลยทีนี้ 555 แล้วเขาก็ขอดูพาสปอร์ต ดูเสร็จก็ขอบคุณเราและเขาก็จากไป จากนั้นผมก็นอนกลิ้งไปมาตรงนั้นล่ะครับ ลุกไปซื้อน้ำกินบ้าง สูบบุหรี่บ้าง
พอถึงเวลาตี 5 ครึ่งผมก็รีบล้างหน้าและตรงดิ่งไปที่ เค้าเตอร์เจอาร์ทันทีเพื่อแลกตั๋ว

หลังจากเดินออกมาจากเทอร์มินอล1 แล้วจะเป็นภาพดังนี้ครับ

พอได้ตั๋วมาแล้วก็เดินมาที่ช่องที่มีเจ้าหน้าที่ยืนอยู่ครับ เราก็โชว์ตั๋วด้านในที่มีวันหมดอายุให้ จนท.ดู เขาก็จะขอบคุณ แระเราก็เดินผ่านไปโลดดดด
ปล.ข้อมูล JR Kansai Area Pass ที่ผมใช้ เป็นแบบประหยัด ใช้ขึ้นได้เพียงรถด่วนธรรมดาเท่านั้น ยกเว้นรถด่วนพิเศษฮารุกะ ตู้ไม่จองที่นั่ง ซื้อจากงานเที่ยวทั่วโลกซุ้ม HIS ราคา 1,730 บาท (4วัน)
เช้านี้ที่สนามบินคันไซ และแล้วเราก็จะเข้าเมืองกันครับ

รถไฟนันไค ที่พาเข้าสู่นันบะ

ตู้แบบไม่จองที่นั่งที่พาสผมใช้ได้
จบบทที่1
บทที่ 2 : โอซาก้า
หลังจากผมนั่งรถด่วนฮารุกะ มา ผมก็ลงที่สถานีเทนโนจิครับ ซึ่งเป็นสถานีที่รถด่วนจะจอด ซึ่งจริงๆที่ใกล้ที่พักผมต้องไปลง ชินอิมามิยะ พอลงรถไฟเท่านั้นแหละ พี่ฝนก็บันดาลตกลงมาอย่างหนัก ตอนแรกผมกะไว้ว่าจะไปปราสาทโอซาก้า จึงต้องเปลี่ยนแพลนซึ่งในหัวตอนนั้นนึกขึ้นได้ว่า ตรงที่สถานีเทนโนจินั้นอยู่ใกล้กับสถานีรถรางโอซาก้า ที่สามารถไปศาลเจ้าซุมิโยชิ ได้ ผมจึงจัดแจงเดินเข้าเซเว่นไปซื้อร่มทันที และเดินออกไปตามหาสถานีรถราง ซึ่งการเดินไปสถานีรถรางนั้น ต้องเดินลงไปทางรถไฟใต้ดินครับ แล้วจะมีช่องทางเล็กๆให้เดินไปสถานีรถราง

ออกจากสถานีรถไฟตามเส้นสีแดงแล้วลงไปสถานีใต้ดินตามรูปเลยครับ

รถรางสามารถขึ้นได้ทุกสายเพราะจะผ่านศาลเจ้านี้หมดครับ ลงสถานีตามรูปได้เลย ส่วนขากลับก็นั่งสายเดิมกลับครับ
ค่านั่งรถรางอยู่ที่เที่ยวละ 210 เยน วิธีชำระเงิน ให้หยอดตู้ตรงข้างคนขับครับ เครื่องจะไม่มีเงินทอนให้ แต่จะมีช่องให้แลกเหรียญ อยู่ครับ

และแล้วก็มาถึงศาลเจ้าซุมิโยชิ

สะพานแดงอันลือลั่น
ภายในศาลเจ้าตอน้าบรรยากาศเงียบสงบมากๆครับ หรือผมไปวันอาทิตย์ก็ไม่รู้ 555
หลังจากเสพบรรยากาศภายในศาลเจ้าแล้ว ผมก็ออกเดินทางต่อทันทีเพื่อไปปราสาทโอซาก้าตามแพลนที่วางไว้ โดยนั่งรถรางที่เดิมที่ลงมาครับ

นี่คือรถรางที่ผมเดินมาขึ้นไม่ทัน 555
จากนั้นผมก็กลับมาลงที่สถานีเทนโนจิแล้วขึ้น โอซาก้าลูปไลน์ ไปลงสถานีโมริโนมิยะ เพื่อไปปราสาทโอซาก้ากันครับ

พอลงสถานีโมริโนมิยะแล้วเดินข้ามถนนมาทางสวนสาธารณะปราสาทโอซาก้าครับ ก็จะเห็นตัวปราสาทอยู่ลิบๆ ก็เดินตามทางไปโลด
แต่ให้สังเกตดีๆครับ เดินไปตามทางแล้วมันจะมีบันไดเล็กๆ เพื่อขึ้นไปสู่ทางเดินหลักอีกทีครับ

และแล้วก็มาถึง เราก็ไปกดตู้เพื่อซื้อตั๋วเข้าชมภายในปราสาทครับ

โดยภายในนั้นจัดเป็นนิทรรศการและแสดงข้างของเครื่องใช้โบราณ แต่เผอิญผมอ่านไม่รู้เรื่องเลย จึงได้แต่มองผ่านๆแระรีบขึ้นไปบนจุดชมวิวเลยครับ

กว่าจะเดินขึ้นมาได้ 8 ชั้น เล่นเอาหอบเหมือนกันครับ 555
หลังจากสูญเสียพลังงานไปพอสมควรท้องก็เริ่มร้องครับ แน่นอนครับมาถึงญี่ปุ่นก็ต้องมากินซูชิ และเมื่อพูดถึงซูชิที่โอซาก้า ใครๆก็ต้องนึกถึง Endo sushi แน่นอน แต่วันนี้เป็นวันอาทิตย์ร้านปิดครับ แต่หลังจากทำการบ้านมาก็พบว่ามีร้านซึ่งเป็นร้านสาขาเปิดอยู่ใกล้ๆปราสาทโอซาก้า ห่างกันแค่ 2 สถานี จากสถานีโมริโนมิยะ จากนั้นไม่รอช้าเลย เดินกลับมาขึ้นลูปไลน์ที่สถานีโมริโนมิยะ ไปลงสถานีเคียวบาชิ ซึ่งร้านจะอยู่ที่ห้างตรงข้ามสถานีเคียวบาชิเลยครับ ขึ้นไปที่ชั้น 5 ก็จะเจอหน้าร้าน (ต้องขออภัยอย่างเเรงที่ไม่ได้ถ่ายภาพหน้าร้านมาด้วย เนื่องจากผมหิวจนตาลายจึงรีบเข้าไปเลย ขาออกมาก็ดันลืม-*-)

หน้าตาซูชิครับ รสชาติก็แจ่มมากๆ โอยยยยยฟินนนนนน
หลังจากอิ่มแล้วผมจึงเดินทางตามแพลนต่อไปคือ ย่านการค้าเทนจินบาชิซุจิ การเดินทางก็ขึ้นลูปไลน์เหมือนเดิมจากที่ลงมา ไปลงสถานีเทมมะ ครับ พอลงจากสถานีก็จะเจอย่านนี้เลย ทีนี้ก็เลือกเดินตามใจชอบเลยครับ ถนนเส้นนี้จัดว่าเป็นย่านการค้าที่ยาวมากๆ เดินกันขาลาก

ของขายก็จะมีทุกรูปแบบ เสื้อผ้า คสอ. ของกิน
หลังจากเดินเสพบรรยากาศแหล่งช๊อปปิ้งแล้ว ผมจึงกลับไปที่สถานีเทนโนจิ เพื่อเอากระเป๋าที่ใส่ล๊อกเกอร์หยอดเหรียญไว้ เพื่อไปเช็คอินโรงแรมครับ
โดยโรงแรมที่ผมพักนั้นคือ Hotel Chuo Oasis โรงแรมยอดฮิตนั้นเอง โดยผมจองห้องแบบซิงเกิ้ลรูม สูบบุหรี่ได้ มีห้องน้ำในตัว รวมราคาทั้งสิ้น 3 คืน = 11,100 เยน ข้อแนะนำ ถ้าไม่อย่าแก่วแนะนำให้ไปตรงเวลาครับ ช้านิดหน่อยได้ แต่ตอนผมไปเช็คอินก่อนเวลาที่ผมกำหนด เขาจะยังไม่ให้ขึ้นห้องครับ ต้องนั่งรอที่ล๊อบบี้จนกว่าจะถึงเวลาที่เราเเจ้งเขาไปตอนจอง

ห้องเป็นห้องขนาดกระทัดรัด แต่อุปกรณ์ครบครัน ยกเว้นห้องน้ำรู้สึกจะไม่ค่อยเหมาะสำหรับคนที่วงสวิงกว้าง 555
หลังจากเก็บของอาบน้ำนั่งยืดแข้งยืดขาได้ซักพัก ก็เตรียมเดินทางกันต่อครับ จุดหมายยามเย็นคือ ป้ายกุลิโกะนั่นเอง
การเดินทาง ออกจากโรงแรม เดินมาขึ้นรถไฟที่สถานีเจอาร์ชินอิมามิยะ สายยามาโตจิไลน์ ไปลงเจอาร์นัมบะครับ พอลงเจอาร์นัมบะให้มองป้ายทางออกมันจะเขียน Dotonbori ก็ให้เดินตามป้ายนั้นไปเลยครับ

ทางเข้าจะหน้าตาแบบนี้เดินตรงเข้าไปเลยครับพี่น้องงง

มาเร็วไปนิดไฟยังมะเปิดเลยยย

เหลือบไปเห็นขาปูยักษ์ย่างครับ 2 ชิ้น 700 เยน ตามความรู้สึกรู้สึกว่าอร่อยมากๆครับ ไม่ต้องจิ้มน้ำจิ้มเลยกินร้อนๆ ฟินกระจายยยยย
หลังจากกินออเดิฟไปแล้ว มาต่อกันที่อาหารหลักบ้าง มองไปทางริมคลอง ก็เหลือไปเห็นแล้วครับ ราเมงยอดนิยมของชาวไทย อิชิรันราเมง นั่นเอง

จัดสิครับรอไร 5555
หลังจากอิ่มหนำสำราญใจแล้วผมก็เดินชมย่านชินไซบาชิ เพื่อหาดูของ หลังจากเดินจนทั่วแล้วไม่เจอที่ต้องการ จึงกลับที่พักครับ
ผมขอจบวันแรกไว้แต่เพียงเท่านี้นะครับ หาท่านใดรับชมแล้วถูกใจ ในวันที่ 2-3-4 ผมจะกลับมาอัพต่อในวันอาทิตย์ครับ เนื่องจากภารกิจเยอะ ต้องขอโทษด้วยครับที่เขียนค้างๆคาๆ เมื่อก่อนเคยบ่นคนอื่นไว้ ตอนนี้ผมมาทำเองซะแล้ว 5555
แล้วพบกันในบทที่ 3ครับ
ปล.ที่ไม่ตั้งเป็นกระทู้รีวิวเพราะกลัวข้อมูลไม่ถึงขั้น แหะๆ ส่วนใครกำลังหาข้อมูลเที่ยวย่านคันไซ หรือที่ต่างๆในญี่ปุ่น สามารถเข้าไปดูในกระทู้โปรดของผมได้นะครับ ผมเก็บกระทู้ข้อมูลไว้พอสมควรครับ
[Review]คนด้อยภาษาพาท่องแดนแห่งความฝัน กับ 4 วันในคันไซ กระทู้เดียวจบ
จุดเริ่มต้นของการเดินทางนี้จริงๆ ของผมนั้นต้องนับย้อนไป ถึง 15 ปี นับตั้งแต่วันที่ได้รู้จักคำว่าประเทศญี่ปุ่นจากบทเพลง ของวง L'Arc en Ciel ซึ่งบังเอิญคืนนึงผมนอนดึกแล้วได้ดูรายการเพลงรายการนึง (พิธีกรนามสกุลผุงประเสริฐมั้งครับ) แล้วเกิดอาการตะลึง ว่ามันช่างเท่อะไรเช่นนี้ 555 จากนั้นมาผมก็ชอบวงนี้ขึ้นมาทันทีแล้วเริ่มชอบอะไรที่เป็นญี่ปุ่นๆ แต่ตอนแรกยังไม่คิดถึงการเที่ยวญี่ปุ่นนะ จนผ่านมาถึงวัยมหาลัย ผมก็เริ่มสนใจการเที่ยวญี่ปุ่น แต่จากการสอบถามคุณป้าข้างบ้านที่ไปญี่ปุ่นบ่อยๆ สมัยนั้นการไปญี่ปุ่นครั้งนึงต้องมีเงินอย่างน้อย 4-5 หมื่นเลยทีเดียว ด้วยความที่บ้านมีฐานะแค่ปานกลางถึงจน จึงต้องปิดฉากความฝันไป
จนมาถึงวันที่ผมได้ทำงาน และได้เริ่มมีเงินใช้เอง ความชอบญี่ปุ่นยังคงอยู่ในใจผมเสมอ โดยผมเริ่มจากการทานอาหารญี่ปุ่น เสพอะไรที่เป็นญี่ปุ่นๆ และผมก็ได้มาพบกับเวปพันทิป ทำให้ผมรู้ว่าสมัยนี้การไปเที่ยวญี่ปุ่นนั้นไม่ยากอย่างที่คิด ประกอบกับมีสายการบินโลว์คอสบินตรงสู่ญี่ปุ่น ผมจึงเริ่มเก็บเงินก่อนเป็นอันดับแรก โดยเริ่มเก็บตั้งแต่ เดือนมีนาคม เดือนละ 1-2 พันบาท แล้วปีนี้ผมก็โชคดี จับฉลากงานกาชาดได้ทีวีเครื่องนึง หลังจากปรึกษากับที่บ้านแล้ว ที่บ้านยังไม่ต้องการทีวี ผมจึงนำทีวีนั้นไปขายซะ เอาเงินเข้าโปรแกรมเที่ยวญี่ปุ่นซะเลย อิอิ เอาล่ะโม้มานานแล้ว ผมขอเข้าเรื่องเลยครับ
บทที่ 1 : การเดินทาง (ไปวันที่ 7 พ.ย.58 กลับคืนวันที่ 11 พ.ย.58 รวม 4 วัน 4 คืน เดินทางคนเดียวครับ)
การเดินทางของผมนั้น ไปโดยสายการบินไทยแอร์เอเชียเอ็กซ์ บินตรงลงสนามบินคันไซ
ขาไป ไปถึงสนามบินคันไซ เวลาท้องถิ่นประมาณ 22.50 น. +/- 10
ขากลับ เดินทางถึงดอนเมือง เวลาท้องถิ่นประมาณ 04.00 น. +/-10
ค่าตั๋วเครื่องบินที่ผมใช้ไปทั้งสิ้น ค่าตั๋ว+ประกัน 8,740 บาท - โหลดกระเป๋าไปกลับ+ซื้อที่นั่งไปกลับ 2,200 บาท
เครื่องที่เราจะนั่งไปวันนี้ครับ เป็นเครื่องบิน Airbus A330-300 ขนาดของที่นั่งนั้น ก็เหมือนแอร์เอเชียทั่วไปครับ ไม่ได้กว้างขึ้นกว่าเดิมเลย
และแล้วเราก็บิน ใช้เวลาอยู่บนท้องฟ้าประมาณ 5 ชั่วโมง 20 นาที
มาถึงเราก็จะพบกับป้ายต้อนรับทันที เราก็เดินตามทางไปเพื่อขึ้นรถรางมาลงที่เทอร์มินอลหลัก เพื่อผ่านจุดตรวจคนเข้าเมืองและศุลกากรครับ เดินตามๆกันมาเลย ยังไงทางบังคับอยู่แล้วไม่มีหลงแน่นอน
เนื่องจากเป็นไฟลท์ดึก และเช้าผมต้องแลกว้อชเชอร์เป็นเจอาร์พาส ผมจึงเลือกนอนที่สนามบินครับ
วิธีหาที่นอนครับ - หลังจากผ่านตม.และจนท.ศุลกากรแล้ว(ตม.และศุลกากรไม่โหดอย่างที่คิดเนื่องจากดึกแล้วคนก็เยอะเหมือนเขาก็รีบๆเหมือนกันครับ แทบจะไม่ถามอะไรผมเลย) ออกมาให้มองซ้ายและมองขวาครับ จะเห็นบันไดเลื่อนให้ขึ้นฝั่งไหนก็ได้ ถ้าออกมาแล้วขึ้นฝั่งซ้ายจะเป็นทางไปแฟมมิลี่มาร์ท ถ้าขึ้นฝั่งขวาจะเป็นทางไปลอว์สันและเล้าจ์บริเวณนั้นจะมีแมคโดนัลกับสุคิยะที่เปิด 24ช.ม.ด้วยครับพอขึ้นมาชั้น 2 แล้วก็เลือกทำเลเอาตามสะดวกเลย แนะนำให้พยายามนอนหลับไปเลยครับ ไม่งั้นจะมีเจ้าหน้าที่ตำรวคอยเดินตรวจตราและเข้ามาถามข้อมูล ซึ่งผมก็โดนถามก่อนเลยว่ามาทำอะไร ผมก็ตอบว่าแทรเวลๆ แต่ท่านจนท.ฟังไม่ออกครับ 5555 ผมเลยต้องกดกูเกิ้ลแปลภาษา พิมพ์ว่า ท่องเที่ยว แล้วแปลเป็นภาษาญี่ปุ่นให้เขาอ่าน (ตูว่าตูอ่อนอังกฤษแระนะ) เขาก็พยักหน้าแล้วก็ยิ้มๆ แล้วก็พูดว่า เทมเปิ้ลๆ ผมก็ เยส!! ไอไลค์เทมเปิ้ล!! ต่างคนต่างหัวเราะเลยทีนี้ 555 แล้วเขาก็ขอดูพาสปอร์ต ดูเสร็จก็ขอบคุณเราและเขาก็จากไป จากนั้นผมก็นอนกลิ้งไปมาตรงนั้นล่ะครับ ลุกไปซื้อน้ำกินบ้าง สูบบุหรี่บ้าง
พอถึงเวลาตี 5 ครึ่งผมก็รีบล้างหน้าและตรงดิ่งไปที่ เค้าเตอร์เจอาร์ทันทีเพื่อแลกตั๋ว
หลังจากเดินออกมาจากเทอร์มินอล1 แล้วจะเป็นภาพดังนี้ครับ
พอได้ตั๋วมาแล้วก็เดินมาที่ช่องที่มีเจ้าหน้าที่ยืนอยู่ครับ เราก็โชว์ตั๋วด้านในที่มีวันหมดอายุให้ จนท.ดู เขาก็จะขอบคุณ แระเราก็เดินผ่านไปโลดดดด
ปล.ข้อมูล JR Kansai Area Pass ที่ผมใช้ เป็นแบบประหยัด ใช้ขึ้นได้เพียงรถด่วนธรรมดาเท่านั้น ยกเว้นรถด่วนพิเศษฮารุกะ ตู้ไม่จองที่นั่ง ซื้อจากงานเที่ยวทั่วโลกซุ้ม HIS ราคา 1,730 บาท (4วัน)
เช้านี้ที่สนามบินคันไซ และแล้วเราก็จะเข้าเมืองกันครับ
รถไฟนันไค ที่พาเข้าสู่นันบะ
ตู้แบบไม่จองที่นั่งที่พาสผมใช้ได้
จบบทที่1
บทที่ 2 : โอซาก้า
หลังจากผมนั่งรถด่วนฮารุกะ มา ผมก็ลงที่สถานีเทนโนจิครับ ซึ่งเป็นสถานีที่รถด่วนจะจอด ซึ่งจริงๆที่ใกล้ที่พักผมต้องไปลง ชินอิมามิยะ พอลงรถไฟเท่านั้นแหละ พี่ฝนก็บันดาลตกลงมาอย่างหนัก ตอนแรกผมกะไว้ว่าจะไปปราสาทโอซาก้า จึงต้องเปลี่ยนแพลนซึ่งในหัวตอนนั้นนึกขึ้นได้ว่า ตรงที่สถานีเทนโนจินั้นอยู่ใกล้กับสถานีรถรางโอซาก้า ที่สามารถไปศาลเจ้าซุมิโยชิ ได้ ผมจึงจัดแจงเดินเข้าเซเว่นไปซื้อร่มทันที และเดินออกไปตามหาสถานีรถราง ซึ่งการเดินไปสถานีรถรางนั้น ต้องเดินลงไปทางรถไฟใต้ดินครับ แล้วจะมีช่องทางเล็กๆให้เดินไปสถานีรถราง
ออกจากสถานีรถไฟตามเส้นสีแดงแล้วลงไปสถานีใต้ดินตามรูปเลยครับ
รถรางสามารถขึ้นได้ทุกสายเพราะจะผ่านศาลเจ้านี้หมดครับ ลงสถานีตามรูปได้เลย ส่วนขากลับก็นั่งสายเดิมกลับครับ
ค่านั่งรถรางอยู่ที่เที่ยวละ 210 เยน วิธีชำระเงิน ให้หยอดตู้ตรงข้างคนขับครับ เครื่องจะไม่มีเงินทอนให้ แต่จะมีช่องให้แลกเหรียญ อยู่ครับ
และแล้วก็มาถึงศาลเจ้าซุมิโยชิ
สะพานแดงอันลือลั่น
ภายในศาลเจ้าตอน้าบรรยากาศเงียบสงบมากๆครับ หรือผมไปวันอาทิตย์ก็ไม่รู้ 555
หลังจากเสพบรรยากาศภายในศาลเจ้าแล้ว ผมก็ออกเดินทางต่อทันทีเพื่อไปปราสาทโอซาก้าตามแพลนที่วางไว้ โดยนั่งรถรางที่เดิมที่ลงมาครับ
นี่คือรถรางที่ผมเดินมาขึ้นไม่ทัน 555
จากนั้นผมก็กลับมาลงที่สถานีเทนโนจิแล้วขึ้น โอซาก้าลูปไลน์ ไปลงสถานีโมริโนมิยะ เพื่อไปปราสาทโอซาก้ากันครับ
พอลงสถานีโมริโนมิยะแล้วเดินข้ามถนนมาทางสวนสาธารณะปราสาทโอซาก้าครับ ก็จะเห็นตัวปราสาทอยู่ลิบๆ ก็เดินตามทางไปโลด
แต่ให้สังเกตดีๆครับ เดินไปตามทางแล้วมันจะมีบันไดเล็กๆ เพื่อขึ้นไปสู่ทางเดินหลักอีกทีครับ
และแล้วก็มาถึง เราก็ไปกดตู้เพื่อซื้อตั๋วเข้าชมภายในปราสาทครับ
โดยภายในนั้นจัดเป็นนิทรรศการและแสดงข้างของเครื่องใช้โบราณ แต่เผอิญผมอ่านไม่รู้เรื่องเลย จึงได้แต่มองผ่านๆแระรีบขึ้นไปบนจุดชมวิวเลยครับ
กว่าจะเดินขึ้นมาได้ 8 ชั้น เล่นเอาหอบเหมือนกันครับ 555
หลังจากสูญเสียพลังงานไปพอสมควรท้องก็เริ่มร้องครับ แน่นอนครับมาถึงญี่ปุ่นก็ต้องมากินซูชิ และเมื่อพูดถึงซูชิที่โอซาก้า ใครๆก็ต้องนึกถึง Endo sushi แน่นอน แต่วันนี้เป็นวันอาทิตย์ร้านปิดครับ แต่หลังจากทำการบ้านมาก็พบว่ามีร้านซึ่งเป็นร้านสาขาเปิดอยู่ใกล้ๆปราสาทโอซาก้า ห่างกันแค่ 2 สถานี จากสถานีโมริโนมิยะ จากนั้นไม่รอช้าเลย เดินกลับมาขึ้นลูปไลน์ที่สถานีโมริโนมิยะ ไปลงสถานีเคียวบาชิ ซึ่งร้านจะอยู่ที่ห้างตรงข้ามสถานีเคียวบาชิเลยครับ ขึ้นไปที่ชั้น 5 ก็จะเจอหน้าร้าน (ต้องขออภัยอย่างเเรงที่ไม่ได้ถ่ายภาพหน้าร้านมาด้วย เนื่องจากผมหิวจนตาลายจึงรีบเข้าไปเลย ขาออกมาก็ดันลืม-*-)
หน้าตาซูชิครับ รสชาติก็แจ่มมากๆ โอยยยยยฟินนนนนน
หลังจากอิ่มแล้วผมจึงเดินทางตามแพลนต่อไปคือ ย่านการค้าเทนจินบาชิซุจิ การเดินทางก็ขึ้นลูปไลน์เหมือนเดิมจากที่ลงมา ไปลงสถานีเทมมะ ครับ พอลงจากสถานีก็จะเจอย่านนี้เลย ทีนี้ก็เลือกเดินตามใจชอบเลยครับ ถนนเส้นนี้จัดว่าเป็นย่านการค้าที่ยาวมากๆ เดินกันขาลาก
ของขายก็จะมีทุกรูปแบบ เสื้อผ้า คสอ. ของกิน
หลังจากเดินเสพบรรยากาศแหล่งช๊อปปิ้งแล้ว ผมจึงกลับไปที่สถานีเทนโนจิ เพื่อเอากระเป๋าที่ใส่ล๊อกเกอร์หยอดเหรียญไว้ เพื่อไปเช็คอินโรงแรมครับ
โดยโรงแรมที่ผมพักนั้นคือ Hotel Chuo Oasis โรงแรมยอดฮิตนั้นเอง โดยผมจองห้องแบบซิงเกิ้ลรูม สูบบุหรี่ได้ มีห้องน้ำในตัว รวมราคาทั้งสิ้น 3 คืน = 11,100 เยน ข้อแนะนำ ถ้าไม่อย่าแก่วแนะนำให้ไปตรงเวลาครับ ช้านิดหน่อยได้ แต่ตอนผมไปเช็คอินก่อนเวลาที่ผมกำหนด เขาจะยังไม่ให้ขึ้นห้องครับ ต้องนั่งรอที่ล๊อบบี้จนกว่าจะถึงเวลาที่เราเเจ้งเขาไปตอนจอง
ห้องเป็นห้องขนาดกระทัดรัด แต่อุปกรณ์ครบครัน ยกเว้นห้องน้ำรู้สึกจะไม่ค่อยเหมาะสำหรับคนที่วงสวิงกว้าง 555
หลังจากเก็บของอาบน้ำนั่งยืดแข้งยืดขาได้ซักพัก ก็เตรียมเดินทางกันต่อครับ จุดหมายยามเย็นคือ ป้ายกุลิโกะนั่นเอง
การเดินทาง ออกจากโรงแรม เดินมาขึ้นรถไฟที่สถานีเจอาร์ชินอิมามิยะ สายยามาโตจิไลน์ ไปลงเจอาร์นัมบะครับ พอลงเจอาร์นัมบะให้มองป้ายทางออกมันจะเขียน Dotonbori ก็ให้เดินตามป้ายนั้นไปเลยครับ
ทางเข้าจะหน้าตาแบบนี้เดินตรงเข้าไปเลยครับพี่น้องงง
มาเร็วไปนิดไฟยังมะเปิดเลยยย
เหลือบไปเห็นขาปูยักษ์ย่างครับ 2 ชิ้น 700 เยน ตามความรู้สึกรู้สึกว่าอร่อยมากๆครับ ไม่ต้องจิ้มน้ำจิ้มเลยกินร้อนๆ ฟินกระจายยยยย
หลังจากกินออเดิฟไปแล้ว มาต่อกันที่อาหารหลักบ้าง มองไปทางริมคลอง ก็เหลือไปเห็นแล้วครับ ราเมงยอดนิยมของชาวไทย อิชิรันราเมง นั่นเอง
จัดสิครับรอไร 5555
หลังจากอิ่มหนำสำราญใจแล้วผมก็เดินชมย่านชินไซบาชิ เพื่อหาดูของ หลังจากเดินจนทั่วแล้วไม่เจอที่ต้องการ จึงกลับที่พักครับ
ผมขอจบวันแรกไว้แต่เพียงเท่านี้นะครับ หาท่านใดรับชมแล้วถูกใจ ในวันที่ 2-3-4 ผมจะกลับมาอัพต่อในวันอาทิตย์ครับ เนื่องจากภารกิจเยอะ ต้องขอโทษด้วยครับที่เขียนค้างๆคาๆ เมื่อก่อนเคยบ่นคนอื่นไว้ ตอนนี้ผมมาทำเองซะแล้ว 5555
แล้วพบกันในบทที่ 3ครับ
ปล.ที่ไม่ตั้งเป็นกระทู้รีวิวเพราะกลัวข้อมูลไม่ถึงขั้น แหะๆ ส่วนใครกำลังหาข้อมูลเที่ยวย่านคันไซ หรือที่ต่างๆในญี่ปุ่น สามารถเข้าไปดูในกระทู้โปรดของผมได้นะครับ ผมเก็บกระทู้ข้อมูลไว้พอสมควรครับ