ทริปนี้เป็นทริปในฝันที่อยากไปให้ได้สักครั้ง ตอนแรกอยากไปโบรโม่ แต่ด้วยความที่ไปเจอเพือนชาวเยอรมัน เพื่อนบอกว่ายูไปอินโด ยูต้องไปลอมบอก โอ้โห กระตุกต่อมสิ ไม่เคยได้ยินมาก่อน เลยจองตั๋วกะเที่ยวลอมบอกก่อนแล้วบินไปโบรโม่ ทำไปทำมาก็เห็นว่า เฮ้ย ลอมบอกก็มีภูเขาไฟที่สวยไม่แพ้กัน เลยตัดสินใจไหนๆก็อยู่นี่ละ เที่ยวที่นี่ละกัน
สมาชิกทริปประกอบไปด้วยชายฉกรรจ์หน้าโหดสามคนและหญิงสาวผู้บอบบางก็คือเจ้าของกระทู้คะ ในใจก็แอบหวั่นๆจะไปเป็นตัวถ่วงเค้ารึเปล่า แต่ด้วยความอยากมาก ยังไงก็จะไป ฮรี่ๆ นึกภาพชะนีที่ไม่เคยไปปีนเขาเลยสักครั้งวันๆอยู่หน้าคอมกินกับนอน เพื่อนที่เคยไปก็บอกว่ามันลำบากนะ ในใจก็คิดจะลำบากสักเท่าไหร่กัน ชั้นทนได้น่า
เริ่มจากการจองตั๋ว
เราจองหางแดง โดยจากดอนเมืองไปกัวลา จากนั้นต่อเครื่องจากกัวลาไปลอมบอก
ขากลับบินจากบาหลี กลับ กทม เลย
พอได้ตั๋วปุ๊ป ก็ลองหาข้อมูลกับที่พัก การเข้าเมืองมีเข้าโดยรถทัวร์กับแท็กซี่ซึ่งไฟท์ของเราไปรถเมลล์คงไม่สะดวก ทางเลือกของเราคงต้องเป็นแท็กซี่
ขั้นตอนต่อมาต้องหาทัวร์ที่จะพาขึ้นรินจานี่ เพราะลำพังพวกเราสี่คนคงไปถึงแค่โคนเขา คุยไปคุยมาได้ทัวร์ที่ต้องการทำ เราเลือกแพ็คเกจสามวันสองคืน การมัดจำจ่ายผ่านpaypal การจ่ายเงินจากธนาคารไทยไปธนาคารอินโดจะค่อนข้างยุ่งยากหากโอนแบบมีบัญชีผู้รับ นี่คือตัวอย่างแพ็คเกจคร่าวๆ เราเลือกที่มีtoilet tent คือเราไปเที่ยวไหนก็ได้นอนไหนก็ได้ขอแค่มีห้องน้ำ เราก็เอาอีคำว่าtoilet tentไปเสิร์ชดูรูป เห็นเป็นกระโจมมีชักโครกก็เบาใจ โลกสวยๆตามภาษาชะนีขี้มโน
และแล้ววันเดินทางก็มาถึงโดยที่ไม่ได้เตรียมตัวอะไรมาก เพราะในหัวมีแต่อยากไปอยากไปเห็น ไม่ได้ฉุกคิดว่ามันจะลำบากอย่างที่ใครเตือน คิดอย่างเดียวลำบากไม่กลัว กลัวไม่ได้ไป
มีเรื่องให้ลุ้นระทึกตั้งแต่ตอนเดินทาง จากกรุงเทพไปกัวลา ดีเลย์ ใช่ ดีเลย์ไปชั่วโมง แล้วเรามีไฟท์ต่อจากกัวลาไปลอมบอก ต้องถึงกัวลาบ่ายโมง บินไปลอมบอกบ่ายสาม กลายเป็นถึงกัวลาบ่ายสอง พอลงจากเครื่องก็ต้องวิ่งหน้าตั้งมาตรวจคนเข้าเมืองแล้ววิ่งออกไปเพื่อเข้ามาอีกที คือเราไม่ได้จองแบบฟลายทรู จองตั๋วแยก อารมณ์ตอนนั้นคือมีแววจะได้เที่ยวมาเลแทน
แต่ในที่สุด ก็ทัน ทันแบบพอดีเฉียดฉิว สงสัยพระเจ้าต้องอยากให้เราได้ไปเห็นด้วยตาตัวเอง พอมาถึงเกท แจ้งว่าไฟท์ดีเลย์อีกชม. คือตรูวิ่งมาทำไม

ระหว่างรอเราก็ส่งที่อยู่โรงแรมไปให้บริษัทที่พาขึ้นเขา เพราะตีห้าของวันรุ่งขึ้นไกด์ต้องมารับ ขอเท้าความไปนิดนึงว่าตอนที่เราจองทัวร์เราตอบอีเมลล์ไปมา สอบถามข้อมูล ขอลดราคา ซึ่งทัวร์ตอบกลับอย่างรวดเร็วทุกครั้ง ครั้งนี้เค้าบอกว่าโรงแรมที่เราจองอยู่ใกล้บริษัทเค้าเลยถ้าไปไม่ถูกมาลงที่บริษัทเค้าเดี๋ยวเค้าไปส่ง เราก็ส่งเมลล์กลับไปว่าแล้วบริษัทต้องไปยังไง เค้าคงรำคาญบวกสงสารบอกว่าเอาข้อมูลไฟลท์มาจะมาถึงกี่โมง เดี๋ยวมารับที่สนามบิน ในตอนนั้นคือ เฮ้ยยยย โชคดีไปแล้วววว พอมาถึงลอมบอกคือดีเลย์ไปชั่วโมงกว่าออกมาคนต่อแถวจ่ายเงินยาวมาก เอาสิไปต่อแถว สักพัก เห้ยย ชั้นเป็นชาติอาเซียนที่น่ารักไม่ต้องจ่ายเงินดิ ก็เลยบอกเพื่อนว่าเราว่าเราเดินไปเข้าได้เลย บรรยากาศสนามบินบอกได้เลยว่า น่ากลัว ทำไมถึงน่ากลัวเพราะคนเต็มมายืนออ แท็กซี่มารอลากตัวประดุจพวกเราเป็นดาราฮอลีวู้ด เราก็มองตามหาชื่อเราสุดท้ายหาไม่เจอ ช้อคครับ แง เค้ารอไม่ไหวกลับไปแล้วแน่ๆ เลยเดินออกมานอกสนามบิน พี่ๆสะกิด นั่นๆชื่อ

หันไปด้วยความรู้สึกสวยสวยมากที่สุด มีคนถือป้ายชื่อรอ คนขับยิ้มต้อนรับเป็นอย่างดี แล้วก็ช่วยลากกระเป๋าไปที่รถซึ่งรถเป็นรถแวนใหม่แล้วดี เราก็คุยกันว่าโชคดีที่เป็นคนแชแหม แชแหมไปมามีคนมารรับ เอ๊ะ แต่ว่าเท่าไหร่หละค่าAirport Pick-upนิ เออใช่ ลืมถามมมมมม แต่ในตอนนั้นคือเหนื่อยและอยากถึงที่พักแล้ว ทุกคนเลยแบบเท่าไหร่ก็เท่านั้นแหละ

คนขับรถพาแวะบริษัททัวร์ก่อน เพื่ออธิบายจุดที่เราจะไปเทร็คกิ้งกันพร้อมบอกว่าพรุ่งนี้จะมีคนร่วมปีนไปกับเราอีกสามคน หญิงเยอรมันหนึ่ง ชายออสเตรียสองคน แต่ผู้ชายสองคนมาแค่สองวันหนึ่งคืน แล้วชำระค่าเสียหายส่วนที่เหลือ สรุปคือเค้าไปรับฟรี แกรรรรร ฟรี คือมันค่อนข้างไกลประมาณชั่วโมงกว่า เค้าบอกว่าเค้าเต็มใจ เห้ย ในใจตอนนั้นคือประทับใจมาก เค้าหันมาถามเราว่าเรามั่นใจนะว่าจะปีนไหวไม่ถอดใจ เราบอกมาขนาดนี้ละ สู้ตาย

จากนั้นเค้าก็ถามว่าจะให้คนขับไปส่งที่โรงแรมเลยมั๊ย เราก็ตอบไปอย่างชัดเจน ไปค่า
เก็บของเสร็จสี่ทุ่มกว่าออกมาเดินหาอาหารกินแถวๆโรงแรม บอกเลยว่าอากาศดีมาก ดีแบบคาดไม่ถึง เย็นแต่ไม่ถึงหนาวสั่น (ฟีลลิ่งบรีซซิ่ง) อาหารอร่อยราคาไม่แพง ปลื้มมมมมมมมมมม จากนั้นแวะมินิมาร์ทเพื่อซื้อของเพิ่ม จริงๆคือเตรียมจากไทยมาเต็มที่แล้ว แต่มาเอาเพิ่มอีกหน่อย พอเห็นราคาปุ๊ป ร้องไห้หนักมากกกกกก ชั้นแบกมาทำอะไร ที่นี่ถูกกว่าเกือบทุกอย่าง โดยเฉพาะอีทิชชู่เปียก (พวกสบู่แปรงสีฟันขนมโลชั่น คือถูก สรุปไม่ต้องแบกมาเป็นอีบ้าหอบฟาง) อาบน้ำคุยสัพเพเหระ นาฬิกาก็บอกเวลาเกือบตีสอง หลับยังไม่ทันจะสนิทนาฬิกาปลุกก็กรีดร้องงงงง

ตีห้าออกมารวมตัว นั่งรถไปต่ออีกสามชั่วโมงงง กว่าจะเริ่มปีนนี่ก็รู้สึกว่างอมละ มาถึงทางขึ้นเค้าให้พักทานอาหารเช้าเป็นแพนเค้กกล้วยกับกาแฟ บอกตามตรงเลยว่ากินไม่ลง กาแฟของอินโดจะคล้ายเวียดนามคือมีกากอยู่ด้วย ความเห็นส่วนตัวคือไม่อร่อย แต่เราเป็นคนติดกาแฟเราเลยพกกาแฟส่วนตัวไปเองด้วยจึงมีกาแฟอร่อยๆดื่มทุกมื้อ
กินเสร็จ ออกเดินทาง การผจญภัยเริ่มแล้ว เรามีกระเป๋าเป้ใบไม่ใหญ่มากหนึ่งใบและกระเป๋าสะพายใบเล็กหนึ่งใบไม่หนักมากตามความเยอะส่วนตัวที่ไม่เคยปีนเขาเลยกลัวโน่นนี่ไม่พอ คิดไว้เสมอ เหลือดีกว่าขาด

ผ่านไปสิบห้านาที เอ ทำไม กระเป๋ามันหนักจังวะ แต่ไม่กล้าบ่น เพราะทุกคนกระเป๋าใหญ่กว่าเยอะ
ลองจินตนาการสภาพผู้หญิงที่วันๆอยู่หน้าคอม เดินตอนเดียวคือหาของกิน ตอนนี้กำลังดุ่มๆเดินขึ้นเขา
ผ่านไปสามสิบนาที
ความฮึดที่มีมาเริ่มหายไป เริ่มมีแผนการในใจว่า เอ หรือเรากลับไปรอที่โรงแรมดี รูปในคอมก็เหมือนกันละมั๊ง คือฝรั่งที่มาด้วยไปไกลหมดแล้ว เดินสบายเหมือนเดินเล่นในสวนหญ้าหลังบ้าน

ผ่านไปชั่วโมงนึง
เรากับพี่อีกคนเริ่มท้อ เหนื่อย กระเป๋าที่ว่าไม่หนัก

ก็เริ่มหนัก เราถามลูกหาบเค้าบอกว่าไม่มีบริการแบกกระเป๋า เอาเซ่ เอาเลย เดินไปนึงก็ถึงจุดนั่งพัก เราก็เริ่มบอกว่าเราเหนื่อย เราว่าถ้าไปต่อเราไม่ไหวแน่ๆ เพิ่งจะมาสำเหนียกตัวเอง พี่ๆก็บอกค่าปีนสองร้อยกว่าดอลนะ เอาสิ ความงกกับความท้อตีกัน ความท้อแพ้ยับเยินนนนน สักพักเดินไปเรื่อยๆแบบไอ้ตีนเขาที่มองว่าใกล้

ก็ไม่ได้เหมือนว่าใกล้ขึ้นเลย ที่ใกล้นี่คือเราที่ใกล้จะด้องแล้ว เดินรั้งท้ายแล้วรั้งท้ายอีก เรามีลูกหาบตามหลังคนนึง เราบอกว่าไปก่อนเลยไม่ต้องรอเรา
ลองจินตนาการนะว่าแบบทางขึ้น

คือเขาจริงๆแล้วเค้าหาบของแบบหนักมาก ยืนรอ ไม่ยอมวาง เพราะเค้าจะให้เราเดินต่อ เราก็เกรงใจบวกสงสารพยายามเดินต่อไป สุดท้ายเค้าก็ช่วยเราคือกระเป๋าเป้ลูกหาบเอาไป

ส่วนกระเป๋าสะพายไกด์สะพายให้ แบบขอให้มีแต่ตัวแล้วลากสังขารอันอ้วนล่ำไปให้ถึงก็พอ ทุกคนคิดว่าพอไม่มีกระเป๋าตัวเบาจะวิ่งเล่นลั้ลลาได้เหมือนอยุในสวนหลังบ้าน ไม่ ไม่ใช่ ไม่มีกระเป๋าช่วยได้เยอะจริง แต่ทางที่ปีนมันแบบทรหดขึ้นเรื่อยๆ ทั้งปีนทั้งคานผ่านไปครึ่งวัน ยัง ยังไม่ถึงปากทางขึ้นเขาที่มองว่าใกล้ ก็ได้เวลาพักกินอาหารกลางวัน

สวรรค์ นี่เดินดุ่มๆมาครึ่งวันแล้ว ลูกหาบก็ติดไฟ ติดเตา ทำอาหาร บอกได้เลยเห็นอาหารจะตกใจ ยิ่งใหญ่อลังการมากกับอาหารบนภูเขา กินไม่ลงเช่นเดิม เป็นอาการที่ทรมานหิวนะแต่กินไม่ลง เพราะล้ามาก
พอถึงเวลาเริ่มเดิมปุ๊บ เรารุเลยว่าตึงไปทั้งขา แล้วเริ่มปวดต้นขาละ แต่ก็ต้องเดิน เพราะลูกหาบคนเดิมคอยเดินตามและคอยบอกYou can do it บอกอยุอย่างนั้น ผ่านไปชั่วโมงหรือสองชั่วโมงถึงปากทางโดยสมบูรณ์ ที่ผ่านมาคือออเดิร์ฟ
เดินไปเรื่อยๆจนเราท้อคือไม่รุว่าจะเดินไปอีกไกลแค่ไหน สองข้างมีแต่ป่ากับป่า

ขาที่ปวดข้างเดียวมันก็กลายเป็นสองข้าง สักพักเราก็แปร๊บที่ข้อเท้า เหมือนตะคริวจะมาอีก เรานั่งลงไปกับพื้น ตอนนั้นลูกหาบนวดไปเราร้องไห้ไปเพราะเหนื่อยก็เหนื่อยหิวก็หิวเจ็บก็เจ็บ อารมณ์ตอนนั้นมาเต็ม แต่สุดท้ายนึกถึงเงินกับการเสียหน้าว่ามาแล้วมาไม่ถึง ก็ฮึด บวกกับลูกหาบที่ตามเราคอยช่วยเราตลอด ในที่สุดก็ถึงง กรีสสสสสสสสสสสส นี่แค่วันแรกนะ

ขึ้นมาเจอกับเตนท์ แล้วคณะลูกหาบที่มาถึงก่อนแล้วทำอาหารเย็น อากาศไม่ใช่แค่เย็น หนาวเลย บรรยากาศเต็มไปด้วยหมอก สักพักมีแดดขึ้นมาเหมือนพระอาทิตย์จะตกดิน รีบวิ่งเข้าเตนท์ไปหยิบกล้อง หาๆรื้อๆออกมาแสงหายเหลือแต่หมอก ห่านลั่ก เปนเวลาเกือบสองทุ่มข้าวเยนเสร็จ จากนั้นคือการพักผ่อน เพราะคืนนี้ต้องตื่นตั้งแต่ตีสองไปจุดสุดยอด
กลับมาเตนท์ตอนตีห้า หกโมงตื่นดูพระอาทิตย์ขึ้นข่า
วันที่สองที่สามก็เหนื่อยขึ้นเรื่อยๆแต่เดินมาแล้วก็ต้องเดินต่อให้สุด

นี่คือวิวที่ชอบมาก สวยลืม
สุดท้ายก็รอดชีวิตลงมาถึงข้างล่างจนได้ เย่
มาพูดคุยกันได้นะคะ ตอนก่อนเคยอยากรู้ก็แอดไปถามพวกพี่ๆในพันทิป
ตอนนี้ถ้าช่วยได้ก็อยากช่วยบ้างค่ะ
https://www.facebook.com/travelwithruta/
https://www.facebook.com/poster.ana
ชวนกันไปโบรโม่ โผล่มารินจินี่เฉย (First time trekking ลองดีกับรินจานี่ซะเลย)
สมาชิกทริปประกอบไปด้วยชายฉกรรจ์หน้าโหดสามคนและหญิงสาวผู้บอบบางก็คือเจ้าของกระทู้คะ ในใจก็แอบหวั่นๆจะไปเป็นตัวถ่วงเค้ารึเปล่า แต่ด้วยความอยากมาก ยังไงก็จะไป ฮรี่ๆ นึกภาพชะนีที่ไม่เคยไปปีนเขาเลยสักครั้งวันๆอยู่หน้าคอมกินกับนอน เพื่อนที่เคยไปก็บอกว่ามันลำบากนะ ในใจก็คิดจะลำบากสักเท่าไหร่กัน ชั้นทนได้น่า
เริ่มจากการจองตั๋ว
เราจองหางแดง โดยจากดอนเมืองไปกัวลา จากนั้นต่อเครื่องจากกัวลาไปลอมบอก
ขากลับบินจากบาหลี กลับ กทม เลย
พอได้ตั๋วปุ๊ป ก็ลองหาข้อมูลกับที่พัก การเข้าเมืองมีเข้าโดยรถทัวร์กับแท็กซี่ซึ่งไฟท์ของเราไปรถเมลล์คงไม่สะดวก ทางเลือกของเราคงต้องเป็นแท็กซี่
ขั้นตอนต่อมาต้องหาทัวร์ที่จะพาขึ้นรินจานี่ เพราะลำพังพวกเราสี่คนคงไปถึงแค่โคนเขา คุยไปคุยมาได้ทัวร์ที่ต้องการทำ เราเลือกแพ็คเกจสามวันสองคืน การมัดจำจ่ายผ่านpaypal การจ่ายเงินจากธนาคารไทยไปธนาคารอินโดจะค่อนข้างยุ่งยากหากโอนแบบมีบัญชีผู้รับ นี่คือตัวอย่างแพ็คเกจคร่าวๆ เราเลือกที่มีtoilet tent คือเราไปเที่ยวไหนก็ได้นอนไหนก็ได้ขอแค่มีห้องน้ำ เราก็เอาอีคำว่าtoilet tentไปเสิร์ชดูรูป เห็นเป็นกระโจมมีชักโครกก็เบาใจ โลกสวยๆตามภาษาชะนีขี้มโน
และแล้ววันเดินทางก็มาถึงโดยที่ไม่ได้เตรียมตัวอะไรมาก เพราะในหัวมีแต่อยากไปอยากไปเห็น ไม่ได้ฉุกคิดว่ามันจะลำบากอย่างที่ใครเตือน คิดอย่างเดียวลำบากไม่กลัว กลัวไม่ได้ไป
มีเรื่องให้ลุ้นระทึกตั้งแต่ตอนเดินทาง จากกรุงเทพไปกัวลา ดีเลย์ ใช่ ดีเลย์ไปชั่วโมง แล้วเรามีไฟท์ต่อจากกัวลาไปลอมบอก ต้องถึงกัวลาบ่ายโมง บินไปลอมบอกบ่ายสาม กลายเป็นถึงกัวลาบ่ายสอง พอลงจากเครื่องก็ต้องวิ่งหน้าตั้งมาตรวจคนเข้าเมืองแล้ววิ่งออกไปเพื่อเข้ามาอีกที คือเราไม่ได้จองแบบฟลายทรู จองตั๋วแยก อารมณ์ตอนนั้นคือมีแววจะได้เที่ยวมาเลแทน
แต่ในที่สุด ก็ทัน ทันแบบพอดีเฉียดฉิว สงสัยพระเจ้าต้องอยากให้เราได้ไปเห็นด้วยตาตัวเอง พอมาถึงเกท แจ้งว่าไฟท์ดีเลย์อีกชม. คือตรูวิ่งมาทำไม
ระหว่างรอเราก็ส่งที่อยู่โรงแรมไปให้บริษัทที่พาขึ้นเขา เพราะตีห้าของวันรุ่งขึ้นไกด์ต้องมารับ ขอเท้าความไปนิดนึงว่าตอนที่เราจองทัวร์เราตอบอีเมลล์ไปมา สอบถามข้อมูล ขอลดราคา ซึ่งทัวร์ตอบกลับอย่างรวดเร็วทุกครั้ง ครั้งนี้เค้าบอกว่าโรงแรมที่เราจองอยู่ใกล้บริษัทเค้าเลยถ้าไปไม่ถูกมาลงที่บริษัทเค้าเดี๋ยวเค้าไปส่ง เราก็ส่งเมลล์กลับไปว่าแล้วบริษัทต้องไปยังไง เค้าคงรำคาญบวกสงสารบอกว่าเอาข้อมูลไฟลท์มาจะมาถึงกี่โมง เดี๋ยวมารับที่สนามบิน ในตอนนั้นคือ เฮ้ยยยย โชคดีไปแล้วววว พอมาถึงลอมบอกคือดีเลย์ไปชั่วโมงกว่าออกมาคนต่อแถวจ่ายเงินยาวมาก เอาสิไปต่อแถว สักพัก เห้ยย ชั้นเป็นชาติอาเซียนที่น่ารักไม่ต้องจ่ายเงินดิ ก็เลยบอกเพื่อนว่าเราว่าเราเดินไปเข้าได้เลย บรรยากาศสนามบินบอกได้เลยว่า น่ากลัว ทำไมถึงน่ากลัวเพราะคนเต็มมายืนออ แท็กซี่มารอลากตัวประดุจพวกเราเป็นดาราฮอลีวู้ด เราก็มองตามหาชื่อเราสุดท้ายหาไม่เจอ ช้อคครับ แง เค้ารอไม่ไหวกลับไปแล้วแน่ๆ เลยเดินออกมานอกสนามบิน พี่ๆสะกิด นั่นๆชื่อ
คนขับรถพาแวะบริษัททัวร์ก่อน เพื่ออธิบายจุดที่เราจะไปเทร็คกิ้งกันพร้อมบอกว่าพรุ่งนี้จะมีคนร่วมปีนไปกับเราอีกสามคน หญิงเยอรมันหนึ่ง ชายออสเตรียสองคน แต่ผู้ชายสองคนมาแค่สองวันหนึ่งคืน แล้วชำระค่าเสียหายส่วนที่เหลือ สรุปคือเค้าไปรับฟรี แกรรรรร ฟรี คือมันค่อนข้างไกลประมาณชั่วโมงกว่า เค้าบอกว่าเค้าเต็มใจ เห้ย ในใจตอนนั้นคือประทับใจมาก เค้าหันมาถามเราว่าเรามั่นใจนะว่าจะปีนไหวไม่ถอดใจ เราบอกมาขนาดนี้ละ สู้ตาย
จากนั้นเค้าก็ถามว่าจะให้คนขับไปส่งที่โรงแรมเลยมั๊ย เราก็ตอบไปอย่างชัดเจน ไปค่า
เก็บของเสร็จสี่ทุ่มกว่าออกมาเดินหาอาหารกินแถวๆโรงแรม บอกเลยว่าอากาศดีมาก ดีแบบคาดไม่ถึง เย็นแต่ไม่ถึงหนาวสั่น (ฟีลลิ่งบรีซซิ่ง) อาหารอร่อยราคาไม่แพง ปลื้มมมมมมมมมมม จากนั้นแวะมินิมาร์ทเพื่อซื้อของเพิ่ม จริงๆคือเตรียมจากไทยมาเต็มที่แล้ว แต่มาเอาเพิ่มอีกหน่อย พอเห็นราคาปุ๊ป ร้องไห้หนักมากกกกกก ชั้นแบกมาทำอะไร ที่นี่ถูกกว่าเกือบทุกอย่าง โดยเฉพาะอีทิชชู่เปียก (พวกสบู่แปรงสีฟันขนมโลชั่น คือถูก สรุปไม่ต้องแบกมาเป็นอีบ้าหอบฟาง) อาบน้ำคุยสัพเพเหระ นาฬิกาก็บอกเวลาเกือบตีสอง หลับยังไม่ทันจะสนิทนาฬิกาปลุกก็กรีดร้องงงงง
ตีห้าออกมารวมตัว นั่งรถไปต่ออีกสามชั่วโมงงง กว่าจะเริ่มปีนนี่ก็รู้สึกว่างอมละ มาถึงทางขึ้นเค้าให้พักทานอาหารเช้าเป็นแพนเค้กกล้วยกับกาแฟ บอกตามตรงเลยว่ากินไม่ลง กาแฟของอินโดจะคล้ายเวียดนามคือมีกากอยู่ด้วย ความเห็นส่วนตัวคือไม่อร่อย แต่เราเป็นคนติดกาแฟเราเลยพกกาแฟส่วนตัวไปเองด้วยจึงมีกาแฟอร่อยๆดื่มทุกมื้อ
กินเสร็จ ออกเดินทาง การผจญภัยเริ่มแล้ว เรามีกระเป๋าเป้ใบไม่ใหญ่มากหนึ่งใบและกระเป๋าสะพายใบเล็กหนึ่งใบไม่หนักมากตามความเยอะส่วนตัวที่ไม่เคยปีนเขาเลยกลัวโน่นนี่ไม่พอ คิดไว้เสมอ เหลือดีกว่าขาด
ผ่านไปสิบห้านาที เอ ทำไม กระเป๋ามันหนักจังวะ แต่ไม่กล้าบ่น เพราะทุกคนกระเป๋าใหญ่กว่าเยอะ
ลองจินตนาการสภาพผู้หญิงที่วันๆอยู่หน้าคอม เดินตอนเดียวคือหาของกิน ตอนนี้กำลังดุ่มๆเดินขึ้นเขา
ผ่านไปสามสิบนาที
ความฮึดที่มีมาเริ่มหายไป เริ่มมีแผนการในใจว่า เอ หรือเรากลับไปรอที่โรงแรมดี รูปในคอมก็เหมือนกันละมั๊ง คือฝรั่งที่มาด้วยไปไกลหมดแล้ว เดินสบายเหมือนเดินเล่นในสวนหญ้าหลังบ้าน
ผ่านไปชั่วโมงนึง
เรากับพี่อีกคนเริ่มท้อ เหนื่อย กระเป๋าที่ว่าไม่หนัก
ลองจินตนาการนะว่าแบบทางขึ้น
ส่วนกระเป๋าสะพายไกด์สะพายให้ แบบขอให้มีแต่ตัวแล้วลากสังขารอันอ้วนล่ำไปให้ถึงก็พอ ทุกคนคิดว่าพอไม่มีกระเป๋าตัวเบาจะวิ่งเล่นลั้ลลาได้เหมือนอยุในสวนหลังบ้าน ไม่ ไม่ใช่ ไม่มีกระเป๋าช่วยได้เยอะจริง แต่ทางที่ปีนมันแบบทรหดขึ้นเรื่อยๆ ทั้งปีนทั้งคานผ่านไปครึ่งวัน ยัง ยังไม่ถึงปากทางขึ้นเขาที่มองว่าใกล้ ก็ได้เวลาพักกินอาหารกลางวัน
สวรรค์ นี่เดินดุ่มๆมาครึ่งวันแล้ว ลูกหาบก็ติดไฟ ติดเตา ทำอาหาร บอกได้เลยเห็นอาหารจะตกใจ ยิ่งใหญ่อลังการมากกับอาหารบนภูเขา กินไม่ลงเช่นเดิม เป็นอาการที่ทรมานหิวนะแต่กินไม่ลง เพราะล้ามาก
พอถึงเวลาเริ่มเดิมปุ๊บ เรารุเลยว่าตึงไปทั้งขา แล้วเริ่มปวดต้นขาละ แต่ก็ต้องเดิน เพราะลูกหาบคนเดิมคอยเดินตามและคอยบอกYou can do it บอกอยุอย่างนั้น ผ่านไปชั่วโมงหรือสองชั่วโมงถึงปากทางโดยสมบูรณ์ ที่ผ่านมาคือออเดิร์ฟ
เดินไปเรื่อยๆจนเราท้อคือไม่รุว่าจะเดินไปอีกไกลแค่ไหน สองข้างมีแต่ป่ากับป่า
ขาที่ปวดข้างเดียวมันก็กลายเป็นสองข้าง สักพักเราก็แปร๊บที่ข้อเท้า เหมือนตะคริวจะมาอีก เรานั่งลงไปกับพื้น ตอนนั้นลูกหาบนวดไปเราร้องไห้ไปเพราะเหนื่อยก็เหนื่อยหิวก็หิวเจ็บก็เจ็บ อารมณ์ตอนนั้นมาเต็ม แต่สุดท้ายนึกถึงเงินกับการเสียหน้าว่ามาแล้วมาไม่ถึง ก็ฮึด บวกกับลูกหาบที่ตามเราคอยช่วยเราตลอด ในที่สุดก็ถึงง กรีสสสสสสสสสสสส นี่แค่วันแรกนะ
ขึ้นมาเจอกับเตนท์ แล้วคณะลูกหาบที่มาถึงก่อนแล้วทำอาหารเย็น อากาศไม่ใช่แค่เย็น หนาวเลย บรรยากาศเต็มไปด้วยหมอก สักพักมีแดดขึ้นมาเหมือนพระอาทิตย์จะตกดิน รีบวิ่งเข้าเตนท์ไปหยิบกล้อง หาๆรื้อๆออกมาแสงหายเหลือแต่หมอก ห่านลั่ก เปนเวลาเกือบสองทุ่มข้าวเยนเสร็จ จากนั้นคือการพักผ่อน เพราะคืนนี้ต้องตื่นตั้งแต่ตีสองไปจุดสุดยอด
กลับมาเตนท์ตอนตีห้า หกโมงตื่นดูพระอาทิตย์ขึ้นข่า
วันที่สองที่สามก็เหนื่อยขึ้นเรื่อยๆแต่เดินมาแล้วก็ต้องเดินต่อให้สุด
นี่คือวิวที่ชอบมาก สวยลืม
สุดท้ายก็รอดชีวิตลงมาถึงข้างล่างจนได้ เย่
มาพูดคุยกันได้นะคะ ตอนก่อนเคยอยากรู้ก็แอดไปถามพวกพี่ๆในพันทิป
ตอนนี้ถ้าช่วยได้ก็อยากช่วยบ้างค่ะ
https://www.facebook.com/travelwithruta/
https://www.facebook.com/poster.ana