สวัสดีค่ะ แอบอยู่แถวนี้มานานเพิ่งจะได้มีกระทู้เป็นของตัวเอง ที่กระทู้นี้ใส่แท็กคอสเพลย์ด้วยเพราะรูปทั้งหมดในกระทู้นี้เป็นรูปตอนแต่งคอสเพลย์ค่ะ (ซึ่งคือการแต่งกายเลียนแบบคาแรคเตอร์ตามการ์ตูน ประมาณนั้น) เพราะเราไม่มีรูปถ่ายตัวเองเลยค่ะนอกจากตอนคอส...และการคอสนี่ก็ถือเป็นแรงบันดาลใจในการลดความอ้วนของเราด้วยค่ะ
(ถ้าเนื้อหาเยอะไปต้องขออภัยด้วยนะคะ มันเป็นการเล่าเรื่องของตัวเองซะส่วนใหญ่ ถ้าต้องการข้อมูลดีๆนี่หาได้จากกระทู้อื่นๆในหมวดนี้ล่ะค่า เพื่อนๆในนี้ใจดีรวบรวมไว้ แถมยังแปะให้กันแทบทุกกระทู้เลย)
อะไรคือ “
ลดความอ้วนครั้งสุดท้าย”
ขออธิบายชื่อกระทู้ก่อน ที่ครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้ายเพราะเราเคยลดความอ้วนมาก่อนค่ะ ย้อนกลับไปเมื่อตอนเป็นนักเรียน เราเป็นคนอวบๆท้วมๆมาตลอด น้ำหนักจะอยู่ประมาณ 58 กิโลกรัม (เราสูง 158-159นะคะ) ตอนนั้นที่คิดจะลดความอ้วน ก็เพราะแต่งคอสเพลย์นี่ล่ะค่ะ ชอบการ์ตูนมาตั้งแต่เด็ก อยากแต่งเป็นตัวละครผู้หญิงที่ชอบ ซึ่งเป็นตัวละครที่น่ารักมาก เลยมีแรงฮึดที่จะลด ก็ไปแอโรบิคที่สวนบ้าง เต้นที่บ้านบ้าง แต่ไม่ได้คุมอาหารนะคะ แรกๆน้ำหนักก็ลงสัก 3-4 กิโลได้ คราวนี้ถึงปิดเทอมใหญ่ ก็เจอสูตรลดน้ำหนักในเน็ต สูตรกาแฟดำไข่ต้มนั่นล่ะค่ะ กินตามนั้นเจ็ดวันวนๆไป ออกกำลังกายหนักมากทั้งเช้าเย็น กินอาหารน้อยมากๆ ใช้ความอดทนสูงจนจำความทรมานตอนนั้นได้ (จำได้ด้วยว่าตบะแตกกินคุ้กกี้ไป 6 ชิ้น) สุดท้ายแล้วมันก็ลดได้จริงๆค่ะ แค่ช่วงปิดเทอมใหญ่ เราลดไป 8 กิโลเลย เปิดเทอมมาครูตกใจ น้ำหนักเหลือ 47 กิโล และนั่นก็น้อยสุดในชีวิตแล้วค่ะ
แต่แล้วไงต่อ คือลดได้แล้ว...ก็เลยเลิกลด...กลับมากินอาหารตามปกติ เพราะงั้นก็สวัสดีค่ะโยโย่... ลดแบบอดอาหารมันไม่ทำให้พฤติกรรมการกินเปลี่ยน เรายังกินเยอะเหมือนเดิม ไม่ได้ออกกำลังกายแล้วด้วย น้ำหนักมันก็ค่อยๆกลับมา ผ่านไปไม่ถึงปีมั้ง ลองชั่งน้ำหนัก เจอตัวเลข 54 คือตกใจมาก กระโดดลงจากตาชั่ง และเราก็ไม่ชั่งน้ำหนักอีกเลยติดต่อกันเกิน 5 ปี แต่ตอนเข้ามหาลัยใหม่ๆเคยก้าวขาข้างเดียวขึ้นตาชั่ง..เข็มดีดไปเลข 6 ค่ะ ก็โดดลงอีกรอบ แล้วก็ไม่ชั่งอีกเลย
เราเป็นคนที่อ้วนเพราะกิน ของโปรดคือบรรดาของชุบแป้งทอด ไก่ทอด ซี่โครงหมูทอด กากหมูเจียว กินข้าวก็ครั้งละ 2 จาน กินเสร็จต่อด้วยมาม่าแห้งอีกห่อ หรือบางทีก่อนนอนยังดูดชานมไข่มุกอยู่เลย ยิ่งช่วงหลังๆนี่ร้านบุฟเฟ่ต์เต็มบ้านเต็มเมือง ก็สนุกกับการกินเข้าไปอีก
จนมาถึงวันนึงที่จำได้ไม่ลืม วันนั้นกำลังจะออกไปกินบุฟเฟต์ชาบูที่ห้าง (ก็ยังไม่พ้นเรื่องกินน่ะนะ555) พอเดินเข้าประตูห้าง เรารู้สึกหายใจไม่ไหว เหมือนคนเป็นหอบ หายใจไม่ทัน จนต้องบอกคนข้างๆว่าไปกินไม่ไหว ขอกลับไปนอนพัก แต่นอนแล้วก็ยังไม่หาย มันจะหายใจถี่ๆแล้วเหนื่อยๆ พูดยาวๆต่อกันไม่ได้ ต้องพูดเป็นคำๆ จนสุดท้ายต้องไปโรงบาล ...ก็โป๊ะเชะเลยค่ะ โดนจับชั่งน้ำหนัก.... เราไม่เคยเข้าโรงบาลมาก่อนเลย เพิ่งรู้ว่าเค้าจะจับชั่งทันที จะวิ่งหนีก็ไม่ทันแล้ว และตัวเลขที่ออกมาคือ
65.6...ตกใจช็อคแอดมิดเลยหนึ่งคืน
สรุปป่วยเป็นไรไม่รู้ ประมาณว่าหลอดลมตีบ คือมัวแต่ช็อคเรื่องน้ำหนัก 5555 และนั่นคือการนอนโรงบาลครั้งแรกของเรา หลังจากนั้นเวลาก่อนนอนเราต้องพ่นยาแก้หอบแทบทุกคืน ไม่งั้นจะหายใจไม่ออก เวลาคุยหรือหัวเราะมากๆนี่ก็ทำไม่ได้นะ มันจะไอๆๆจนหายใจไม่ได้อีก ก็อยู่อย่างป่วยๆต่อไป ไม่ได้สนใจว่าต้องแก้ไขยังไง
จนสักประมาณ 1-2 ปีผ่านไป จู่ๆเราก็เกิดอาเพศอะไรก็ไม่รู้ เราเปลี่ยนอาหารที่เรากินค่ะ ซึ่งเปลี่ยนอยู่ไม่กี่อย่างคือ
- เปลี่ยนจากข้าวขาวมาทานข้าวกล้อง (แต่ก็ยังทานเต็มๆจานเหมือนเดิม ไปกินสุกี้หรือเนื้อย่างก็ยังต้องสั่งข้าว หลายชามด้วย 555)
- เปลี่ยนจากขนมปังขาวมาเป็นขนมปังโฮลวีต (แต่ก็ยังต้องราดนมข้น ทาแยม เนยถั่ว นูเทลล่า บลาๆ)
- เราเลิกกินหมู (ข้อนี้นี่ทำให้ตัดเมนูของโปรดออกไปเป็นสิบอย่างเลย)
ส่วนปริมาณอาหารกับพฤติกรรมการใช้ชีวิตก็ยังเหมือนเดิมค่ะ และยังไม่กล้าชั่งน้ำหนักอยู่ดี แต่รู้สัดส่วนตัวเองนะคะ ตอนนั้นสัดส่วน
41-32-40 คือตัวกลมเป็นเมตรเลย แล้ววันนึงก็ถึงจุดเปลี่ยนที่ทำให้คิดจะลดความอ้วน เพราะเราอยากคอสตัวละครนี้ค่ะ
ก่อนหน้านี้ไม่เคยชอบตัวละครที่ใส่ชุดแบบนี้ เพราะงั้นเลยแต่งคอสทั้งที่อ้วนอยู่ได้ (เวลาโพสรูปก็เลือกมุมดีๆเลือกรูปดูผอมๆเอา) แต่คราวนี้คือไม่ได้แล้ว ไม่งั้นคงอายตัวเองมากๆ เลยตัดสินใจเริ่มลดความอ้วนค่ะ เริ่มจากการทำใจกล้าชั่งน้ำหนักดูก่อนเลย แล้วตัวเลขที่ออกมาคือ
59.5 กิโลกรัม
ตอนนั้นดีใจมากนะ ว่าน้ำหนักกลับมาอยู่หลัก 5 ถึงจะขาดครึ่งโลจะ 60 ก็เถอะ นั่นหมายความว่าน้ำหนักเราลงไปประมาณ 5-6 กิโลกรัมโดยแค่เปลี่ยนอาหารไม่กี่อย่างเท่านั้น แล้วจากนั้นเราก็เริ่มสิงอยู่ในเว็บบอร์ดนี่ล่ะค่ะ อ่านกระทู้หาข้อมูลว่าลดยังไงให้ถูกต้อง และเราก็เริ่มคุมอาหารและออกกำลังกายค่ะ
“
เราผอมลงเพราะติดซีรี่ย์”
คือเราออกกำลังกายที่บ้านตลอด โชคดีที่คนที่บ้านเคยซื้อราวตากผ้าไว้ เราเลยเอามาใช้ออกกำลังกายซะเลย เป็นเครื่องที่มีที่วางขาสองข้างแล้วก้าวไปเรื่อยๆ แต่เครื่องมันจอเสียแล้ว เลยไม่รู้ความเร็วกับแคลอรีที่เผาผลาญไป... เราใช้เวลาวันละ 40 นาทีเล่นเครื่องนี้ ซึ่งเท่ากับซีรี่ย์ 1 ตอนพอดี เพราะงั้นเลยไม่รู้สึกขี้เกียจหรือเบื่อเลย รอเวลาจะได้ดูตอนต่อไปทุกวันๆ เหมือนใช้เป็นสิ่งล่อใจให้ลุกมาโยกเครื่องนี้ค่ะ เพราะงั้นใครยังนอนดูซีรี่ย์อยู่ ให้ลุกมาแกว่งแขนลดพุงระหว่างดูก็ยังดีนะ
แต่นอกจากเครื่องนี้แล้ว เราก็เปลี่ยนไปออกกำลังตามคลิปในยูทูปบ้าง พวก Dance workout นี่ทำบ่อยเพราะสนุก สมัยนี้นี่สะดวกมากนะ แค่มีมือถือก็ทำให้ออกกำลังกายที่ไหนเมื่อไหร่ก็ได้ แล้วคลิปออกกำลังกายนี่ก็เยอะมากๆ อย่างของ Fitness Blender หรือ Befit นี่ก็ชอบค่ะ ลองหาไปเรื่อยๆให้เจอรูปแบบที่เหมาะกับตัวเอง เรามีพื้นที่น้อย มีเวลาน้อย มีเงินน้อย ไม่เคยเข้าฟิตเนส ไม่ชอบไปวิ่ง ก็เลยเหมาะกับวิธีนี้
ช่วงเวลาของเราที่ใช้ออกกำลังกายคือตอนประมาณ 3 ทุ่ม ก่อนหน้านั้นก็นั่งทำงานนั่งโต๊ะตลอดแทบไม่ได้ขยับ ใครที่บ่นว่า”ไม่มีเวลา”ออกกำลังกายนี่ขอให้ลองจัดตารางของตัวเองดูเลยค่ะ ถ้ามี”ใจ”จะทำจริงๆยังไงก็ต้องเจียดเวลามาทำให้ได้ เราเองก็เคย”ไม่มีเวลา”ค่ะ แต่คำว่า”ไม่มีเวลา”ของเราคือทำงานจนเที่ยงคืนแล้วนอน ตื่นมาก็ต้องทำต่อ และเป็นต่อเนื่องไปหลายวัน ช่วงที่”ไม่มีเวลา”จริงๆ เราก็ไม่ได้ออกกำลังนะคะ (แต่ยังคุมอาหารนะ ) และมันก็ไม่มีทางยุ่งแบบนี้ทุกวันมั้ย ไม่งั้นคงตายเพราะทำงานหนักกันพอดี ถ้ายังพอมีเวลาทำอะไรอีกหลายอย่าง ก็สละเวลาสักนิดเพื่อออกกำลังกันดีกว่าค่ะ เราคิดว่าบางทีคนเราต้องสละอะไรสักอย่างเพื่อการได้มาซึ่งอีกอย่างนะ
“
เราไม่ได้กินเพราะหิว เรากินเพราะอยาก”
ก่อนจะมาคุมอาหารนี่เราเป็นคนที่ไม่เคยหิวเลยค่ะ (สมัยที่ลดแบบอดอาหารนั่นอย่าเรียกว่าความหิว เรียกว่าความทรมานจะเหมาะกว่า) เพิ่งจะเคยท้องร้องครั้งแรกก็ตอนนี้แหละ เพราะก่อนหน้านี้กินตลอดทั้งวัน อยากกินอะไรก็กิน มื้อเย็นก็อลังการอย่างกับปาร์ตี้ ถ้าไม่จุกก็คือไม่อิ่ม แต่พอมาเริ่มคุมปริมาณอาหาร เลือกอาหาร ก็ทำให้รู้ว่าความพอดีเป็นยังไง จากที่เคยกินข้าว 2 จาน ก็ลดเหลือ 2 ทัพพี แล้วเราใช้ส้อมกินข้าวแทนช้อนมาตลอดเลยค่ะ ไม่รู้ว่ามีประโยชน์มั้ย แต่มันทำให้รู้สึกเหมือนได้กินหลายคำ หลอกตัวเองได้ว่ากินมาเยอะแล้ว ถ้าใช้ช้อนนี่แป๊บเดียวก็หมดจาน อาจมีตักเพิ่ม5555
ตลอดเวลาที่คุมอาหารมานี่ เรา
ไม่เคยทานอาหารคลีนเลย เคยลองทำเองครั้งเดียวและนั่นก็เป็นครั้งสุดท้าย.. และข้อ(เสีย)สำคัญอีกอย่างที่ยังไม่ได้บอกคือ เรา
ไม่กินผักค่ะ.... ใครที่คิดว่า”ไม่กินผัก”แล้วลดความอ้วนไม่ได้นี่บอกเลยว่าไม่เกี่ยวกัน แต่ผักก็มีประโยชน์มากๆนะ ถ้าทำได้ก็กินควบคู่ไปด้วย เราก็พยายามกินได้นิดหน่อยถ้ามันติดจานมา แต่ถ้ามาเป็นสลัดเขียวๆคือขอบาย...
มื้อเช้าเราจะทานประมาณนี้ค่ะ คือเราเป็นสัตว์กินแป้ง เริ่มต้นวันก็แทบจะมีแต่แป้ง แต่พัฒนาโดยการไม่ต้องทาอะไรบนขนมปังแล้ว และมันก็อร่อยด้วย ส่วนกาแฟ เรากินแบบซองๆ 3 in 1 นี่ล่ะค่ะ แต่”ลดปริมาณ” จากวันละซอง เหลือครึ่งซอง และเติมกาแฟดำลงไป รสชาติออกมากำลังดีเลย ถ้าดื่มนมก็ขอให้เลือกแบบ Fat 0% ถ้าทานไข่ก็อย่าใช้น้ำมัน แค่เอาเข้าเวฟก็พอ แต่เราก็ยังแอบกินช็อคโกแลตทุกวันด้วยนะที่จริง 55555555
ของทานเล่นระหว่างวัน ทั้งเช้าทั้งบ่าย จะเป็นประมาณนี้ค่ะ จากปกติที่กินขนมหวาน ไอติมแท่ง ชานมไข่มุก ก็กลายเป็นนานๆกินที ลูกชิ้นปลาระเบิดที่กินแทบทุกวันก็แทบเป็นเดือนละครั้งเลย
มื้อเที่ยงกับเย็น จะเป็นประมาณนี้คล้ายๆกัน จานที่ทานบ่อยสุดคือ ข้าวกล้องกับไก่ต้มค่ะ แต่ทุกจานมันคือของที่เราชอบทั้งนั้น พื้นฐานของการควบคุมอาหารคืองดของมัน ของทอด ของหวาน แต่เราไม่งดของโปรดนะคะ แม้จะโปรดของทอดเป็นที่สุด แต่มันก็ต้องมีของชอบที่รองๆลงมา ให้เลือกของที่ชอบที่มันแคลอรีน้อยสุด แล้วก็ทานในปริมาณที่เหมาะสม ก็ไม่ต้องรู้สึกอดแล้วค่ะ ส่วนถ้า"
อยาก"ทานของที่อ้วนๆจนทนไม่ไหว ก็ให้ทานเถอะค่ะ แต่ทานแค่นิดเดียวพอ ให้คิดซะว่า คำต่อไปมันก็รสชาติเหมือนกับคำแรกนั่นแหละ ยิ่งทานเยอะก็ยิ่งอิ่ม อิ่มมากแล้วก็ง่วง ง่วงแล้วก็นอน นอนแล้วก็อ้วน อ้วนแล้วก็เครียด มีแต่เสียกับเสียค่ะ แต่ระหว่างวันก็อย่าปล่อยให้ตัวเองหิวนะ เพราะมันจะขาดสติทำให้กินเข้าไปเยอะโดยไม่รู้ตัว ทานอาหารที่มันอยู่ท้อง ดื่มน้ำเปล่าเยอะๆ เราว่าน้ำนี่สำคัญมากนะ ก่อนหน้านี้แทบไม่ได้ดื่มเลย แต่ตอนเริ่มลดความอ้วนก็เริ่มดื่มน้ำเยอะค่ะ ไม่ต้องกลัวบวมน้ำนะ ถ้าไม่ทานโซเดียมเข้าไปเยอะๆมันก็ไม่บวมหรอก
อีกหนึ่งอย่างที่ต้องลด คือบรรดาเครื่องดื่มชงๆทั้งหลาย อย่างกาแฟ โกโก้ ชาเย็น ชาเขียว หลายๆคนคง"
ติด"ต้องดื่มทุกวัน เราก็แน่นอนค่ะ ชอบมาก เลยเริ่ม"
ลด"ปริมาณลง จากแก้วนึง ก็เหลือครึ่งแก้ว ถ้าไม่พอกินก็จะเติมนมลงไป อร่อยกว่าเดิมอีก (ชอบกินนม555) แต่หลังๆมานี่แทบจะไม่ได้กินเลยค่ะ พอลดๆปริมาณลงเรื่อยๆ มันจะค่อยๆหายอยากไปเอง ไม่รู้ทำไม.. แต่ถ้าช่วงไหนกลับมากินนี่ก็ติดไปอีกหลายวันเลย ซึ่งก็ไม่ควรเนอะ 555
อีกวิธีนึงที่ใช้หลีกเลี่ยงความ”อยาก” ก็คืออย่าไปอยู่ในที่ที่มีของกินจุบจิบขายค่ะ ซึ่งเป็นไปได้ยากมากในประเทศไทยที่มีขายกันทุกสี่แยก ไม่นับในห้างอีกนะ ถ้าไม่จำเป็นก็เก็บตัวห่างๆหน่อย บางทีออกไปธุระเราไม่พกเงินเกินที่จำเป็น จะได้ไม่ต้องฟุ่มเฟือยซื้อขนมเข้ามา พยายามอย่าให้ที่ห้อง ที่ทำงาน หรือที่บ้านมีขนมวางอยู่ ง่ายๆคือให้มันอยู่ไกลตัวที่สุดค่ะ (บอกเลยว่าใครที่มีสิ่งแวดล้อมเหมาะสมในการลดความอ้วนนี่น่าอิจฉามากนะ เรานี่มีแต่อุปสรรครอบตัว ไม่ได้สรรหาอะไรมาก็มีของกินมาประเคนถึงที่ แม่ก็ทำอาหารอร่อย ในซอยก็มีแต่ขายอาหาร หน้าบ้านก็เข็นขนมผ่านตลอด ถ้าให้บ่นนี่แยกได้อีกกระทู้เต็มๆ)
(ขออนุญาตไปต่อด้านล่างนะคะ...คือพูดมากไป ข้อความเต็มโพสต่อไม่ได้ แงงงงงงงงง)




*ลดความอ้วนครั้งสุดท้าย ด้วยแรงบันดาลใจ*
(ถ้าเนื้อหาเยอะไปต้องขออภัยด้วยนะคะ มันเป็นการเล่าเรื่องของตัวเองซะส่วนใหญ่ ถ้าต้องการข้อมูลดีๆนี่หาได้จากกระทู้อื่นๆในหมวดนี้ล่ะค่า เพื่อนๆในนี้ใจดีรวบรวมไว้ แถมยังแปะให้กันแทบทุกกระทู้เลย)
อะไรคือ “ลดความอ้วนครั้งสุดท้าย”
ขออธิบายชื่อกระทู้ก่อน ที่ครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้ายเพราะเราเคยลดความอ้วนมาก่อนค่ะ ย้อนกลับไปเมื่อตอนเป็นนักเรียน เราเป็นคนอวบๆท้วมๆมาตลอด น้ำหนักจะอยู่ประมาณ 58 กิโลกรัม (เราสูง 158-159นะคะ) ตอนนั้นที่คิดจะลดความอ้วน ก็เพราะแต่งคอสเพลย์นี่ล่ะค่ะ ชอบการ์ตูนมาตั้งแต่เด็ก อยากแต่งเป็นตัวละครผู้หญิงที่ชอบ ซึ่งเป็นตัวละครที่น่ารักมาก เลยมีแรงฮึดที่จะลด ก็ไปแอโรบิคที่สวนบ้าง เต้นที่บ้านบ้าง แต่ไม่ได้คุมอาหารนะคะ แรกๆน้ำหนักก็ลงสัก 3-4 กิโลได้ คราวนี้ถึงปิดเทอมใหญ่ ก็เจอสูตรลดน้ำหนักในเน็ต สูตรกาแฟดำไข่ต้มนั่นล่ะค่ะ กินตามนั้นเจ็ดวันวนๆไป ออกกำลังกายหนักมากทั้งเช้าเย็น กินอาหารน้อยมากๆ ใช้ความอดทนสูงจนจำความทรมานตอนนั้นได้ (จำได้ด้วยว่าตบะแตกกินคุ้กกี้ไป 6 ชิ้น) สุดท้ายแล้วมันก็ลดได้จริงๆค่ะ แค่ช่วงปิดเทอมใหญ่ เราลดไป 8 กิโลเลย เปิดเทอมมาครูตกใจ น้ำหนักเหลือ 47 กิโล และนั่นก็น้อยสุดในชีวิตแล้วค่ะ
แต่แล้วไงต่อ คือลดได้แล้ว...ก็เลยเลิกลด...กลับมากินอาหารตามปกติ เพราะงั้นก็สวัสดีค่ะโยโย่... ลดแบบอดอาหารมันไม่ทำให้พฤติกรรมการกินเปลี่ยน เรายังกินเยอะเหมือนเดิม ไม่ได้ออกกำลังกายแล้วด้วย น้ำหนักมันก็ค่อยๆกลับมา ผ่านไปไม่ถึงปีมั้ง ลองชั่งน้ำหนัก เจอตัวเลข 54 คือตกใจมาก กระโดดลงจากตาชั่ง และเราก็ไม่ชั่งน้ำหนักอีกเลยติดต่อกันเกิน 5 ปี แต่ตอนเข้ามหาลัยใหม่ๆเคยก้าวขาข้างเดียวขึ้นตาชั่ง..เข็มดีดไปเลข 6 ค่ะ ก็โดดลงอีกรอบ แล้วก็ไม่ชั่งอีกเลย
เราเป็นคนที่อ้วนเพราะกิน ของโปรดคือบรรดาของชุบแป้งทอด ไก่ทอด ซี่โครงหมูทอด กากหมูเจียว กินข้าวก็ครั้งละ 2 จาน กินเสร็จต่อด้วยมาม่าแห้งอีกห่อ หรือบางทีก่อนนอนยังดูดชานมไข่มุกอยู่เลย ยิ่งช่วงหลังๆนี่ร้านบุฟเฟ่ต์เต็มบ้านเต็มเมือง ก็สนุกกับการกินเข้าไปอีก
จนมาถึงวันนึงที่จำได้ไม่ลืม วันนั้นกำลังจะออกไปกินบุฟเฟต์ชาบูที่ห้าง (ก็ยังไม่พ้นเรื่องกินน่ะนะ555) พอเดินเข้าประตูห้าง เรารู้สึกหายใจไม่ไหว เหมือนคนเป็นหอบ หายใจไม่ทัน จนต้องบอกคนข้างๆว่าไปกินไม่ไหว ขอกลับไปนอนพัก แต่นอนแล้วก็ยังไม่หาย มันจะหายใจถี่ๆแล้วเหนื่อยๆ พูดยาวๆต่อกันไม่ได้ ต้องพูดเป็นคำๆ จนสุดท้ายต้องไปโรงบาล ...ก็โป๊ะเชะเลยค่ะ โดนจับชั่งน้ำหนัก.... เราไม่เคยเข้าโรงบาลมาก่อนเลย เพิ่งรู้ว่าเค้าจะจับชั่งทันที จะวิ่งหนีก็ไม่ทันแล้ว และตัวเลขที่ออกมาคือ 65.6...ตกใจช็อคแอดมิดเลยหนึ่งคืน
สรุปป่วยเป็นไรไม่รู้ ประมาณว่าหลอดลมตีบ คือมัวแต่ช็อคเรื่องน้ำหนัก 5555 และนั่นคือการนอนโรงบาลครั้งแรกของเรา หลังจากนั้นเวลาก่อนนอนเราต้องพ่นยาแก้หอบแทบทุกคืน ไม่งั้นจะหายใจไม่ออก เวลาคุยหรือหัวเราะมากๆนี่ก็ทำไม่ได้นะ มันจะไอๆๆจนหายใจไม่ได้อีก ก็อยู่อย่างป่วยๆต่อไป ไม่ได้สนใจว่าต้องแก้ไขยังไง
จนสักประมาณ 1-2 ปีผ่านไป จู่ๆเราก็เกิดอาเพศอะไรก็ไม่รู้ เราเปลี่ยนอาหารที่เรากินค่ะ ซึ่งเปลี่ยนอยู่ไม่กี่อย่างคือ
- เปลี่ยนจากข้าวขาวมาทานข้าวกล้อง (แต่ก็ยังทานเต็มๆจานเหมือนเดิม ไปกินสุกี้หรือเนื้อย่างก็ยังต้องสั่งข้าว หลายชามด้วย 555)
- เปลี่ยนจากขนมปังขาวมาเป็นขนมปังโฮลวีต (แต่ก็ยังต้องราดนมข้น ทาแยม เนยถั่ว นูเทลล่า บลาๆ)
- เราเลิกกินหมู (ข้อนี้นี่ทำให้ตัดเมนูของโปรดออกไปเป็นสิบอย่างเลย)
ส่วนปริมาณอาหารกับพฤติกรรมการใช้ชีวิตก็ยังเหมือนเดิมค่ะ และยังไม่กล้าชั่งน้ำหนักอยู่ดี แต่รู้สัดส่วนตัวเองนะคะ ตอนนั้นสัดส่วน 41-32-40 คือตัวกลมเป็นเมตรเลย แล้ววันนึงก็ถึงจุดเปลี่ยนที่ทำให้คิดจะลดความอ้วน เพราะเราอยากคอสตัวละครนี้ค่ะ
ก่อนหน้านี้ไม่เคยชอบตัวละครที่ใส่ชุดแบบนี้ เพราะงั้นเลยแต่งคอสทั้งที่อ้วนอยู่ได้ (เวลาโพสรูปก็เลือกมุมดีๆเลือกรูปดูผอมๆเอา) แต่คราวนี้คือไม่ได้แล้ว ไม่งั้นคงอายตัวเองมากๆ เลยตัดสินใจเริ่มลดความอ้วนค่ะ เริ่มจากการทำใจกล้าชั่งน้ำหนักดูก่อนเลย แล้วตัวเลขที่ออกมาคือ 59.5 กิโลกรัม
ตอนนั้นดีใจมากนะ ว่าน้ำหนักกลับมาอยู่หลัก 5 ถึงจะขาดครึ่งโลจะ 60 ก็เถอะ นั่นหมายความว่าน้ำหนักเราลงไปประมาณ 5-6 กิโลกรัมโดยแค่เปลี่ยนอาหารไม่กี่อย่างเท่านั้น แล้วจากนั้นเราก็เริ่มสิงอยู่ในเว็บบอร์ดนี่ล่ะค่ะ อ่านกระทู้หาข้อมูลว่าลดยังไงให้ถูกต้อง และเราก็เริ่มคุมอาหารและออกกำลังกายค่ะ
“เราผอมลงเพราะติดซีรี่ย์”
คือเราออกกำลังกายที่บ้านตลอด โชคดีที่คนที่บ้านเคยซื้อราวตากผ้าไว้ เราเลยเอามาใช้ออกกำลังกายซะเลย เป็นเครื่องที่มีที่วางขาสองข้างแล้วก้าวไปเรื่อยๆ แต่เครื่องมันจอเสียแล้ว เลยไม่รู้ความเร็วกับแคลอรีที่เผาผลาญไป... เราใช้เวลาวันละ 40 นาทีเล่นเครื่องนี้ ซึ่งเท่ากับซีรี่ย์ 1 ตอนพอดี เพราะงั้นเลยไม่รู้สึกขี้เกียจหรือเบื่อเลย รอเวลาจะได้ดูตอนต่อไปทุกวันๆ เหมือนใช้เป็นสิ่งล่อใจให้ลุกมาโยกเครื่องนี้ค่ะ เพราะงั้นใครยังนอนดูซีรี่ย์อยู่ ให้ลุกมาแกว่งแขนลดพุงระหว่างดูก็ยังดีนะ
แต่นอกจากเครื่องนี้แล้ว เราก็เปลี่ยนไปออกกำลังตามคลิปในยูทูปบ้าง พวก Dance workout นี่ทำบ่อยเพราะสนุก สมัยนี้นี่สะดวกมากนะ แค่มีมือถือก็ทำให้ออกกำลังกายที่ไหนเมื่อไหร่ก็ได้ แล้วคลิปออกกำลังกายนี่ก็เยอะมากๆ อย่างของ Fitness Blender หรือ Befit นี่ก็ชอบค่ะ ลองหาไปเรื่อยๆให้เจอรูปแบบที่เหมาะกับตัวเอง เรามีพื้นที่น้อย มีเวลาน้อย มีเงินน้อย ไม่เคยเข้าฟิตเนส ไม่ชอบไปวิ่ง ก็เลยเหมาะกับวิธีนี้
ช่วงเวลาของเราที่ใช้ออกกำลังกายคือตอนประมาณ 3 ทุ่ม ก่อนหน้านั้นก็นั่งทำงานนั่งโต๊ะตลอดแทบไม่ได้ขยับ ใครที่บ่นว่า”ไม่มีเวลา”ออกกำลังกายนี่ขอให้ลองจัดตารางของตัวเองดูเลยค่ะ ถ้ามี”ใจ”จะทำจริงๆยังไงก็ต้องเจียดเวลามาทำให้ได้ เราเองก็เคย”ไม่มีเวลา”ค่ะ แต่คำว่า”ไม่มีเวลา”ของเราคือทำงานจนเที่ยงคืนแล้วนอน ตื่นมาก็ต้องทำต่อ และเป็นต่อเนื่องไปหลายวัน ช่วงที่”ไม่มีเวลา”จริงๆ เราก็ไม่ได้ออกกำลังนะคะ (แต่ยังคุมอาหารนะ ) และมันก็ไม่มีทางยุ่งแบบนี้ทุกวันมั้ย ไม่งั้นคงตายเพราะทำงานหนักกันพอดี ถ้ายังพอมีเวลาทำอะไรอีกหลายอย่าง ก็สละเวลาสักนิดเพื่อออกกำลังกันดีกว่าค่ะ เราคิดว่าบางทีคนเราต้องสละอะไรสักอย่างเพื่อการได้มาซึ่งอีกอย่างนะ
“เราไม่ได้กินเพราะหิว เรากินเพราะอยาก”
ก่อนจะมาคุมอาหารนี่เราเป็นคนที่ไม่เคยหิวเลยค่ะ (สมัยที่ลดแบบอดอาหารนั่นอย่าเรียกว่าความหิว เรียกว่าความทรมานจะเหมาะกว่า) เพิ่งจะเคยท้องร้องครั้งแรกก็ตอนนี้แหละ เพราะก่อนหน้านี้กินตลอดทั้งวัน อยากกินอะไรก็กิน มื้อเย็นก็อลังการอย่างกับปาร์ตี้ ถ้าไม่จุกก็คือไม่อิ่ม แต่พอมาเริ่มคุมปริมาณอาหาร เลือกอาหาร ก็ทำให้รู้ว่าความพอดีเป็นยังไง จากที่เคยกินข้าว 2 จาน ก็ลดเหลือ 2 ทัพพี แล้วเราใช้ส้อมกินข้าวแทนช้อนมาตลอดเลยค่ะ ไม่รู้ว่ามีประโยชน์มั้ย แต่มันทำให้รู้สึกเหมือนได้กินหลายคำ หลอกตัวเองได้ว่ากินมาเยอะแล้ว ถ้าใช้ช้อนนี่แป๊บเดียวก็หมดจาน อาจมีตักเพิ่ม5555
ตลอดเวลาที่คุมอาหารมานี่ เราไม่เคยทานอาหารคลีนเลย เคยลองทำเองครั้งเดียวและนั่นก็เป็นครั้งสุดท้าย.. และข้อ(เสีย)สำคัญอีกอย่างที่ยังไม่ได้บอกคือ เราไม่กินผักค่ะ.... ใครที่คิดว่า”ไม่กินผัก”แล้วลดความอ้วนไม่ได้นี่บอกเลยว่าไม่เกี่ยวกัน แต่ผักก็มีประโยชน์มากๆนะ ถ้าทำได้ก็กินควบคู่ไปด้วย เราก็พยายามกินได้นิดหน่อยถ้ามันติดจานมา แต่ถ้ามาเป็นสลัดเขียวๆคือขอบาย...
มื้อเช้าเราจะทานประมาณนี้ค่ะ คือเราเป็นสัตว์กินแป้ง เริ่มต้นวันก็แทบจะมีแต่แป้ง แต่พัฒนาโดยการไม่ต้องทาอะไรบนขนมปังแล้ว และมันก็อร่อยด้วย ส่วนกาแฟ เรากินแบบซองๆ 3 in 1 นี่ล่ะค่ะ แต่”ลดปริมาณ” จากวันละซอง เหลือครึ่งซอง และเติมกาแฟดำลงไป รสชาติออกมากำลังดีเลย ถ้าดื่มนมก็ขอให้เลือกแบบ Fat 0% ถ้าทานไข่ก็อย่าใช้น้ำมัน แค่เอาเข้าเวฟก็พอ แต่เราก็ยังแอบกินช็อคโกแลตทุกวันด้วยนะที่จริง 55555555
ของทานเล่นระหว่างวัน ทั้งเช้าทั้งบ่าย จะเป็นประมาณนี้ค่ะ จากปกติที่กินขนมหวาน ไอติมแท่ง ชานมไข่มุก ก็กลายเป็นนานๆกินที ลูกชิ้นปลาระเบิดที่กินแทบทุกวันก็แทบเป็นเดือนละครั้งเลย
มื้อเที่ยงกับเย็น จะเป็นประมาณนี้คล้ายๆกัน จานที่ทานบ่อยสุดคือ ข้าวกล้องกับไก่ต้มค่ะ แต่ทุกจานมันคือของที่เราชอบทั้งนั้น พื้นฐานของการควบคุมอาหารคืองดของมัน ของทอด ของหวาน แต่เราไม่งดของโปรดนะคะ แม้จะโปรดของทอดเป็นที่สุด แต่มันก็ต้องมีของชอบที่รองๆลงมา ให้เลือกของที่ชอบที่มันแคลอรีน้อยสุด แล้วก็ทานในปริมาณที่เหมาะสม ก็ไม่ต้องรู้สึกอดแล้วค่ะ ส่วนถ้า"อยาก"ทานของที่อ้วนๆจนทนไม่ไหว ก็ให้ทานเถอะค่ะ แต่ทานแค่นิดเดียวพอ ให้คิดซะว่า คำต่อไปมันก็รสชาติเหมือนกับคำแรกนั่นแหละ ยิ่งทานเยอะก็ยิ่งอิ่ม อิ่มมากแล้วก็ง่วง ง่วงแล้วก็นอน นอนแล้วก็อ้วน อ้วนแล้วก็เครียด มีแต่เสียกับเสียค่ะ แต่ระหว่างวันก็อย่าปล่อยให้ตัวเองหิวนะ เพราะมันจะขาดสติทำให้กินเข้าไปเยอะโดยไม่รู้ตัว ทานอาหารที่มันอยู่ท้อง ดื่มน้ำเปล่าเยอะๆ เราว่าน้ำนี่สำคัญมากนะ ก่อนหน้านี้แทบไม่ได้ดื่มเลย แต่ตอนเริ่มลดความอ้วนก็เริ่มดื่มน้ำเยอะค่ะ ไม่ต้องกลัวบวมน้ำนะ ถ้าไม่ทานโซเดียมเข้าไปเยอะๆมันก็ไม่บวมหรอก
อีกหนึ่งอย่างที่ต้องลด คือบรรดาเครื่องดื่มชงๆทั้งหลาย อย่างกาแฟ โกโก้ ชาเย็น ชาเขียว หลายๆคนคง"ติด"ต้องดื่มทุกวัน เราก็แน่นอนค่ะ ชอบมาก เลยเริ่ม"ลด"ปริมาณลง จากแก้วนึง ก็เหลือครึ่งแก้ว ถ้าไม่พอกินก็จะเติมนมลงไป อร่อยกว่าเดิมอีก (ชอบกินนม555) แต่หลังๆมานี่แทบจะไม่ได้กินเลยค่ะ พอลดๆปริมาณลงเรื่อยๆ มันจะค่อยๆหายอยากไปเอง ไม่รู้ทำไม.. แต่ถ้าช่วงไหนกลับมากินนี่ก็ติดไปอีกหลายวันเลย ซึ่งก็ไม่ควรเนอะ 555
อีกวิธีนึงที่ใช้หลีกเลี่ยงความ”อยาก” ก็คืออย่าไปอยู่ในที่ที่มีของกินจุบจิบขายค่ะ ซึ่งเป็นไปได้ยากมากในประเทศไทยที่มีขายกันทุกสี่แยก ไม่นับในห้างอีกนะ ถ้าไม่จำเป็นก็เก็บตัวห่างๆหน่อย บางทีออกไปธุระเราไม่พกเงินเกินที่จำเป็น จะได้ไม่ต้องฟุ่มเฟือยซื้อขนมเข้ามา พยายามอย่าให้ที่ห้อง ที่ทำงาน หรือที่บ้านมีขนมวางอยู่ ง่ายๆคือให้มันอยู่ไกลตัวที่สุดค่ะ (บอกเลยว่าใครที่มีสิ่งแวดล้อมเหมาะสมในการลดความอ้วนนี่น่าอิจฉามากนะ เรานี่มีแต่อุปสรรครอบตัว ไม่ได้สรรหาอะไรมาก็มีของกินมาประเคนถึงที่ แม่ก็ทำอาหารอร่อย ในซอยก็มีแต่ขายอาหาร หน้าบ้านก็เข็นขนมผ่านตลอด ถ้าให้บ่นนี่แยกได้อีกกระทู้เต็มๆ)
(ขออนุญาตไปต่อด้านล่างนะคะ...คือพูดมากไป ข้อความเต็มโพสต่อไม่ได้ แงงงงงงงงง)