สวัสดีครับ เพื่อนๆชาวพันทิป ก่อนอื่นเราขอแนะนำตัวก่อนนะครับ
เราเป็นตัวแทนจาก Tourkrub.co เราได้มีโอกาสอ่านบทความนึง แล้วรู้สึกว่าเป็นประโยชน์และให้ข้อคิดที่ดี เลยนำมาฝากเพื่อนๆครับ บทความนี้เป็นงานวิจัยหนึ่ง เราได้เอามาแปลเป็นภาษาไทยเผื่อให้ทุกๆคนได้อ่านง่ายขึ้นครับ ในที่นี้เราอาจจะไม่ค่อยเก่งในเรื่องการเรียบเรียงก็ขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วยนะครับ
โดยส่วนตัวของผมมีความเห็นว่า ผู้คนสมัยนี้ มักเห็นเงินทองเป็นเรื่องใหญ่ ซึ่งมันก็ถูกของเขา ที่เงินทองไม่ได้หามาง่าย แต่เคยได้ยินกันไหมครับ ที่เขาพูดกันมาว่าเงินทองเป็นของนอกกาย ไม่ตายก็หาใหม่ได้ มันยังมีคนใช้คตินี้ในชีวิตประจำวันได้อยู่ไหมครับ ?? ผมคนนึงละ ที่คิดไว้เสมอเวลาอยากได้อะไรมากๆ แต่พอได้ครอบครองสิ่งๆนั้นแล้ว ผมกลับมานั่งคิดว่า ทำไมกันนะ เราถึงไม่เก็บเงิน ไว้ทำอะไรที่เป็นประโยชน์มากกว่า ความสุขมันอยู่ตรงไหนกันแน่ครับ ไม่ใช่แค่อยากได้สิ่งๆหนึ่งหรือครับ ซึ่งมันก็ไม่ได้เป็นปัญหาชีวิตอะไรหรอกครับ เป็นเพียงความขัดแย้งในตัวของผมเอง และก็ไม่มีอะไรมากครับ ผมแค่อยากจะมาแชร์บทความที่ผมอ่านแล้วมันใหม่ข้อคิดดีดีกับตัวผมเท่านั้นเอง
สาเหตุที่คุณควรใช้ เงิน ซื้อประสบการณ์ไม่ใช่สิ่งของ (เนื้อหาเริ่มตรงนี้ครับ)
เราไม่ได้มีเงินมากมายมหาศาล แต่ลองใช้มันเหมือนกับที่งานวิจัยนี้บอกสิ แล้วคุณจะมีความสุข
ในปัจจุบัน คนส่วนใหญ่มักต้องการความสุข ในขณะที่นักเศรษฐศาสตร์มากมายนั้น ได้กล่าวไว้ว่า ความสุขของบุคคลเหล่านั้น สำคัญต่อสภาวะของสังคม
เรารู้ว่า เงินนั้นทำให้คนมีความสุขได้มากขึ้น แต่อันที่จริงแล้ว เป็นเพียงแค่การใช้เงิน เพื่อดำรงชีวิตอยู่เท่านั้น หลังจากมีสิ่งของที่จำเป็นต่อชีวิตประจำวันแล้ว เงินนั้นไม่ได้ทำให้เรามีความสุขมากขึ้นแต่อย่างใด
ฉะนั้น คำถามหลักก็คือ เราควรที่จะเอาเงินเราไปไว้ตรงไหน? โดยเฉพาะสำหรับคนอย่างเรา ที่เงินเป็นทรัพยากรจำกัด
คนส่วนใหญ่นั้นใช้เหตุและผลในการสรุปว่า การใช้เงินซื้อสิ่งของนั้นทำให้ความสุขอยู่กับเรานานขึ้น เพราะสิ่งของที่เราซื้อนั้นอยู่ได้นานกว่าการนำเงินที่มีไปซื้อประสบการณ์ อย่างเช่น การไปคอนเสิร์ต หรือ การออกไปเที่ยวตามสถานที่ต่างๆ แต่ก็ได้มีงานวิจัยออกมาบอกว่าการคิดเช่นนั้น เป็นความคิดที่ผิด
"ศัตรูตัวสำคัญของความสุขนั้นคือ ความเคยชิน" เป็นคำพูดของ Dr.Thomas Gilovich ศาสตราจารย์ ผู้ศึกษาศาสตร์ของเงินและความสุขมามากกว่า 20 ปี ซึ่งได้พูดอีกว่า " คนเราซื้อของ ก็เพื่อให้เรามีความสุขมากขึ้น มันได้ผล เพียงชั่วคราว เท่านั้น เพราะไม่นานเราก็ชิน"
"เพราะฉะนั้น แทนที่จะนำเงินไปซื้อโทรศัพท์เครื่องใหม่ หรือ ถอยรถคันใหม่ ให้เปลี่ยนเป็นนำเงินไปซื้อประสบการณ์ เช่น ไปชมงานศิลปะตามนิทรรศการต่างๆ ทำกิจกรรมกลางแจ้ง หรือ การออกไปเที่ยวตามสถานที่ต่างๆ " Dr.Thomas Gilovich กล่าวไว้
การค้นพบของ Dr.Thomas Gilovich เป็นการผสมผสานงานวิจัยด้านจิตวิทยาต่างๆ ซึ่งเกี่ยวกับ "ทฤษฎี Easterlin Paradox" พูดคร่าวๆว่า เงินซื้อความสุขได้ แต่ได้แค่ถึงจุดๆหนึ่งเท่านั้น เขาได้ทำงานวิจัยในเรื่อง ผลกระทบของความเคยชินกับความสุขของเรา โดยให้คนทั่วไปรายงานความสุขของตัวเอง เกี่ยวกับสิ่งของ และประสบการณ์ในการซื้อของ โดยในช่วงแรกความสุขของการใช้เงิน คือการซื้อสิ่งของกับซื้อประสบการณ์นั้นเท่ากัน แต่เมื่อเวลาผ่านไปเรื่อยๆนั้น เรามีความสุขกับสิ่งของน้อยลง แต่กลับมีความสุขกับประสบการณ์เหล่านั้นเพิ่มขึ้นอย่างคาดไม่ถึง สิ่งของที่ทำให้เรามีความสุขอยู่นานนั้น ไม่ได้ทำให้เราสุขเท่ากับเมื่อก่อน แต่กลับกลายเป็นว่า เรานั้นปรับตัวให้ยอมรับกับการมีสิ่งๆนั้น จนสิ่งๆนั้นเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน "the new normal" โดยที่มูลค่าของสิ่งของนั้นลดลง แต่ประสบการณ์ต่างๆนั้น มาส่งเสริมความเป็นตัวตนของเรามากขึ้น
Dr.Thomas Gilovich กล่าวว่า "ประสบการณ์นั้นบ่งชี้ความเป็นตัวเราได้มากกว่าสิ่งของ" "เราอาจจะชอบของสิ่งหนึ่งมากๆ และอาจจะรู้สึกผูกพัน หรือคิดว่าสิ่งๆนั้นบอกถึงความเป็นตัวเรา แต่ถึงยังไงแล้วสิ่งๆนั้นก็ไม่ใช่ส่วนหนึ่งของเรา" ในทางกลับกัน ประสบการณ์นั้นกลับเป็นส่วนหนึ่งของตัวเรา เพราะเรานั้นคือผลลัพธ์จากประสบการณ์ที่เราเคยเจอ พูดง่ายๆก็คือ เราเรียนรู้และสร้างตัวตนจากประสบการณ์ต่างๆที่เราเจอ
มีการทดลองอันนึงของเขานั้น บอกไว้ว่า ประสบการณ์ที่กระทบความสุขของคนๆหนึ่งทางด้านลบ เมื่อเวลาผ่านไป จะกลายเป็นประสบการณ์ที่มีค่ามากขึ้น อะไรที่ทำให้เราเครียดหรือกลัวในอดีตอาจกลายเป็นเรื่องตลกในปัจจุบัน ซึ่งจะขัดเกลาจิตใจในตัวตนของคุณ
อีกเหตุผลหนึ่ง คือ การนำประสบการณ์ต่างๆมาแชร์ร่วมกันนั้นทำให้เราสนิทกับคนๆนึงมากกว่าการซื้อสิ่งของเสียอีก เช่น เราจะสนิทกับคนที่ไปเที่ยวโคลัมเบียด้วยกัน มากกว่าคนที่ซื้อทีวีรุ่นเดียวกัน
ซึ่งพูดได้ว่า " เราบริโภคประสบการณ์ต่างๆโดยตรงร่วมกับคนอื่นๆ ซึ่งวันหนึ่งจะเป็นส่วนหนึ่งของเรื่องเล่าของเรา " Dr.Thomas Gilovich กล่าวไว้ และอาจไม่ได้แชร์ประสบการณ์นั้นๆพร้อมกัน แต่ว่าเคยทำสิ่งๆหนึ่งเหมือนๆกัน ก็จะทำให้เรานั้นสนิทกันมากขึ้น
คนเรานั้นจะไม่เปรียบเทียบประสบการณ์ต่างๆในด้านลบ ต่างจากการเปรียบเทียบสิ่งของที่ซื้อได้ Ryan Howell and Graham Hill ได้ทำการวิจัยและพบว่า คนเราเปรียบเทียบสิ่งของ มากกว่าประสบการณ์ เพราะเราสามารถเปรียบเทียบคุณสมบัติต่างๆจากสิ่งของได้ง่าย
“แต่ก็ไม่ใช่ว่าเราไม่เปรียบเทียบประสบการณ์ เพราะเมื่อเราไปเที่ยว แล้วเห็นคนอื่นนั้นได้กินอาหารที่ดีหรือบินในสายการบินที่ดีกว่าเรา นั่นคือเขามีประสบการณ์ที่ดีกว่า อาจทำให้เราเกิดการเปรียบเทียบได้ แต่ก็ไม่ถึงกับทำให้รู้สึกอิจฉาเท่าการที่เรามีสิ่งของที่ด้อยว่าเขา” Dr.Thomas Gilovich กล่าวไว้ วิจัยต่างๆของเขานั้น มีนัยสำคัญต่อการเพิ่มความสุข เพื่อผลประโยชน์ต่างๆ เหมือนหัวหน้าที่อยากให้ลูกน้องมีความสุข หรือ ผู้ปกครองที่อยากให้ลูกที่บ้านมีความสุข
"การเปลี่ยนเป้าหมายในการใช้เงินของยุคสมัยนี้ เราสามารถเปลี่ยนให้คนมาซื้อประสบการณ์ เพื่อความสุขที่มากกว่า "ถ้าทุกคนเอาการวิจัยนี้เป็นหลักในการดำรงชีวิต ไม่เพียงแค่วิถีชีวิตจะเปลี่ยน แต่จะส่งผลกระทบต่อผู้ว่าจ้างที่จะเพิ่ม paid vacation และ รัฐบาลที่จะเพิ่ม สถานที่สาธารณะเพื่อทำกิจกรรมในกลางแจ้ง
สุดท้าย Dr.Thomas Gilovich ได้ทิ้งคำถามไว้ว่า "ในสังคมเรานั้น เราไม่ควรจริงหรือ ที่จะช่วยกันทำให้คนในสังคมมีโอกาสที่จะได้รับประสบการณ์ต่างๆในชีวิตได้ง่ายขึ้น"
ขอบคุณบทความดีๆ จาก :
http://www.fastcoexist.com/3043858/world-changing-ideas/the-science-of-why-you-should-spend-your-money-on-experiences-not-thing
สาเหตุที่คุณควรใช้ เงิน ซื้อประสบการณ์ไม่ใช่สิ่งของ
เราเป็นตัวแทนจาก Tourkrub.co เราได้มีโอกาสอ่านบทความนึง แล้วรู้สึกว่าเป็นประโยชน์และให้ข้อคิดที่ดี เลยนำมาฝากเพื่อนๆครับ บทความนี้เป็นงานวิจัยหนึ่ง เราได้เอามาแปลเป็นภาษาไทยเผื่อให้ทุกๆคนได้อ่านง่ายขึ้นครับ ในที่นี้เราอาจจะไม่ค่อยเก่งในเรื่องการเรียบเรียงก็ขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วยนะครับ
โดยส่วนตัวของผมมีความเห็นว่า ผู้คนสมัยนี้ มักเห็นเงินทองเป็นเรื่องใหญ่ ซึ่งมันก็ถูกของเขา ที่เงินทองไม่ได้หามาง่าย แต่เคยได้ยินกันไหมครับ ที่เขาพูดกันมาว่าเงินทองเป็นของนอกกาย ไม่ตายก็หาใหม่ได้ มันยังมีคนใช้คตินี้ในชีวิตประจำวันได้อยู่ไหมครับ ?? ผมคนนึงละ ที่คิดไว้เสมอเวลาอยากได้อะไรมากๆ แต่พอได้ครอบครองสิ่งๆนั้นแล้ว ผมกลับมานั่งคิดว่า ทำไมกันนะ เราถึงไม่เก็บเงิน ไว้ทำอะไรที่เป็นประโยชน์มากกว่า ความสุขมันอยู่ตรงไหนกันแน่ครับ ไม่ใช่แค่อยากได้สิ่งๆหนึ่งหรือครับ ซึ่งมันก็ไม่ได้เป็นปัญหาชีวิตอะไรหรอกครับ เป็นเพียงความขัดแย้งในตัวของผมเอง และก็ไม่มีอะไรมากครับ ผมแค่อยากจะมาแชร์บทความที่ผมอ่านแล้วมันใหม่ข้อคิดดีดีกับตัวผมเท่านั้นเอง
สาเหตุที่คุณควรใช้ เงิน ซื้อประสบการณ์ไม่ใช่สิ่งของ (เนื้อหาเริ่มตรงนี้ครับ)
เราไม่ได้มีเงินมากมายมหาศาล แต่ลองใช้มันเหมือนกับที่งานวิจัยนี้บอกสิ แล้วคุณจะมีความสุข
ในปัจจุบัน คนส่วนใหญ่มักต้องการความสุข ในขณะที่นักเศรษฐศาสตร์มากมายนั้น ได้กล่าวไว้ว่า ความสุขของบุคคลเหล่านั้น สำคัญต่อสภาวะของสังคม
เรารู้ว่า เงินนั้นทำให้คนมีความสุขได้มากขึ้น แต่อันที่จริงแล้ว เป็นเพียงแค่การใช้เงิน เพื่อดำรงชีวิตอยู่เท่านั้น หลังจากมีสิ่งของที่จำเป็นต่อชีวิตประจำวันแล้ว เงินนั้นไม่ได้ทำให้เรามีความสุขมากขึ้นแต่อย่างใด
ฉะนั้น คำถามหลักก็คือ เราควรที่จะเอาเงินเราไปไว้ตรงไหน? โดยเฉพาะสำหรับคนอย่างเรา ที่เงินเป็นทรัพยากรจำกัด
คนส่วนใหญ่นั้นใช้เหตุและผลในการสรุปว่า การใช้เงินซื้อสิ่งของนั้นทำให้ความสุขอยู่กับเรานานขึ้น เพราะสิ่งของที่เราซื้อนั้นอยู่ได้นานกว่าการนำเงินที่มีไปซื้อประสบการณ์ อย่างเช่น การไปคอนเสิร์ต หรือ การออกไปเที่ยวตามสถานที่ต่างๆ แต่ก็ได้มีงานวิจัยออกมาบอกว่าการคิดเช่นนั้น เป็นความคิดที่ผิด
"ศัตรูตัวสำคัญของความสุขนั้นคือ ความเคยชิน" เป็นคำพูดของ Dr.Thomas Gilovich ศาสตราจารย์ ผู้ศึกษาศาสตร์ของเงินและความสุขมามากกว่า 20 ปี ซึ่งได้พูดอีกว่า " คนเราซื้อของ ก็เพื่อให้เรามีความสุขมากขึ้น มันได้ผล เพียงชั่วคราว เท่านั้น เพราะไม่นานเราก็ชิน"
"เพราะฉะนั้น แทนที่จะนำเงินไปซื้อโทรศัพท์เครื่องใหม่ หรือ ถอยรถคันใหม่ ให้เปลี่ยนเป็นนำเงินไปซื้อประสบการณ์ เช่น ไปชมงานศิลปะตามนิทรรศการต่างๆ ทำกิจกรรมกลางแจ้ง หรือ การออกไปเที่ยวตามสถานที่ต่างๆ " Dr.Thomas Gilovich กล่าวไว้
การค้นพบของ Dr.Thomas Gilovich เป็นการผสมผสานงานวิจัยด้านจิตวิทยาต่างๆ ซึ่งเกี่ยวกับ "ทฤษฎี Easterlin Paradox" พูดคร่าวๆว่า เงินซื้อความสุขได้ แต่ได้แค่ถึงจุดๆหนึ่งเท่านั้น เขาได้ทำงานวิจัยในเรื่อง ผลกระทบของความเคยชินกับความสุขของเรา โดยให้คนทั่วไปรายงานความสุขของตัวเอง เกี่ยวกับสิ่งของ และประสบการณ์ในการซื้อของ โดยในช่วงแรกความสุขของการใช้เงิน คือการซื้อสิ่งของกับซื้อประสบการณ์นั้นเท่ากัน แต่เมื่อเวลาผ่านไปเรื่อยๆนั้น เรามีความสุขกับสิ่งของน้อยลง แต่กลับมีความสุขกับประสบการณ์เหล่านั้นเพิ่มขึ้นอย่างคาดไม่ถึง สิ่งของที่ทำให้เรามีความสุขอยู่นานนั้น ไม่ได้ทำให้เราสุขเท่ากับเมื่อก่อน แต่กลับกลายเป็นว่า เรานั้นปรับตัวให้ยอมรับกับการมีสิ่งๆนั้น จนสิ่งๆนั้นเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน "the new normal" โดยที่มูลค่าของสิ่งของนั้นลดลง แต่ประสบการณ์ต่างๆนั้น มาส่งเสริมความเป็นตัวตนของเรามากขึ้น
Dr.Thomas Gilovich กล่าวว่า "ประสบการณ์นั้นบ่งชี้ความเป็นตัวเราได้มากกว่าสิ่งของ" "เราอาจจะชอบของสิ่งหนึ่งมากๆ และอาจจะรู้สึกผูกพัน หรือคิดว่าสิ่งๆนั้นบอกถึงความเป็นตัวเรา แต่ถึงยังไงแล้วสิ่งๆนั้นก็ไม่ใช่ส่วนหนึ่งของเรา" ในทางกลับกัน ประสบการณ์นั้นกลับเป็นส่วนหนึ่งของตัวเรา เพราะเรานั้นคือผลลัพธ์จากประสบการณ์ที่เราเคยเจอ พูดง่ายๆก็คือ เราเรียนรู้และสร้างตัวตนจากประสบการณ์ต่างๆที่เราเจอ
มีการทดลองอันนึงของเขานั้น บอกไว้ว่า ประสบการณ์ที่กระทบความสุขของคนๆหนึ่งทางด้านลบ เมื่อเวลาผ่านไป จะกลายเป็นประสบการณ์ที่มีค่ามากขึ้น อะไรที่ทำให้เราเครียดหรือกลัวในอดีตอาจกลายเป็นเรื่องตลกในปัจจุบัน ซึ่งจะขัดเกลาจิตใจในตัวตนของคุณ
อีกเหตุผลหนึ่ง คือ การนำประสบการณ์ต่างๆมาแชร์ร่วมกันนั้นทำให้เราสนิทกับคนๆนึงมากกว่าการซื้อสิ่งของเสียอีก เช่น เราจะสนิทกับคนที่ไปเที่ยวโคลัมเบียด้วยกัน มากกว่าคนที่ซื้อทีวีรุ่นเดียวกัน
ซึ่งพูดได้ว่า " เราบริโภคประสบการณ์ต่างๆโดยตรงร่วมกับคนอื่นๆ ซึ่งวันหนึ่งจะเป็นส่วนหนึ่งของเรื่องเล่าของเรา " Dr.Thomas Gilovich กล่าวไว้ และอาจไม่ได้แชร์ประสบการณ์นั้นๆพร้อมกัน แต่ว่าเคยทำสิ่งๆหนึ่งเหมือนๆกัน ก็จะทำให้เรานั้นสนิทกันมากขึ้น
คนเรานั้นจะไม่เปรียบเทียบประสบการณ์ต่างๆในด้านลบ ต่างจากการเปรียบเทียบสิ่งของที่ซื้อได้ Ryan Howell and Graham Hill ได้ทำการวิจัยและพบว่า คนเราเปรียบเทียบสิ่งของ มากกว่าประสบการณ์ เพราะเราสามารถเปรียบเทียบคุณสมบัติต่างๆจากสิ่งของได้ง่าย
“แต่ก็ไม่ใช่ว่าเราไม่เปรียบเทียบประสบการณ์ เพราะเมื่อเราไปเที่ยว แล้วเห็นคนอื่นนั้นได้กินอาหารที่ดีหรือบินในสายการบินที่ดีกว่าเรา นั่นคือเขามีประสบการณ์ที่ดีกว่า อาจทำให้เราเกิดการเปรียบเทียบได้ แต่ก็ไม่ถึงกับทำให้รู้สึกอิจฉาเท่าการที่เรามีสิ่งของที่ด้อยว่าเขา” Dr.Thomas Gilovich กล่าวไว้ วิจัยต่างๆของเขานั้น มีนัยสำคัญต่อการเพิ่มความสุข เพื่อผลประโยชน์ต่างๆ เหมือนหัวหน้าที่อยากให้ลูกน้องมีความสุข หรือ ผู้ปกครองที่อยากให้ลูกที่บ้านมีความสุข
"การเปลี่ยนเป้าหมายในการใช้เงินของยุคสมัยนี้ เราสามารถเปลี่ยนให้คนมาซื้อประสบการณ์ เพื่อความสุขที่มากกว่า "ถ้าทุกคนเอาการวิจัยนี้เป็นหลักในการดำรงชีวิต ไม่เพียงแค่วิถีชีวิตจะเปลี่ยน แต่จะส่งผลกระทบต่อผู้ว่าจ้างที่จะเพิ่ม paid vacation และ รัฐบาลที่จะเพิ่ม สถานที่สาธารณะเพื่อทำกิจกรรมในกลางแจ้ง
สุดท้าย Dr.Thomas Gilovich ได้ทิ้งคำถามไว้ว่า "ในสังคมเรานั้น เราไม่ควรจริงหรือ ที่จะช่วยกันทำให้คนในสังคมมีโอกาสที่จะได้รับประสบการณ์ต่างๆในชีวิตได้ง่ายขึ้น"
ขอบคุณบทความดีๆ จาก : http://www.fastcoexist.com/3043858/world-changing-ideas/the-science-of-why-you-should-spend-your-money-on-experiences-not-thing