เราสังเกตว่า ช่วงนี้พันทิปมีกระทู้เกี่ยวกับโรคซึมเศร้าเยอะเหลือเกิน
(หรือเราเองที่เห็นแต่เรื่องนี้ไม่รู้ ปกติไม่ได้สิงพันทิป)
เราเป็นคนนึงที่มีภาวะซึมเศร้า เข้าข่ายจะเป็นโรคซึมเศร้า หรือเป็นแล้วอันนี้ก็ไม่รู้ เพราะเราไม่เคยไปพบจิตแพทย์
เราก็เป็นอย่างที่กระทู้ที่เกี่ยวกับโรคซึมเศร้าเขียนไว้แทบทั้งหมด เพียงแค่ว่าเราไม่ได้พยายามฆ่าตัวตาย
จริงๆต้องเรียกว่า “ไม่ฆ่าตัวตายตรงๆ” มากกว่า เพราะเรามักจะจงใจดำเนินชีวิตแบบผิดๆ คือทำใช้ชีวิตแบบให้มันสั้นลงกว่าที่ควรจะเป็น
เช่น ตั้งใจไม่นอน ตั้งใจไม่กิน ชอบพาตัวเองไปอยู่ในจุดที่เสี่ยงเกิดอุบัติเหตุ และจะมีความรู้สึกประมาณ ถ้าอยู่ในที่สูงๆจะรู้สึกอยากกระโดดลงไปข้างล่าง เดินตามถนนเห็นรถวิ่งเร็วๆจะอยากเดินลงไปตัดหน้ารถ นั่งอยู่บนรถจะรู้สึกอยากเปิดประตูรถตอนที่รถกำลังวิ่ง ขับรถมอร์ไซค์ก็จะรู้สึกอยากขับเร็วๆแล้วทิ้งให้รถล้มหรือชนอะไรซักอย่าง
ความรู้สึกทั้งหมดมันเกิดขึ้นเอง และมันก็ยังอยู่กับเราตลอด
ที่เราไม่ไปหาหมอ ไม่ใช่เพราะเรื่องอายคนรอบข้าง
ใจจริงเราอยากไปมาก แต่เรารู้สึกว่าเราคงไม่เปิดใจให้หมอ คงไม่พูดทั้งหมดที่คิดที่รู้สึก ก็เลยรู้สึกเปล่าประโยชน์ที่จะไปพบ
และอีกอย่างคือเรายังไม่ตัดสินใจทำตามความรู้สึกจริงๆ เลยยังไม่คิดว่าที่เป็นอยู่เป็นปัญหา แค่มันสร้างความรำคาญใจเท่านั้น
เราอยู่กับภาวะแบบนี้มานานมาก อยู่กับมันมาได้ไงโดยไม่ลงมือทำจริงๆ และไม่ไปหาหมอด้วย
ก็เลยอยากลองมาแชร์ว่า เรามีการจัดการกับตัวเองยังไง
อันดับแรกและสำคัญที่สุด เราต้องรู้ตัว ต้องรู้ตัวแทบจะตลอดเวลา
ตอนที่มีความสุขดีก็ต้องรู้ตัว (เพราะจากนั้นอยู่ๆเราอาจจะเศร้าเฉียบพลัน คือหัวเราะอยู่เมื่อเกี้ยะ แล้วก็จะเศร้าเลยหลังจากนั้น //ไบโพล่าหรือป่าว)
ถึงตอนที่สติหลุดก็ต้องรู้ตัวว่าสติกำลังหลุด ไม่ต้องไปฝืนมัน
ร้องไห้แบบไม่มีสาเหตุก็ต้องรู้ตัว ไม่ต้องพยายามหาคำตอบว่าร้องทำไม ร้องให้หลับไป
รู้สึกอยากไปก็ต้องรู้ตัว ห้ามความคิดไม่ได้ก็ต้องรู้ตัว แค่รู้ตัว ยังไม่ต้องทำอะไร
มันยากนะ แต่ก็ต้องรู้ แล้วขี้สงสัยให้น้อยเท่าไหร่ก็ยิ่งดี ไม่ต้องถามอะไรตัวเองหรือถามอะไรเลยยิ่งดี
โดยเฉพาะคำถามประเภท “ทำไม”
เพราะคำตอบของคำว่า ทำไม มันไม่ได้ถูกต้องทุกครั้ง
ตอนอยู่ในภาวะนั้น มันจะได้คำตอบที่ถูกต้องแบบที่ต่างออกไป ...มันอาจทำให้เราตาย
ถ้าไม่อยากทำตัวเองตาย ก็อย่าพึ่งถาม
แต่เราว่าสัญญาณของแต่ละคนไม่เหมือนกัน ดังนั้นเราต้องสังเกตตัวเอง หาสัญญาณของตัวเองให้ได้
เราว่าเราโชคดีตรงที่รู้ตัวเร็ว ตอนม.ต้นได้ทำแบบทดสอบโรคซึมเศร้าแล้วเข้าข่าย และเข้าข่ายทุกครั้งทุกปี (ฮา)
คือตอนม.2 เราเริ่มต้องอยู่คนเดียว บ้านอยู่ต่างจังหวัดและเข้ามาเรียนในกรุงเทพ ไม่มีผู้ปกครอง อยู่กับพี่สาวที่เรียนมหาลัย เค้าก็จะไม่ค่อยกลับมาห้องเท่าไหร่ ก็คือกลายเป็นอยู่คนเดียวจริงๆ
ครอบครัวไม่มีปัญหาอะไรเลย เรียนไม่มีปัญหา เพื่อนไม่มีปัญหา (จริงๆชีวิตไม่มีปัญหาอะไรเลย)
เราไม่รู้ด้วยว่าสาเหตุที่เราเป็นเป็นเพราะอะไร ปัญหาชีวิตอะไรก็ไม่มี หรือเพราะอยู่คนเดียวมากไป..ก็ไม่น่าใช่
(บางทีก็เหมือนจะรู้สาเหตุ แต่ไม่อยากขยี้มันให้เรารู้สึกถึงมันมาก และบอกตัวเองว่าเรื่องนั้นเราคิดไปเอง จะตายเพราะเรื่องนี้มันไร้สาระ //นับว่านี่เป็นการป้องกันตัวเองขั้นต้น)
ตั้งแต่รู้ว่าตัวเองเข้าข่ายเป็นโรคซึมเศร้าก็จับตาดูและสังเกตตัวเองตลอด
แรกๆก็ยังไม่รู้หรอก ว่าสัญญาณอาการเราคืออะไร แต่เพื่อนสมัยเรียนมันตั้งภาวะนี้ของเราว่า ‘Seasons Change’
...เพราะอากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย...
(แต่ตอนที่มันเรียกแบบนี้ใส่ตอนที่กำลังพีคๆนี่ก็โมโหนะ)
สัญญาณแรกของเราคือ อยู่ๆจะไม่มีความสุขกับสิ่งที่ทำให้เรามีความสุขมาตลอด (แบบไม่มีสาเหตุ)
มันเป็นภาวะที่น่ากลัวนะ เรารู้สึกกลัวมากๆตอนที่อยู่ดีๆเราก็ไม่ชอบและเบื่อมากๆในสิ่งที่ชอบ โดยที่สิ่งนั้นไม่ได้มีอะไรที่เราไม่ชอบเกิดขึ้น
และเราว่านั่นแหละ อันตรายที่สุดสำหรับเรา มากกว่าการคิดแต่อะไรในแง่ลบอีก
และตามมาด้วยอาการเริ่มขี้เกียจกิน เริ่มขี้เกียจนอน แต่ก็เริ่มไม่อยากตื่นด้วย
ไม่อยากอยู่คนเดียวเพราะกลัวตัวเอง แต่ก็ไม่อยากเจอหน้าใคร
อยู่นิ่งๆในที่เดิมนานๆ จดจ่ออยู่กับความว่างเปล่ารอบตัว ซ่อนตัวเองและทำแค่ “คิด” คิดอะไรก็ไม่รู้ ..แค่คิด
// มีอยู่ครั้งนึง โดนอาจารย์(ไม่ได้สนิทกัน)ถามว่า “เป็นอะไรรึป่าว มีอะไรปรึกษาครูได้นะ” ตอนกำลังเรียนหนังสือ
เราตกใจมาก ว่าเราเป็นอะไรทำไมครูถึงถามแบบนั้น เราว่าหูเราก็ฟังอาจารย์อยู่นะ..... ตอนนั้นกลัวตัวเองไปเลย ฮะๆๆ //
เมื่อเรารู้ตัว สิ่งแรกที่เราทำเลยคือ..... ซ่อนตัวเอง เพื่อซ่อมตัวเอง
เพราะเราไม่อยากให้คนรอบข้างที่กำลังสดใสมีความสุขต้องหมองลงเพราะภาวะบ้าบอของเรา
// เคยไปอ่านเจอว่าโรคซึมเศร้าเป็นโรคติดต่อ และเราก็เชื่อว่าจริง ..เพราะเราเป็น(ฮา) บ่อยๆเราเศร้าเพราะอารมณ์เศร้าของคนอื่น //
และที่สำคัญคือ หลบการซ้ำเติมจากคนที่ไม่เข้าใจ
// ลำพังรับมือกับอารมณ์ของตัวเองก็หนักหนาแล้ว มาเจอคนไม่เข้าใจในภาวะนี้อีกนี่จะไปไกลมาก ถึงแม้จะเป็นพวกคำพูดปลอบใจ แต่เราก็จะยังคงรู้สึกว่าเค้าไม่ได้เข้าใจเรา//
แต่อันนี้เราว่าไม่ได้เหมาะสำหรับทุกคนที่อยู่ในภาวะซึมเศร้า เราก็รู้ดีว่าการจมอยู่กับมันคนเดียวอันตรายนะ ...แต่เราทำมันเป็นนิสัยไปแล้ว
(มันจะยังคงเป็น ”นิสัย” ตราบที่อาการมันยังไม่หนักไปกว่านี้อ่ะนะ)
แล้วซ่อมยังไง ในเมื่อเรื่องที่ชอบ ของที่ชอบ คนที่ชอบ เราเบื่อหมดเลย ไม่มีอะไรมาช่วยให้จิตใจดีขึ้นได้ (เผลอๆทำไห้แย่ลงด้วย)
1 นอน นอนนิ่งๆ ปิดห้องปิดไฟปิดแอร์ปิดพัดลม ยุงกัดก็ไม่ต้องตบ หายใจอย่างเดียว นอนเป็นศพหายใจได้ จมมันให้สุด รู้สึกให้สุด
แบบไม่ต้องมีอะไรบิ้ว อารมณ์ตัวเองล้วนกับความเงียบ จนมันว่างเปล่า แล้วแกล้งตายไปเลย (ไม่ต้องลงมือ แกล้งพอ แค่ความเงียบเราก็ตายได้)
มันไม่หายหรอก เพราะมันเป็นแค่ขั้นแรกในการซ่อม
เมื่ออารมณ์มันตกจนสุดแล้ว มันจะไม่ตกอีกแล้ว แล้วมันก็จะเริ่มกลับขึ้นมาเอง แค่ไม่ทันที
(นี่คือการหักดิบอ่ะ เรามันสายโหด จริงๆไม่อยากแนะนำ แต่เราอยากแชร์ให้อ่าน // ไม่ได้มั่นใจว่าเป็นวิธีที่ถูกด้วยนะ)
2ตื่น ต้องตื่นค่ะ ตื่นนะแต่ยังไม่ลุกทันที555 คือมันยังไม่หายหรอก มันจะอึนๆเหมือนเมาค้าง
แล้วก็ดำเนินชีวิตในเรื่องที่ต้องทำ อย่างไปทำงานหรือไปเรียน (ต้องไปนะ)
สองขั้นตอนนี้เราทำอยู่หลายวัน แล้วแต่ความรุนแรงของอาการแต่ละครั้ง
มันไม่ทำให้อาการหายไป แต่มันก็ทำให้เราไม่ตาย (อยู่เป็นผีดิบ)
อย่าลืมนะ เราต้อง “รู้ตัว”
ขั้นต่อมา คือ เริ่ม 'เริ่มต้นใหม่' โดยการเริ่มมองสิ่งรอบตัว และตั้งคำถาม “ทำไม”
แต่เราไม่ถามเรื่องตัวเอง
เราเห็นอะไรก็ถามเลย อย่างเช่น แมลงสาปมันอยู่ได้ยังไงทั้งที่มีแต่คนเกลียดมัน
ไส้เดือนมันอยู่ได้ยังไงทั้งที่มันมีประโยชน์แต่ไม่มีคนเห็น ทำไมต้นไม้ถึงมาขึ้นตรงนี้ทั้งที่ไม่มีคนปลูก
ทำไมฝนต้องตก ทำไมพระอาทิตย์ต้องขึ้น ทำไมใบไม้ต้องร่วง
เราถามทุกอย่าง บางครั้งถามแล้วก็ร้องไห้ (ร้องทำไม) เหมือนคนบ้า แต่ว่าความบ้านี้ช่วยได้
แล้วเราก็จะได้คำตอบเอง และคำตอบจากคำถามพวกนี้มันช่วยเราได้
จริงๆมันมีคำถามเยอะแยะ แต่ว่าตอนนี้เราไม่ได้อยู่ในภาวะที่หนักหน่วง เลยคิดไม่ออก (ฮา)
ตอนดำเนินการอยู่ในขั้นนี้บางทีเราก็ใช้ประโยชน์จากมันเขียนบทความ
การเขียนบทความช่วยให้เราสรุปและทบทวนความคิดที่พึ่ง “เกิดใหม่”
การเขียนบทความจากความคิดช่วงนี้ก็สำคัญ คือเมื่อเราเข้าสู่ภาวะซึมเศร้าอีกครั้ง เราอาจจะมาเห็น และคิดได้ว่า เราเคยผ่านช่วงเวลาแบบนี้มาได้ แล้วครั้งนี้มันก็ต้องผ่านไปได้อีก
(แต่ไม่ทุกครั้ง บางครั้งก็ด่าบทความตัวเองว่าโลกสวยก็มี ฮะๆๆๆๆ)
**อย่าถามคำถามพวก “ทำไมเรา...” ทำไมเราถึงเป็นแบบนี้ ทำไมเราต้องมาเรียน ทำไมเราต้องมาทำงาน ทำไมเราต้องมาเจอมัน ทำไมเราบลาๆๆ (ทำไมเราต้องคิดอะไรแบบนี้ด้วย)
อย่าถามเด็ดขาด เพราะคำตอบที่ได้มันไม่ช่วยทำให้เราดีขึ้นเลย ต้องไม่ถามให้ได้**
ต่อมา เริ่มต้นใหม่จริงๆ เริ่มที่การจัดห้องใหม่
เราถึงขั้นย้ายเฟอร์นิเจอร์ใหม่หมด ย้ายเอง ต้องทำเองคนเดียวนะ ตู้ทับตายก็ช่างมัน (แต่พยายามอย่าให้มันทับดีที่สุด)
ยกอะไรได้ยก ย้ายอะไรได้ย้าย ตู้เตียงโต๊ะ ย้ายและเช็ด ขอบประตู หน้าต่าง มุ้งรวดลูกกรง ในห้องมีอะไรเช็ดให้หมด ล้างห้องน้ำแบบทิ้งอะไรได้ทิ้ง
แล้วทุกอย่างต้องทำให้เสร็จในวันเดียว จะทำตั้งแต่ค่ำยันเช้า หรือเช้ายันค่ำ ก็ต้องทำให้เสร็จในครั้งเดียว
ตอนจัดห้องใหม่ เราอาจจะคิดอะไรเยอะแยะ ก็คิดไป แต่สุดท้ายแล้วต้องกลับมาจบที่ห้อง คือห้องต้องเสร็จ จะทำไปพักไปกี่รอบก็ได้
ถ้าทำต่อไม่ไหว ให้เปิดวิทยุ
ต้องวิทยุ อย่าเปิดเพลงที่เราเลือกเอง ต้องฟังเพลงที่ดีเจบังคับให้ฟัง
เราอาจจะได้ฟังเพลงที่ชอบ หรือเพลงที่กระทบกระเทือนจิตใจ หรือเพลงอะไรของมันวะ
ทำไมต้องวิทยุ เพราะเราในตอนนั้นไม่อยากพูดกับใคร ไม่อยากเจอใคร แต่ก็ไม่อยากอยู่เงียบๆแล้ว
วิทยุคือสิ่งที่เราทำได้แต่ “ฟังอย่างเดียว”
บางทีดีเจอาจจะเปิดเพลงหรือเล่าเรื่องอะไรที่เบี่ยงเบนเรื่องที่เรากำลังจมอยู่กับความคิด
// จริงๆถ้าไม่มีเสียงวิทยุก็เสียงทีวีก็ได้ เสียงอะไรก็ได้ที่เค้ายัดเยียด..เอ่อ แนะนำ ให้เรารับรู้ //
เราเปิดเพื่อแค่ไม่ให้ห้องเงียบ อะไรก็ได้ที่เป็นเสียงเหมือนคนคุยกัน แต่จริงๆเราก็ไม่ได้ตั้งใจฟังมันหรอก อารมณ์ตอนนั้น
แต่การที่เริ่มรู้สึกไม่อยากอยู่คนเดียว เป็นสัญญาณที่ดี
และถ้ารู้สึกหิว จะดีมากๆ ถึงมากที่สุด
จะอดจนกว่าจะทำห้องให้เสร็จแล้วไปหากิน หรือจะไปหากินก่อนก็แล้วแต่เลย แต่อย่าลืม ห้องต้องเสร็จ
:: แนะนำว่า ล้างห้องน้ำเป็นอย่างสุดท้าย แล้วล้างตัวเองให้สะอาดหมดจดเป็นอย่างท้ายสุด
ล้างแบบลงแปลงสามสี่รอบ ล้างแบบให้นิ้วเปื่อยไปเลย ตัดเล็บ ตัดผมได้ตัด(เราตัดผมเองตลอด เป็นของคลายเครียด เรื่องอะไรจะไปร้านตัดผม) ::
เมื่อได้รังใหม่แล้ว ได้ร่างใหม่แล้ว ต่อไปก็คือซื้อของใหม่ ของทั่วไป สบู่ ยาสระผม แปรงสีฟัน ถ้วยชาม แก้วน้ำ ไม้แขวนเสื้อ ฯลฯ และเราว่าที่สำคัญมากๆคือ ชุดชั้นใน
**ของใหม่ในที่นี้ ไม่นับเสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้า อะไรพวกนี้ นับแค่ของใช้เท่านั้น (สำหรับเรานะ แต่ถ้าใครซื้อของพวกนี้แสดงว่าหายดีแล้วหละ ฮะๆๆ)**
ส่วนใหญ่แล้ว ถ้าทำแค่นี้เราก็จะหายแล้วแหละ
มันรู้สึกเหมือนได้เริ่มต้นชีวิตใหม่ เป็นการ “ตายและเกิดใหม่แบบหลอกๆ”
ความรู้สึกพวกนี้ เราว่าเราไม่จำเป็นต้องตายจริงๆก็ได้ ชีวิตเรามีค่าแค่ความรู้สึกพวกนี้เนี่ย ถ้าตายเพราะมันก็รู้สึกแย่เหมือนกัน
อยู่ก็ไร้ค่า จะตายยังจะไร้ค่าอีกเหรอ
เราเลยไม่อยากยอมแพ้ แต่ถ้าจะยอมแพ้ ก็ขอลองสู้ก่อน
// เป็นปฏิบัติการเชิงสัญลักษณ์ ว่าเราจะไม่ยอมถูกความซึมเศร้าควบคุม //
และนี่คือวิธีสู้ของเรา การตายแล้วเกิดใหม่แบบหลอกตัวเอง แต่ว่า อย่างเคยๆคือบางทีมันก็ใช้ไม่ได้ผล
มีบางทีคือเราเหนื่อยจริงๆ เกิดมงเกิดใหม่อะไรคือไม่อยากเกิด ไม่อยากทำ ไม่อยากระดิกแม้แต่ขน (หายใจก็เหนื่อยแล้วแก)
สุดท้ายเลย สิ่งที่ช่วยเราได้เสมอคือ “สิ่งมีชีวิตที่เกิดใหม่จริงๆ”
เราเคยมองยอดใบไม้ที่แตกออกมาใหม่ แล้วรู้สึกดีขึ้น แบบดีขึ้นมาก
นั่นคือความจำเป็น ในการร่วงหล่นของใบไม้ที่แห้งเหี่ยว
เราก็เหมือนกัน มันต้องร่วงหล่นก่อน ถึงจะเกิดยอดใหม่ ใบที่สดใสกว่า
เราต้องตายแน่ๆ แต่ได้เกิดใหม่มั๊ยไม่รู้ ถ้าเราตายจริงๆ เราจะได้รับรู้ถึงความสดใสนี้มั้ย
ถ้ามีความสดใสแบบนี้รออยู่ ถ้าเราตายไปตอนนี้ เราจะเสียดายมันมั้ย
ความเสียดายนี้แหละ ทำให้เรายังอยู่ (ฮา)
ยังไงวันนึงเราก็ต้องตาย ไม่จำเป็นต้องไปเร่งรัดมันเพียงเพราะความรู้สึกว่าไม่อยากอยู่
ตอนนี้เรายังอยู่ เราแค่แห้งเหี่ยวเหมือนตาย เรายังมีโอกาสผลิบานได้ใหม่ ถึงแม้จะเป็นเมื่อไหร่ไม่รู้ก็ตาม
การรับมือกับภาวะซึมเศร้า (ในแบบของเราเอง)
(หรือเราเองที่เห็นแต่เรื่องนี้ไม่รู้ ปกติไม่ได้สิงพันทิป)
เราเป็นคนนึงที่มีภาวะซึมเศร้า เข้าข่ายจะเป็นโรคซึมเศร้า หรือเป็นแล้วอันนี้ก็ไม่รู้ เพราะเราไม่เคยไปพบจิตแพทย์
เราก็เป็นอย่างที่กระทู้ที่เกี่ยวกับโรคซึมเศร้าเขียนไว้แทบทั้งหมด เพียงแค่ว่าเราไม่ได้พยายามฆ่าตัวตาย
จริงๆต้องเรียกว่า “ไม่ฆ่าตัวตายตรงๆ” มากกว่า เพราะเรามักจะจงใจดำเนินชีวิตแบบผิดๆ คือทำใช้ชีวิตแบบให้มันสั้นลงกว่าที่ควรจะเป็น
เช่น ตั้งใจไม่นอน ตั้งใจไม่กิน ชอบพาตัวเองไปอยู่ในจุดที่เสี่ยงเกิดอุบัติเหตุ และจะมีความรู้สึกประมาณ ถ้าอยู่ในที่สูงๆจะรู้สึกอยากกระโดดลงไปข้างล่าง เดินตามถนนเห็นรถวิ่งเร็วๆจะอยากเดินลงไปตัดหน้ารถ นั่งอยู่บนรถจะรู้สึกอยากเปิดประตูรถตอนที่รถกำลังวิ่ง ขับรถมอร์ไซค์ก็จะรู้สึกอยากขับเร็วๆแล้วทิ้งให้รถล้มหรือชนอะไรซักอย่าง
ความรู้สึกทั้งหมดมันเกิดขึ้นเอง และมันก็ยังอยู่กับเราตลอด
ที่เราไม่ไปหาหมอ ไม่ใช่เพราะเรื่องอายคนรอบข้าง
ใจจริงเราอยากไปมาก แต่เรารู้สึกว่าเราคงไม่เปิดใจให้หมอ คงไม่พูดทั้งหมดที่คิดที่รู้สึก ก็เลยรู้สึกเปล่าประโยชน์ที่จะไปพบ
และอีกอย่างคือเรายังไม่ตัดสินใจทำตามความรู้สึกจริงๆ เลยยังไม่คิดว่าที่เป็นอยู่เป็นปัญหา แค่มันสร้างความรำคาญใจเท่านั้น
เราอยู่กับภาวะแบบนี้มานานมาก อยู่กับมันมาได้ไงโดยไม่ลงมือทำจริงๆ และไม่ไปหาหมอด้วย
ก็เลยอยากลองมาแชร์ว่า เรามีการจัดการกับตัวเองยังไง
อันดับแรกและสำคัญที่สุด เราต้องรู้ตัว ต้องรู้ตัวแทบจะตลอดเวลา
ตอนที่มีความสุขดีก็ต้องรู้ตัว (เพราะจากนั้นอยู่ๆเราอาจจะเศร้าเฉียบพลัน คือหัวเราะอยู่เมื่อเกี้ยะ แล้วก็จะเศร้าเลยหลังจากนั้น //ไบโพล่าหรือป่าว)
ถึงตอนที่สติหลุดก็ต้องรู้ตัวว่าสติกำลังหลุด ไม่ต้องไปฝืนมัน
ร้องไห้แบบไม่มีสาเหตุก็ต้องรู้ตัว ไม่ต้องพยายามหาคำตอบว่าร้องทำไม ร้องให้หลับไป
รู้สึกอยากไปก็ต้องรู้ตัว ห้ามความคิดไม่ได้ก็ต้องรู้ตัว แค่รู้ตัว ยังไม่ต้องทำอะไร
มันยากนะ แต่ก็ต้องรู้ แล้วขี้สงสัยให้น้อยเท่าไหร่ก็ยิ่งดี ไม่ต้องถามอะไรตัวเองหรือถามอะไรเลยยิ่งดี
โดยเฉพาะคำถามประเภท “ทำไม”
เพราะคำตอบของคำว่า ทำไม มันไม่ได้ถูกต้องทุกครั้ง
ตอนอยู่ในภาวะนั้น มันจะได้คำตอบที่ถูกต้องแบบที่ต่างออกไป ...มันอาจทำให้เราตาย
ถ้าไม่อยากทำตัวเองตาย ก็อย่าพึ่งถาม
แต่เราว่าสัญญาณของแต่ละคนไม่เหมือนกัน ดังนั้นเราต้องสังเกตตัวเอง หาสัญญาณของตัวเองให้ได้
เราว่าเราโชคดีตรงที่รู้ตัวเร็ว ตอนม.ต้นได้ทำแบบทดสอบโรคซึมเศร้าแล้วเข้าข่าย และเข้าข่ายทุกครั้งทุกปี (ฮา)
คือตอนม.2 เราเริ่มต้องอยู่คนเดียว บ้านอยู่ต่างจังหวัดและเข้ามาเรียนในกรุงเทพ ไม่มีผู้ปกครอง อยู่กับพี่สาวที่เรียนมหาลัย เค้าก็จะไม่ค่อยกลับมาห้องเท่าไหร่ ก็คือกลายเป็นอยู่คนเดียวจริงๆ
ครอบครัวไม่มีปัญหาอะไรเลย เรียนไม่มีปัญหา เพื่อนไม่มีปัญหา (จริงๆชีวิตไม่มีปัญหาอะไรเลย)
เราไม่รู้ด้วยว่าสาเหตุที่เราเป็นเป็นเพราะอะไร ปัญหาชีวิตอะไรก็ไม่มี หรือเพราะอยู่คนเดียวมากไป..ก็ไม่น่าใช่
(บางทีก็เหมือนจะรู้สาเหตุ แต่ไม่อยากขยี้มันให้เรารู้สึกถึงมันมาก และบอกตัวเองว่าเรื่องนั้นเราคิดไปเอง จะตายเพราะเรื่องนี้มันไร้สาระ //นับว่านี่เป็นการป้องกันตัวเองขั้นต้น)
ตั้งแต่รู้ว่าตัวเองเข้าข่ายเป็นโรคซึมเศร้าก็จับตาดูและสังเกตตัวเองตลอด
แรกๆก็ยังไม่รู้หรอก ว่าสัญญาณอาการเราคืออะไร แต่เพื่อนสมัยเรียนมันตั้งภาวะนี้ของเราว่า ‘Seasons Change’
...เพราะอากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย...
(แต่ตอนที่มันเรียกแบบนี้ใส่ตอนที่กำลังพีคๆนี่ก็โมโหนะ)
สัญญาณแรกของเราคือ อยู่ๆจะไม่มีความสุขกับสิ่งที่ทำให้เรามีความสุขมาตลอด (แบบไม่มีสาเหตุ)
มันเป็นภาวะที่น่ากลัวนะ เรารู้สึกกลัวมากๆตอนที่อยู่ดีๆเราก็ไม่ชอบและเบื่อมากๆในสิ่งที่ชอบ โดยที่สิ่งนั้นไม่ได้มีอะไรที่เราไม่ชอบเกิดขึ้น
และเราว่านั่นแหละ อันตรายที่สุดสำหรับเรา มากกว่าการคิดแต่อะไรในแง่ลบอีก
และตามมาด้วยอาการเริ่มขี้เกียจกิน เริ่มขี้เกียจนอน แต่ก็เริ่มไม่อยากตื่นด้วย
ไม่อยากอยู่คนเดียวเพราะกลัวตัวเอง แต่ก็ไม่อยากเจอหน้าใคร
อยู่นิ่งๆในที่เดิมนานๆ จดจ่ออยู่กับความว่างเปล่ารอบตัว ซ่อนตัวเองและทำแค่ “คิด” คิดอะไรก็ไม่รู้ ..แค่คิด
// มีอยู่ครั้งนึง โดนอาจารย์(ไม่ได้สนิทกัน)ถามว่า “เป็นอะไรรึป่าว มีอะไรปรึกษาครูได้นะ” ตอนกำลังเรียนหนังสือ
เราตกใจมาก ว่าเราเป็นอะไรทำไมครูถึงถามแบบนั้น เราว่าหูเราก็ฟังอาจารย์อยู่นะ..... ตอนนั้นกลัวตัวเองไปเลย ฮะๆๆ //
เมื่อเรารู้ตัว สิ่งแรกที่เราทำเลยคือ..... ซ่อนตัวเอง เพื่อซ่อมตัวเอง
เพราะเราไม่อยากให้คนรอบข้างที่กำลังสดใสมีความสุขต้องหมองลงเพราะภาวะบ้าบอของเรา
// เคยไปอ่านเจอว่าโรคซึมเศร้าเป็นโรคติดต่อ และเราก็เชื่อว่าจริง ..เพราะเราเป็น(ฮา) บ่อยๆเราเศร้าเพราะอารมณ์เศร้าของคนอื่น //
และที่สำคัญคือ หลบการซ้ำเติมจากคนที่ไม่เข้าใจ
// ลำพังรับมือกับอารมณ์ของตัวเองก็หนักหนาแล้ว มาเจอคนไม่เข้าใจในภาวะนี้อีกนี่จะไปไกลมาก ถึงแม้จะเป็นพวกคำพูดปลอบใจ แต่เราก็จะยังคงรู้สึกว่าเค้าไม่ได้เข้าใจเรา//
แต่อันนี้เราว่าไม่ได้เหมาะสำหรับทุกคนที่อยู่ในภาวะซึมเศร้า เราก็รู้ดีว่าการจมอยู่กับมันคนเดียวอันตรายนะ ...แต่เราทำมันเป็นนิสัยไปแล้ว
(มันจะยังคงเป็น ”นิสัย” ตราบที่อาการมันยังไม่หนักไปกว่านี้อ่ะนะ)
แล้วซ่อมยังไง ในเมื่อเรื่องที่ชอบ ของที่ชอบ คนที่ชอบ เราเบื่อหมดเลย ไม่มีอะไรมาช่วยให้จิตใจดีขึ้นได้ (เผลอๆทำไห้แย่ลงด้วย)
1 นอน นอนนิ่งๆ ปิดห้องปิดไฟปิดแอร์ปิดพัดลม ยุงกัดก็ไม่ต้องตบ หายใจอย่างเดียว นอนเป็นศพหายใจได้ จมมันให้สุด รู้สึกให้สุด
แบบไม่ต้องมีอะไรบิ้ว อารมณ์ตัวเองล้วนกับความเงียบ จนมันว่างเปล่า แล้วแกล้งตายไปเลย (ไม่ต้องลงมือ แกล้งพอ แค่ความเงียบเราก็ตายได้)
มันไม่หายหรอก เพราะมันเป็นแค่ขั้นแรกในการซ่อม
เมื่ออารมณ์มันตกจนสุดแล้ว มันจะไม่ตกอีกแล้ว แล้วมันก็จะเริ่มกลับขึ้นมาเอง แค่ไม่ทันที
(นี่คือการหักดิบอ่ะ เรามันสายโหด จริงๆไม่อยากแนะนำ แต่เราอยากแชร์ให้อ่าน // ไม่ได้มั่นใจว่าเป็นวิธีที่ถูกด้วยนะ)
2ตื่น ต้องตื่นค่ะ ตื่นนะแต่ยังไม่ลุกทันที555 คือมันยังไม่หายหรอก มันจะอึนๆเหมือนเมาค้าง
แล้วก็ดำเนินชีวิตในเรื่องที่ต้องทำ อย่างไปทำงานหรือไปเรียน (ต้องไปนะ)
สองขั้นตอนนี้เราทำอยู่หลายวัน แล้วแต่ความรุนแรงของอาการแต่ละครั้ง
มันไม่ทำให้อาการหายไป แต่มันก็ทำให้เราไม่ตาย (อยู่เป็นผีดิบ)
อย่าลืมนะ เราต้อง “รู้ตัว”
ขั้นต่อมา คือ เริ่ม 'เริ่มต้นใหม่' โดยการเริ่มมองสิ่งรอบตัว และตั้งคำถาม “ทำไม”
แต่เราไม่ถามเรื่องตัวเอง
เราเห็นอะไรก็ถามเลย อย่างเช่น แมลงสาปมันอยู่ได้ยังไงทั้งที่มีแต่คนเกลียดมัน
ไส้เดือนมันอยู่ได้ยังไงทั้งที่มันมีประโยชน์แต่ไม่มีคนเห็น ทำไมต้นไม้ถึงมาขึ้นตรงนี้ทั้งที่ไม่มีคนปลูก
ทำไมฝนต้องตก ทำไมพระอาทิตย์ต้องขึ้น ทำไมใบไม้ต้องร่วง
เราถามทุกอย่าง บางครั้งถามแล้วก็ร้องไห้ (ร้องทำไม) เหมือนคนบ้า แต่ว่าความบ้านี้ช่วยได้
แล้วเราก็จะได้คำตอบเอง และคำตอบจากคำถามพวกนี้มันช่วยเราได้
จริงๆมันมีคำถามเยอะแยะ แต่ว่าตอนนี้เราไม่ได้อยู่ในภาวะที่หนักหน่วง เลยคิดไม่ออก (ฮา)
ตอนดำเนินการอยู่ในขั้นนี้บางทีเราก็ใช้ประโยชน์จากมันเขียนบทความ
การเขียนบทความช่วยให้เราสรุปและทบทวนความคิดที่พึ่ง “เกิดใหม่”
การเขียนบทความจากความคิดช่วงนี้ก็สำคัญ คือเมื่อเราเข้าสู่ภาวะซึมเศร้าอีกครั้ง เราอาจจะมาเห็น และคิดได้ว่า เราเคยผ่านช่วงเวลาแบบนี้มาได้ แล้วครั้งนี้มันก็ต้องผ่านไปได้อีก
(แต่ไม่ทุกครั้ง บางครั้งก็ด่าบทความตัวเองว่าโลกสวยก็มี ฮะๆๆๆๆ)
**อย่าถามคำถามพวก “ทำไมเรา...” ทำไมเราถึงเป็นแบบนี้ ทำไมเราต้องมาเรียน ทำไมเราต้องมาทำงาน ทำไมเราต้องมาเจอมัน ทำไมเราบลาๆๆ (ทำไมเราต้องคิดอะไรแบบนี้ด้วย)
อย่าถามเด็ดขาด เพราะคำตอบที่ได้มันไม่ช่วยทำให้เราดีขึ้นเลย ต้องไม่ถามให้ได้**
ต่อมา เริ่มต้นใหม่จริงๆ เริ่มที่การจัดห้องใหม่
เราถึงขั้นย้ายเฟอร์นิเจอร์ใหม่หมด ย้ายเอง ต้องทำเองคนเดียวนะ ตู้ทับตายก็ช่างมัน (แต่พยายามอย่าให้มันทับดีที่สุด)
ยกอะไรได้ยก ย้ายอะไรได้ย้าย ตู้เตียงโต๊ะ ย้ายและเช็ด ขอบประตู หน้าต่าง มุ้งรวดลูกกรง ในห้องมีอะไรเช็ดให้หมด ล้างห้องน้ำแบบทิ้งอะไรได้ทิ้ง
แล้วทุกอย่างต้องทำให้เสร็จในวันเดียว จะทำตั้งแต่ค่ำยันเช้า หรือเช้ายันค่ำ ก็ต้องทำให้เสร็จในครั้งเดียว
ตอนจัดห้องใหม่ เราอาจจะคิดอะไรเยอะแยะ ก็คิดไป แต่สุดท้ายแล้วต้องกลับมาจบที่ห้อง คือห้องต้องเสร็จ จะทำไปพักไปกี่รอบก็ได้
ถ้าทำต่อไม่ไหว ให้เปิดวิทยุ
ต้องวิทยุ อย่าเปิดเพลงที่เราเลือกเอง ต้องฟังเพลงที่ดีเจบังคับให้ฟัง
เราอาจจะได้ฟังเพลงที่ชอบ หรือเพลงที่กระทบกระเทือนจิตใจ หรือเพลงอะไรของมันวะ
ทำไมต้องวิทยุ เพราะเราในตอนนั้นไม่อยากพูดกับใคร ไม่อยากเจอใคร แต่ก็ไม่อยากอยู่เงียบๆแล้ว
วิทยุคือสิ่งที่เราทำได้แต่ “ฟังอย่างเดียว”
บางทีดีเจอาจจะเปิดเพลงหรือเล่าเรื่องอะไรที่เบี่ยงเบนเรื่องที่เรากำลังจมอยู่กับความคิด
// จริงๆถ้าไม่มีเสียงวิทยุก็เสียงทีวีก็ได้ เสียงอะไรก็ได้ที่เค้ายัดเยียด..เอ่อ แนะนำ ให้เรารับรู้ //
เราเปิดเพื่อแค่ไม่ให้ห้องเงียบ อะไรก็ได้ที่เป็นเสียงเหมือนคนคุยกัน แต่จริงๆเราก็ไม่ได้ตั้งใจฟังมันหรอก อารมณ์ตอนนั้น
แต่การที่เริ่มรู้สึกไม่อยากอยู่คนเดียว เป็นสัญญาณที่ดี
และถ้ารู้สึกหิว จะดีมากๆ ถึงมากที่สุด
จะอดจนกว่าจะทำห้องให้เสร็จแล้วไปหากิน หรือจะไปหากินก่อนก็แล้วแต่เลย แต่อย่าลืม ห้องต้องเสร็จ
:: แนะนำว่า ล้างห้องน้ำเป็นอย่างสุดท้าย แล้วล้างตัวเองให้สะอาดหมดจดเป็นอย่างท้ายสุด
ล้างแบบลงแปลงสามสี่รอบ ล้างแบบให้นิ้วเปื่อยไปเลย ตัดเล็บ ตัดผมได้ตัด(เราตัดผมเองตลอด เป็นของคลายเครียด เรื่องอะไรจะไปร้านตัดผม) ::
เมื่อได้รังใหม่แล้ว ได้ร่างใหม่แล้ว ต่อไปก็คือซื้อของใหม่ ของทั่วไป สบู่ ยาสระผม แปรงสีฟัน ถ้วยชาม แก้วน้ำ ไม้แขวนเสื้อ ฯลฯ และเราว่าที่สำคัญมากๆคือ ชุดชั้นใน
**ของใหม่ในที่นี้ ไม่นับเสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้า อะไรพวกนี้ นับแค่ของใช้เท่านั้น (สำหรับเรานะ แต่ถ้าใครซื้อของพวกนี้แสดงว่าหายดีแล้วหละ ฮะๆๆ)**
ส่วนใหญ่แล้ว ถ้าทำแค่นี้เราก็จะหายแล้วแหละ
มันรู้สึกเหมือนได้เริ่มต้นชีวิตใหม่ เป็นการ “ตายและเกิดใหม่แบบหลอกๆ”
ความรู้สึกพวกนี้ เราว่าเราไม่จำเป็นต้องตายจริงๆก็ได้ ชีวิตเรามีค่าแค่ความรู้สึกพวกนี้เนี่ย ถ้าตายเพราะมันก็รู้สึกแย่เหมือนกัน
อยู่ก็ไร้ค่า จะตายยังจะไร้ค่าอีกเหรอ
เราเลยไม่อยากยอมแพ้ แต่ถ้าจะยอมแพ้ ก็ขอลองสู้ก่อน
// เป็นปฏิบัติการเชิงสัญลักษณ์ ว่าเราจะไม่ยอมถูกความซึมเศร้าควบคุม //
และนี่คือวิธีสู้ของเรา การตายแล้วเกิดใหม่แบบหลอกตัวเอง แต่ว่า อย่างเคยๆคือบางทีมันก็ใช้ไม่ได้ผล
มีบางทีคือเราเหนื่อยจริงๆ เกิดมงเกิดใหม่อะไรคือไม่อยากเกิด ไม่อยากทำ ไม่อยากระดิกแม้แต่ขน (หายใจก็เหนื่อยแล้วแก)
สุดท้ายเลย สิ่งที่ช่วยเราได้เสมอคือ “สิ่งมีชีวิตที่เกิดใหม่จริงๆ”
เราเคยมองยอดใบไม้ที่แตกออกมาใหม่ แล้วรู้สึกดีขึ้น แบบดีขึ้นมาก
นั่นคือความจำเป็น ในการร่วงหล่นของใบไม้ที่แห้งเหี่ยว
เราก็เหมือนกัน มันต้องร่วงหล่นก่อน ถึงจะเกิดยอดใหม่ ใบที่สดใสกว่า
เราต้องตายแน่ๆ แต่ได้เกิดใหม่มั๊ยไม่รู้ ถ้าเราตายจริงๆ เราจะได้รับรู้ถึงความสดใสนี้มั้ย
ถ้ามีความสดใสแบบนี้รออยู่ ถ้าเราตายไปตอนนี้ เราจะเสียดายมันมั้ย
ความเสียดายนี้แหละ ทำให้เรายังอยู่ (ฮา)
ยังไงวันนึงเราก็ต้องตาย ไม่จำเป็นต้องไปเร่งรัดมันเพียงเพราะความรู้สึกว่าไม่อยากอยู่
ตอนนี้เรายังอยู่ เราแค่แห้งเหี่ยวเหมือนตาย เรายังมีโอกาสผลิบานได้ใหม่ ถึงแม้จะเป็นเมื่อไหร่ไม่รู้ก็ตาม