ทั้งหมดต่อไปนี้ที่จะเขียน เป็นเพียงข้อสันนิษฐานของผมคนเดียวนะครับ
เท่าที่ทราบกันดีว่า เพศของมนุษย์หรือสิ่งมีชีวิตที่สืบพันธุ์โดยอาศัยเพศประกอบด้วยสองเพศหลักคือ ชาย/หญิง, ผู้/เมีย, บวก/ลบ(เพศใน fungi) รวมไปถึงเพศที่ระบุแยกไม่ได้ว่าเป็นเพศใด แต่ถือว่าเป็นการสืบพันธุ์แบบอาศัยเพศเนื่องจากมีการแลกเปลี่ยนสารพันธุกรรม เช่น conjugation ในแบคทีเรีย
การสืบพันธุ์แบบอาศัยเพศมีข้อดีหลายประการ แต่เหตุผลที่ดีที่สุดคงเป็น ทำให้ความเป็นไปได้ที่จะทำให้ลูกหลานมีลักษณะที่หลากหลาย (ลูกหลานแต่ละตัวมีลักษณะที่แตกต่างกันไป เช่น พี่น้องท้องเดียวกันในมนุษย์) ส่งผลให้มีอัตราการรอดสูงเมื่อสภาพแวดล้อมเปลี่ยนไป ตัวอย่างเช่น ในช่วงที่โลกมีอุณหภูมิเป็นปกติ A กับ B ผสมพันธุ์กันได้ลูก 4 ตัว เป็น C, D, E และ F โดยบังเอิญว่า C กับ F สามารถทนต่ออากาศหนาวเย็นได้ แต่ D กับ E ไม่สามารถทนได้ เมื่อถึงคราวที่โลกมีอุณหภูมิวิกฤติ คืออุณหภูมิลดต่ำลงมาก ปรากฏว่า C และ F สามารถเอาชีวิตรอดอยู่ได้ ในขณะที่ D และ E ได้ตายลงไปเพราะทนอากาศที่หนาวเย็นไม่ได้ จัดว่าเป็น natural selection อย่างหนึ่ง (การคัดเลือกโดยธรรมชาติ)
ในทางตรงกันข้าม การสืบพันธุ์แบบไม่ต้องอาศัยเพศ (แบ่งตัว แตกหน่อ ฯลฯ) จะทำให้ลูกหลานมีลักษณะเหมือน parent โดยไม่ต้องไปเสียเวลาหาเพศตรงข้ามมาผสมพันธุ์ แค่ตัวเดียวก็สามารถผลิตลูกหลานได้ ใช้พลังงานต่ำ และยังผลิตลูกหลานได้เป็นจำนวนมาก (เช่น แบคทีเรียแบ่งเซลล์ออกมาเป็นล้านตัวได้โดยใช้ระยะเวลาสั้นๆ) แต่ข้อเสียที่เห็นได้ชัดคือ เนื่องจากลูกหลานมีลักษณะเหมือน parent เป๊ะๆ สมมุติว่ามีล้านตัว ก็เหมือนกันหมดเลยทั้งล้านตัว เวลาเกิดภัยทางธรรมชาติหรืออะไรขึ้นมา ก็สามารถตายไปหมดเลยทั้งคอก ดังนั้นมันจึงต้องมีลูกหลานจำนวนเยอะมาก เผื่อว่าตายไปแค่ห้าแสนตัว ยังเหลือชีวิตรอดอีกห้าแสนตัวเพื่อเอาไว้สืบพันธุ์ต่อไป (เช่น แบคทีเรียโดนยาฆ่าเชื้อตายไป แต่ยังมีอีกจำนวนมากที่รอดชีวิต)
อย่างไรก็ดี สิ่งมีชีวิตหลายๆประเภทก็สามารถสลับไปมาระหว่างอาศัยเพศกับไม่อาศัยเพศได้ เช่น แบคทีเรีย เวลาไหนที่สภาพแวดล้อมไม่เอื้ออำนวยก็จะสลับไปเป็นแบบอาศัยเพศ ถ้าสภาพแวดล้อมเป็นปกติก็ไม่ต้องอาศัยเพศ (เป็นความมหัศจรรย์ที่ธรรมดาของธรรมชาติ)
ต่อไปนี้จะเริ่มเข้าประเด็นของหัวข้อกระทู้ เมื่อสิ่งมีชิวิตมีวิวัฒนาการที่ซับซ้อนขึ้น ก็มักจะมีขนาดใหญ่ขึ้น หรือใช้พลังงานและพื้นที่อาศัยมากขึ้น ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม (mammals) และมักจะมีการสืบพันธุ์แบบอาศัยเพศเพียงอย่างเดียว และไม่สามารถสลับไปสืบพันธุ์แบบไม่อาศัยเพศได้ (นึกสภาพถ้ามนุษย์แบ่งตัวออกมา มีลูกหลานทีละ 1 ล้านคน คงล้นโลกไปเลย) การสืบพันธุ์แบบอาศัยเพศปกติก็จะให้ลูกหลานจำนวนน้อยอยู่แล้ว แต่ถ้าประชากรของสิ่งมีชีวิตนั้นมีจำนวนมากถึงระดับที่อาหารเป็นข้อจำกัด พื้นที่อาศัยจำกัด ฯลฯ ประชากรก็ไม่ควรจะเพิ่มไปมากกว่านี้
"เพศทางเลือก หรือ เพศที่สาม" อาจเป็นหนึ่งในกระบวนการทางธรรมชาติที่ช่วยลดจำนวนประชากรลงอย่างมีนัยสำคัญ (ซึ่งมีหลายงานวิจัยที่บอกว่า อาจเกี่ยวข้องกับพันธุกรรมที่กำหนดไว้แล้ว หรือเป็นผลกระทบภายนอกขณะที่ลูกยังเป็นตัวอ่อน) เพราะเพศทางเลือกไม่จำเป็นต้องหาคู่ครองและมีลูกหลาน บางคนอาจคิดว่า เพศทางเลือกปรากฏในมนุษย๋เท่านั้น แต่ความจริงแล้วเพศทางเลือกยังปรากฏในสิ่งมีชีวิตอื่นๆด้วย โดยเฉพาะสัตว์ที่มีโครงสร้างซับซ้อน
กล่าวโดยสรุปคือ เพศทางเลือกหรือเพศที่สาม อาจจะเป็นกระบวนการทางธรรมชาติที่ช่วยลดจำนวนประชากร เพื่อให้เกิดความสมดุลระหว่างทรัพยากรและจำนวนประชากร ในปัจจุบันประชากรมนุษย์มีประมาณ 7 ถึง 8 พันล้านคน ถ้าไม่มีเพศทางเลือก อาจทำให้ประชากรมีมากกว่านี้อีกหลายพันล้านคนก็เป็นได้
เพศทางเลือก VS ผลกระทบที่เกิดขึ้นกับประชากรมนุษย์
เท่าที่ทราบกันดีว่า เพศของมนุษย์หรือสิ่งมีชีวิตที่สืบพันธุ์โดยอาศัยเพศประกอบด้วยสองเพศหลักคือ ชาย/หญิง, ผู้/เมีย, บวก/ลบ(เพศใน fungi) รวมไปถึงเพศที่ระบุแยกไม่ได้ว่าเป็นเพศใด แต่ถือว่าเป็นการสืบพันธุ์แบบอาศัยเพศเนื่องจากมีการแลกเปลี่ยนสารพันธุกรรม เช่น conjugation ในแบคทีเรีย
การสืบพันธุ์แบบอาศัยเพศมีข้อดีหลายประการ แต่เหตุผลที่ดีที่สุดคงเป็น ทำให้ความเป็นไปได้ที่จะทำให้ลูกหลานมีลักษณะที่หลากหลาย (ลูกหลานแต่ละตัวมีลักษณะที่แตกต่างกันไป เช่น พี่น้องท้องเดียวกันในมนุษย์) ส่งผลให้มีอัตราการรอดสูงเมื่อสภาพแวดล้อมเปลี่ยนไป ตัวอย่างเช่น ในช่วงที่โลกมีอุณหภูมิเป็นปกติ A กับ B ผสมพันธุ์กันได้ลูก 4 ตัว เป็น C, D, E และ F โดยบังเอิญว่า C กับ F สามารถทนต่ออากาศหนาวเย็นได้ แต่ D กับ E ไม่สามารถทนได้ เมื่อถึงคราวที่โลกมีอุณหภูมิวิกฤติ คืออุณหภูมิลดต่ำลงมาก ปรากฏว่า C และ F สามารถเอาชีวิตรอดอยู่ได้ ในขณะที่ D และ E ได้ตายลงไปเพราะทนอากาศที่หนาวเย็นไม่ได้ จัดว่าเป็น natural selection อย่างหนึ่ง (การคัดเลือกโดยธรรมชาติ)
ในทางตรงกันข้าม การสืบพันธุ์แบบไม่ต้องอาศัยเพศ (แบ่งตัว แตกหน่อ ฯลฯ) จะทำให้ลูกหลานมีลักษณะเหมือน parent โดยไม่ต้องไปเสียเวลาหาเพศตรงข้ามมาผสมพันธุ์ แค่ตัวเดียวก็สามารถผลิตลูกหลานได้ ใช้พลังงานต่ำ และยังผลิตลูกหลานได้เป็นจำนวนมาก (เช่น แบคทีเรียแบ่งเซลล์ออกมาเป็นล้านตัวได้โดยใช้ระยะเวลาสั้นๆ) แต่ข้อเสียที่เห็นได้ชัดคือ เนื่องจากลูกหลานมีลักษณะเหมือน parent เป๊ะๆ สมมุติว่ามีล้านตัว ก็เหมือนกันหมดเลยทั้งล้านตัว เวลาเกิดภัยทางธรรมชาติหรืออะไรขึ้นมา ก็สามารถตายไปหมดเลยทั้งคอก ดังนั้นมันจึงต้องมีลูกหลานจำนวนเยอะมาก เผื่อว่าตายไปแค่ห้าแสนตัว ยังเหลือชีวิตรอดอีกห้าแสนตัวเพื่อเอาไว้สืบพันธุ์ต่อไป (เช่น แบคทีเรียโดนยาฆ่าเชื้อตายไป แต่ยังมีอีกจำนวนมากที่รอดชีวิต)
อย่างไรก็ดี สิ่งมีชีวิตหลายๆประเภทก็สามารถสลับไปมาระหว่างอาศัยเพศกับไม่อาศัยเพศได้ เช่น แบคทีเรีย เวลาไหนที่สภาพแวดล้อมไม่เอื้ออำนวยก็จะสลับไปเป็นแบบอาศัยเพศ ถ้าสภาพแวดล้อมเป็นปกติก็ไม่ต้องอาศัยเพศ (เป็นความมหัศจรรย์ที่ธรรมดาของธรรมชาติ)
ต่อไปนี้จะเริ่มเข้าประเด็นของหัวข้อกระทู้ เมื่อสิ่งมีชิวิตมีวิวัฒนาการที่ซับซ้อนขึ้น ก็มักจะมีขนาดใหญ่ขึ้น หรือใช้พลังงานและพื้นที่อาศัยมากขึ้น ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม (mammals) และมักจะมีการสืบพันธุ์แบบอาศัยเพศเพียงอย่างเดียว และไม่สามารถสลับไปสืบพันธุ์แบบไม่อาศัยเพศได้ (นึกสภาพถ้ามนุษย์แบ่งตัวออกมา มีลูกหลานทีละ 1 ล้านคน คงล้นโลกไปเลย) การสืบพันธุ์แบบอาศัยเพศปกติก็จะให้ลูกหลานจำนวนน้อยอยู่แล้ว แต่ถ้าประชากรของสิ่งมีชีวิตนั้นมีจำนวนมากถึงระดับที่อาหารเป็นข้อจำกัด พื้นที่อาศัยจำกัด ฯลฯ ประชากรก็ไม่ควรจะเพิ่มไปมากกว่านี้
"เพศทางเลือก หรือ เพศที่สาม" อาจเป็นหนึ่งในกระบวนการทางธรรมชาติที่ช่วยลดจำนวนประชากรลงอย่างมีนัยสำคัญ (ซึ่งมีหลายงานวิจัยที่บอกว่า อาจเกี่ยวข้องกับพันธุกรรมที่กำหนดไว้แล้ว หรือเป็นผลกระทบภายนอกขณะที่ลูกยังเป็นตัวอ่อน) เพราะเพศทางเลือกไม่จำเป็นต้องหาคู่ครองและมีลูกหลาน บางคนอาจคิดว่า เพศทางเลือกปรากฏในมนุษย๋เท่านั้น แต่ความจริงแล้วเพศทางเลือกยังปรากฏในสิ่งมีชีวิตอื่นๆด้วย โดยเฉพาะสัตว์ที่มีโครงสร้างซับซ้อน
กล่าวโดยสรุปคือ เพศทางเลือกหรือเพศที่สาม อาจจะเป็นกระบวนการทางธรรมชาติที่ช่วยลดจำนวนประชากร เพื่อให้เกิดความสมดุลระหว่างทรัพยากรและจำนวนประชากร ในปัจจุบันประชากรมนุษย์มีประมาณ 7 ถึง 8 พันล้านคน ถ้าไม่มีเพศทางเลือก อาจทำให้ประชากรมีมากกว่านี้อีกหลายพันล้านคนก็เป็นได้