คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 6
สภาพความเป็นอยู่ สภาพสังคม เศรษฐกิจไม่ดีเลย คนเบื่อการเมืองแล้วล่ะ ไม่ตอบโจทย์ความต้องการของประชาชนเลย จนการเมืองจะเป็นยังไงก็เป็นเรื่องของคนกลุ่มเดียวแย่งชิงอำนาจปกครองประเทศก็เท่านั้นเอง ยังไงก็ไม่ได้ฟังความต้องการของประชาชนอยู่แล้ว คนไทยที่เหลืออยู่คนที่ไม่มีฐานะมั่นคงก็แค่มีชีวิตตายทั้งเป็นทนอยู่กันไปเท่านั้น คนที่ทนไม่ไหวก็ฆ่าตัวตายหรือหนีไปต่างประเทศ ทำกันอยู่อย่างนี้วนไปจริงๆ ระบบการทำงานที่ไม่ตอบโจทย์ชีวิตคนทำงานจนเค้าไม่มีลูกไม่มีครอบครัวจะได้เอาเวลาไปลงกับงานเต็มที่อย่างที่บริษัทชอบยังไงล่ะ พอตายไปก็หาคนมาแทนที่ บริษัทไม่รักคนทำงานก็ปล่อยให้ประชากรไทยลดลงไปเถอะ ไม่ถึง 50-60 ปีหรอกที่ประมาณการณ์กันไว้น่ะ เร็วกว่านั้น เพราะตอนนี้คนรุ่นใหม่ที่มาจากครอบครัวมีฐานะจึงมีลูกต่อ แต่คนมีฐานะจะย้ายหนีไปอยู่เมืองนอกแน่นอนถ้าไปได้ และจะเปลี่ยนสัญชาติแน่นอนถ้าทำได้ เราเชื่อเรื่องดวงเมืองก็จริงแต่ไม่ถึงขนาดหลับหูหลับตาเชื่อโดยไม่ดูความเป็นจริงตรงหน้านะ ถึงดวงเมืองจะบอกไว้ว่าตั้งดวงเมืองสยามแข็งแกร่งเพียงใด แต่ถ้าทรมานชีวิตคนในเมืองขนาดนี้ก็ไม่มีใครอยู่ได้หรอก ที่ทำงานก็มีแต่เรื่อง toxic อดทนไม่ได้ก็ฆ่าตัวตายไป ต้องอดทนเท่าไหร่ถึงจะอยู่ได้
แสดงความคิดเห็น
คนไทยหมดรักหมดใจพุ่ง จดทะเบียนหย่าพุ่ง เด็กเกิดน้อย คนแก่พุ่ง ที่สำคัญในต่างประเทศพบว่า รัฐบาลทำทุกวิธีก็ช่วยอะไรไม่ได้
รศ.ดร.เฉลิมพล แจ่มจันทร์ ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล เปิดเผยว่าข้อมูลสำนักบริหารการทะเบียน กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย พบว่าจำนวนคนไทยจดทะเบียนสมรสมีประมาณปีละ 300,000 คู่ต่อปี แต่ปรากฏว่าในปี 2564 มีการจดทะเบียนสมรสเพียง 240,979 คู่ ซึ่งต่ำที่สุดในช่วงปี 2568-2567 ขณะที่ในปี 2567 ผ่านไปนั้น มีการจดทะเบียนสมรสเพียง 263,087 คู่ ทำสถิติต่ำสุดในรอบ 10 ปี หรือตั้งแต่ปี 2558 เป็นต้นมา
ขณะที่การจดทะเบียนหย่าของคนไทยในช่วงระยะเวลา 10 ปีผ่านมา ในภาพรวมกลับเพิ่มขึ้นชัดเจนและต่อเนื่อง โดยระหว่างปี 2558-2562 ยอดจดทะเบียนหย่าเพิ่มจาก 117,880 คู่ มาเป็น 128,514 คู่ จากนั้นในช่วงปี 2564-2567 ยอดจดทะเบียนหย่าเพิ่มขึ้นทุกปีจาก 110,942 คู่ มาเป็น 147,621 คู่ ดังนั้น ประชากรไทยมีความต้องการแต่งงานลดลงอย่างมาก ส่งผลไปถึงจำนวนเด็กเกิดใหม่ในไทยลดลงอย่างต่อเนื่องด้วย
ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล เปิดเผยต่อไปว่า ในปี 2567 ประชากรในไทยมีจำนวนทั้งสิ้น 65,951,210 คน มีเด็กเกิดใหม่เพียง 462,240 คน และจำนวนผู้เสียชีวิตอยู่ที่ 571,646 คน ทำให้อัตราเพิ่มตามธรรมชาติอยู่ที่ -0.17% ติดลบต่อเนื่องเป็นปีที่ 4 ติดกัน อัตราเจริญพันธุ์รวม (Total Fertility Rate - TFR) ซึ่งหมายถึงจำนวนลูกเฉลี่ยที่ผู้หญิงไทยคนหนึ่งจะมีตลอดช่วงวัยเจริญพันธุ์นั้น ในปี 2567 อยู่ที่ 1.0 ต่ำกว่าระดับทดแทนประชากรที่ อยู่ในระดับ 2.1 และยังใกล้เคียงกับประเทศที่เผชิญสถานการณ์การเกิดที่ต่ำมาก เช่น เกาหลีใต้ สิงคโปร์ จีน
ปัจจุบัน ประเทศไทยเป็นสังคมสูงวัยอย่างสมบูรณ์ เนื่องจากมีประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไปเกิน 20% ของประชากรทั้งหมด ท่ามกลางอัตราเจริญพันธุ์รวมของคนไทยต่ำกว่า 1.5 ดังนั้น จากประสบการณ์ในหลายประเทศ พบว่าการกระตุ้นการเกิดนั้นเป็นไปได้ยาก แถมมีแนวโน้มในเจเนอเรชันถัดไปอาจลดลงไปอีก (แนวโน้มบอกว่า คนเจนถัดไปจะยิ่งอยู่เป็นโสดตัวคนเดียวและไม่แต่งงาน)
ทั้งนี้ กรมอนามัย เปิดเผยว่าจากนี้ไปอีก 60 ปีข้างหน้า หรือถึงปี 2628 ประเทศไทยจะมีประชากรเหลือแค่ 33 ล้านคน หรือเป็นครึ่งหนึ่งของจำนวนประชากรในปี 2567 ที่มีจำนวนเกือบ 66 ล้านคน สอดคล้องกับศาสตราจาร์เกียรติคุณ ดร.อภิชาติ จำรัสฤทธิรงค์ ที่ปรึกษาอาวุโส สถาบันวิจัยประชากรและสังคม เปิดเผยว่า ถ้ารัฐบาลไม่มีนโยบายเกี่ยวกับประชากรไทยใดๆ ออกมา หรือไม่ทำอะไรเลย ในที่สุดประเทศไทยจะมีประชากรลดหายไปเหลือแค่ 29 ล้านคน ที่สำคัญ ตัวเลขดังกล่าวจะไม่นิ่ง โดยจะลดลงไปเรื่อยๆในอนาคต