ประชากรญี่ปุ่นลดอีก คนตายมากกว่าเกิดร่วม 900,000 คน



ประชากรญี่ปุ่นลดอีก คนตายมากกว่าเกิดร่วม 900,000 คน

...

วิกฤตประชากรของประเทศญี่ปุ่นรุนแรงขึ้นอีก หลังสถิติล่าสุดชี้ว่า ในปี 2567 แดนอาทิตย์อุทัยมีประชากรเสียชีวิตมากกว่าเกิดร่วม 900,000 คน


ประชากรญี่ปุ่นลดอีก คนตายมากกว่าเกิดร่วม 900,000 คน
ข้อมูลใหม่ที่เผยแพร่โดยกระทรวงมหาดไทยและคมนาคมของญี่ปุ่นเมื่อวันพุธที่ผ่านมา (6 ส.ค.) ชี้ว่า จำนวนประชากรในประเทศลดลงถึง 908,574 คน ในปี 2567 โดยมีเด็กเกิด 686,061 คน ต่ำที่สุดนับตั้งแต่เริ่มเก็บสถิติในปี 2442 ขณะที่มีผู้เสียชีวิตเกือบ 1.6 ล้านคน หมายความว่า เด็กเกิดใหม่ทุกๆ 1 คนจะมีคนตายมากกว่า 2 คน

...


นี่นับเป็นปีที่ 16 ติดต่อกันแล้วที่ประชากรของญี่ปุ่นลดลง โดยประชากรโดยรวมของญี่ปุ่นในปี 2567 ลดลง 0.44% จากปี 2566 ไปอยู่ที่ราว 124.3 ล้านคนในช่วงเริ่มต้นปี 2568 ขณะที่จำนวนผู้อยู่อาศัยชาวต่างชาติ เพิ่มขึ้นเป็น 3.6 ล้านคนนับจนถึง 1 ม.ค. 2568 ซึ่งนับเป็นสถิติใหม่ คิดเป็น 3% ของประชากรทั้งหมดที่อยู่ในญี่ปุ่น


ตอนนี้จำนวนผู้มีอายุ 65 ปีขึ้นไปในญี่ปุ่นคิดเป็นเกือบ 30% ของประชากรทั้งหมดแล้ว มากที่สุดเป็นอันดับ 2 ของโลก รองจากโมนาโก ตามสถิติของธนาคารโลก ส่วนประชากรวัยทำงาน หรือผู้มีอายุระหว่าง 15-64 ปี ลดลงเหลือประมาณ 60% ของประชากรทั้งหมด


ข้อมูลที่รัฐบาลญี่ปุ่นเผยแพร่เมื่อปีก่อนชี้ว่า หมู่บ้านและเมืองหลายแห่งมีผู้อยู่อาศัยน้อยลงเรื่อยๆ โดยมีบ้านเกือบ 4 ล้านหลังที่กลายเป็นบ้านร้างในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา

...


ปัญหาค่าครองชีพสูง สวนทางกับรายได้ที่ไม่ขยับขึ้น กับวัฒนธรรมการทำงานที่เข้มงวด ทำให้คนหนุ่มสาวจำนวนมากไม่อยากสร้างครอบครัวใหม่ โดยเฉพาะผู้หญิง ต้องเผชิญกับบทบาททางเพศที่ฝังรากลึก ในฐานะผู้เลี้ยงดูบุตร และมักทำให้พวกเธอได้รับการสนับสนุนอย่างจำกัด


นายกรัฐมนตรี ชิเงรุ อิชิบะ กล่าวว่า วิกฤตประชากรสูงอายุที่กำลังเกิดขึ้นในญี่ปุ่นคือ “ภาวะฉุกเฉินเงียบ” พร้อมให้คำมั่นว่ารัฐบาลจะมีนโยบายที่เป็นมิตรกับครอบครัวมากขึ้น เช่น บริการเลี้ยงดูเด็กฟรี และชั่วโมงการทำงานที่ยืดหยุ่นขึ้น


อย่างไรก็ตาม ด้วยอัตราการเจริญพันธุ์ หรือจำนวนบุตรโดยเฉลี่ยที่ผู้หญิงคนหนึ่งจะมีตลอดช่วงวัยเจริญพันธุ์ ซึ่งอยู่ในระดับต่ำที่สุดนับตั้งแต่ยุค 70 ทำให้ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่า ต่อให้รัฐบาลสามารถแก้อย่างมากในตอนนี้ ก็คงต้องใช้เวลาอีกหลายสิบปีกว่าจะเห็นผล​



ที่มา : bbc


ข่าวจาก : ไทยรัฐออนไลน์


แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่