จอมใจจอมขวัญ(พีเรียด) ตอนที่ 7

กระทู้สนทนา


ตอนที่ 1 http://pantip.com/topic/34280583
ตอนที่ 2 http://pantip.com/topic/34285085
ตอนที่ 3 http://pantip.com/topic/34290054
ตอนที่ 4 http://pantip.com/topic/34294223
ตอนที่ 5 http://pantip.com/topic/34307506
ตอนที่ 6 http://pantip.com/topic/34332431

               ย่างเข้าเดือน 11 อากาศเริ่มหนาวเย็นในยามเช้า หมอกลงหนาตา ที่ด้านนอกยังคงมืดสลัว มีเพียงแสงอาทิตย์รำไรที่กำลังขึ้นอยู่ปลายขอบฟ้า เสียงนกกากู่ร้องออกหากินยามเช้าปลุกแม่อุ่นให้ตื่นจากห้วงนิทรา ความเย็นเยียบทำให้ขนแขนลุกชัน หญิงสาวลุกขึ้นเดินไปเปิดตู้ไม้ขนาดย่อมปลายเตียง หยิบผ้าสีเนื้อนวลมาคลุมไหล่ด้วยความรู้สึกหนาวเย็น มือจับผ้ากระชับแน่นขึ้นแล้วเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง คิ้วขมวดมุ่นครุ่นคิดถึงความฝันเมื่อคืนก่อน  เสียงไก่ขันดังไม่ขาดสายทำให้หญิงสาวออกจากภวังค์  หล่อนเงยหน้าแล้วทอดถอนใจ ก่อนจะปัดความกังวลใจออกไป แล้วจึงออกไปจัดเตรียมสำรับดั่งเช่นเคย วันนี้เป็นวันครบรอบวันตายของมารดา หญิงสาวจึงต้องจัดเตรียมอาหารมากกว่าทุกครั้งเพื่อจะนำไปถวายพระ
               ข่า ตะไคร้ หอมแดงและมะเขือเทศ คั่วอยู่ในกะทะส่งกลิ่นหอมทั่วเรือน ตามด้วยเสียงโขลกน้ำพริกดังเป็นจังหวะ ปลุกให้ชาย 2 คน ผู้ที่นอนหลับไหลให้ตื่นขึ้นมา ก่อนจะตบท้ายด้วยกลิ่นปลาดุกย่างหอมฉุยตลบอบอวล  หญิงสาวใส่เครื่องที่คั่วไว้ในกะทะลงในหม้อ แล้วบรรจงแกะปลาย่าง รอจนน้ำเดือดแล้วจึงใส่มะขามเปียก ตามด้วยเกลือป่นลงไปเคี่ยวในหม้อ สองมือทำกับข้าวเป็นระวิงอย่างคล่องแคล่ว
               "แกงกระไรรึแม่อุ่น" เสียงเอ่ยถามดังมาจากด้านหลัง
               หญิงสาวหันไปพบหน้าผู้เป็นบิดาที่ยืนมองจ้องมา จึงส่งยิ้มให้ก่อนจะตอบ "ต้มโคล้งปลาดุกย่างของโปรดแม่จ้ะ"
               "พูดแล้วเปรี้ยวปาก ไม่ได้กินเสียนาน พ่อเลยได้ลาภปากไปด้วย"
               "ฉันได้ปลาดุกมาหลายตัว เลยว่าจะย่างตั้งสำรับเช้าพร้อมน้ำพริก แลต้มโคล้งว่าจะนำไปถวายพระจ้ะ" แม่อุ่นหันมาส่งยิ้มให้ผู้เป็นพ่ออีกครั้ง แล้วหันกลับไปคนต้มโคล้งในหม้อ ชิมรสเมื่อได้ที่แล้วจึงใส่ปลาดุกย่างลงไป
               หญิงสาววางทัพพีลงแล้วจึงหันไปกล่าว "พ่อไปนั่งรอก่อนหนา ประเดี๋ยวฉันจัดสำรับไปให้"
               นายเมฆเดินไปนั่งรอพร้อมกล่าวทักทายชายหนุ่มผู้ซึ่งเดินตามกลิ่นมาเช่นกัน "ตื่นแล้วรึพ่อเพิ่ม นอนหลับสบายดีหรือไม่"
               "หลับสบายดีจ้ะพ่อครู  " เพิ่มปรายตามองไปยังแม่ครัวด้วยความชื่นชม ด้วยฝืมือทำกับข้าวยอดเยี่ยม ถึงแม้รสชาติจะไม่ได้ละเมียดละไมดั่งชาววัง แต่รสชาติที่จัดจ้านทำให้อร่อยไม่แพ้กัน อีกทั้งยังเก่งงานบ้านงานเรือน ซึ่งได้รับแบบอย่างมาจากผู้เป็นมารดานั่นเอง              
               สำรับถูกยกมาตั้งด้านหน้าชายทั้งสอง ผักลวกถูกจัดวางสวยงามอยู่ในจานโดยมีถ้วยน้ำพริกตั้งไว้ตรงกลาง ถัดมาเป็นปลาดุกย่างยัดตะไคร้หอมกรุ่นวางเรียงรายอยู่ในกระจาด แม่อุ่นคดข้าวแล้วตักใส่จาน ทุกคนลงมือกินด้วยความเอร็ดอร่อย
               "ลาภปากจริงเชียว ที่ฉันได้มีโอกาสกินกับข้าวฝีมือพี่อุ่นอีกครา น้ำพริกที่ใดก็อร่อยสู้ที่นี่ไม่ได้" เพิ่มกล่าวชมออกมาจากใจจริง
               "ไม่ถึงกระนั้นดอก ฝีมือพี่แค่หญิงชาวบ้านธรรมดา คงจะสู้ฝีมือแม่ครัวบ้านท่านคหบดีใหญ่อย่างพ่อเพิ่มไม่ได้ดอกกระมัง"
               "ฉันพูดจริงหนา ไม่ได้กล่าวยกยอเกินจริงดอก"
               แม่อุ่นส่งยิ้มให้แทนคำขอบใจแล้วจึงกล่าว "ฉันเห็นจะต้องขอตัวไปเข้าครัวก่อนหล่ะ ประเดี๋ยวจะไม่ทันเพล" สำรับถูกยกไปเก็บหญิงสาวจึงขอตัวไปจัดเตรียมอาหารที่จะนำไปถวายพระต่อ
               เมื่อสนทนากับแม่อุ่นเสร็จพ่อเพิ่มจึงหันกลับมาหานายเมฆแล้วกล่าว "พรุ่งนี้เดินทางแล้ว พ่อครูเก็บข้าวของเรียบร้อยหรือยังจ๊ะ มีกระไรให้ฉันช่วยหรือไม่"
               "เออๆ ขอบใจ ข้าเก็บเรียบร้อยตั้งแต่เมื่อวานซืนแล้ว ครูจนๆ ไม่มีสมบัติอันใดมากมายดอก อ้อ! ข้ามีกระไรจะให้เอ็งดู" กล่าวจบแล้วนายเมฆจึงลุกเดินเข้าไปในห้องพระเพื่อหาอะไรบางอย่าง เพียงไม่นานก็เดินกลับออกมาพร้อมดาบหนึ่งเล่ม
               นายเมฆนั่งลงพร้อมดาบยาวที่ถืออยู่ในมือ ฝักดาบทำจากไม้ประดู่มีสภาพเก่าซีด สันฝักมีร่องรอยคมดาบไปทั่ว ดั่งถูกใช้งานกรำศึกมานาน เมื่อชักตัวดาบออกมาพบอักขระโบราณแกะสลักไว้ เนื้อดาบเป็นมันวาวสะท้อนแสงที่ส่องมา สันดาบแอ่นงอขึ้นเล็กน้อย ผู้เป็นครูยื่นส่งให้ศิษย์เอก
               "เจ้าว่ามันมีลักษณะเป็นเยี่ยงไรบ้าง"
               ชายหนุ่มยื่นมือรับดาบแล้วลูบสัมผัส ปลายดาบแกะสลักอักษร ขอมไว้  ปลายนิ้วสัมผัสถึงความเย็นของเนื้อเหล็ก สันดาบหนาแล้วลาดลงมาเป็นรูปลิ่มสู่คมดาบ  "เนื้อดีทีเดียวจ้ะพ่อครู" ถึงแม้เขาจะไม่เชี่ยวชาญแต่ก็พอจะรู้ว่าเป็นดาบคุณภาพดี
               "ดาบเล่มนี้ เดิมทีเป็นดาบตั้งแต่สมัยกรุงเก่า เป็นดาบเหล็กน้ำพี้1 ซึ่งตีโดยบรรพบุรุษของข้าที่เป็นช่างตีดาบฝีมือดี ตอนที่พวกพม่าบุกเข้ายึดเมือง ทวดข้าได้พาครอบครัวหนีตายออกมา  ดาบเล่มนี้ฟาดฟันศัตรูมานับครั้งไม่ถ้วน แลปกป้องทุกคนให้แคล้วคลาดอันตราย พวกท่านหนีมาจนกระทั่งถึงเมืองสระบุรีแห่งนี้  ผู้คนมากมายแตกกระสานซ่านเซ็นไปคนละทิศละทาง พลัดที่นาคาที่อยู่ บ้านเมืองเข้าสู่กลียุค ข้าวยากหมากแพงทั่วหัวระแหง หลังจากนั้นท่านก็เปลี่ยนมาทำไร่ทำสวนเพื่อประทังชีพ
               จนกระทั่งพระเจ้ากรุงธนบุรีทรงกอบกู้เอกราชจากพม่าแลสถาปนาราชธานีใหม่ พระองค์ท่านทรงรวบรวมไพร่พลที่มีความสามารถทุกแขนงจากกรุงเก่า เพื่อฟื้นฟูบ้านเมืองให้กลับคืนสู่สภาวะปกติ ทวดข้าจึงเข้าถวายตัวเป็นข้ารับใช้ จวบจนกระทั่งลมหายใจสุดท้าย  ก่อนตายท่านได้นำดาบเหล็กน้ำพี้มาหลอมใหม่ แลผสมกับแร่เหล็กหลายชนิดรวมกัน ตีขึ้นมาเป็น 2 เล่ม แลมอบให้กับลูกชายสองคน เล่มหนึ่งตกทอดจากปู่มายังข้า ส่วนอีกเล่มหายไปพร้อมกับเจ้าของดาบผู้ที่ตายเพื่อปกป้องผืนแผ่นดิน" สายตาของผู้พูดทอดยาวออกไปดั่งจะระลึกถึงเรื่องอดีตกาล
               "ด้วยตัวข้านี้ไม่มีลูกชาย มีเพียงแต่แม่อุ่นที่เป็นหญิง คงจะหาประโยชน์อันใดจากดาบเล่มนี้คงไม่ได้ ดังนั้นข้าขอมอบให้เอ็งเอาไว้ทำคุณประโยชน์แก่แผ่นดินก็แล้วกัน" มือที่หยาบกร้านแต่อบอุ่นยื่นไปตบไหล่ชายหนุ่มเบาๆ
               "แต่...ดาบมีค่าเช่นนี้ ฉันคงไม่กล้ารับไว้" เพิ่มเก็บดาบใส่ฝักแล้วยื่นส่งคืนให้ชายสูงวัย
               "ค่าของมันไม่ได้อยู่ที่ตัวดาบ หากแต่อยู่ที่การนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์ แม้นเป็นเพียงแค่ก้อนกรวดหากทำประโยชน์ให้แก่แผ่นดินแล้วหล่ะก็  มันก็มีค่ามากกว่าดาบที่มีราคาแต่หามีประโยชน์อันใดไม่"
               ชายหนุ่มก้มลงกราบด้วยความซาบซึ้งใจ "ฉันจะจำคำสอนพ่อครูไว้จ้ะ"
               ดาบเก่าแก่ที่มีประวัติอันยาวนานถูกส่งผ่านไปยังชายหนุ่มผู้มีใจรักชาติเฉก เช่นเดียวกับเจ้าของเดิม ชายต่างวัยสองคนมองสบตากัน  นึกประหวั่นถึงศึกสงคราม ถึงแม้ในสมัยรัตนโกสินทร์ที่แผ่ขยายอาณาจักรออกไปกว้างไกล รวบรวมแผ่นดินให้เป็นปึกแผ่นมั่นคง แต่ก็ยังคงต้องรบราฆ่าฟันกับข้าศึกศัตรูอยู่เป็นเนืองนิตย์ เพลานี้ศัตรูมีอยู่รอบด้าน รวมทั้งข้าศึกศัตรูจากแดนไกลผู้ที่ข้ามน้ำข้ามทะเลมาล่าอาณานิคม

               บนเรือนที่ใหญ่โตโอ่อ่าดูเงียบสงบไปถนัดตา เนื่องด้วยเจ้าของเรือนและลูกสมุนต่างหายหน้าไปกันหมด คงเหลือแค่บ่าวไพร่ในเรือนที่ทำงานปัดกวาดเช็ดถูตามคำสั่งของนายหญิง   แม่ชื่นเดินวนไปเวียนมาด้วยความเป็นกังวลใจ ใจหนึ่งก็ประหวั่นเกรงหลวงนิมิตวรากรจะรู้ความ  แต่อีกใจหนึ่งที่เอนเอียงมามากกว่า คือใจแห่งความริษยา เมื่อคิดได้ดังนั้น หล่อนจึงตะโกนเรียกบ่าวคนสนิท
               "อีจัน...อีจัน อยู่ที่ใด"
               ผู้ถูกร้องเรียกรีบวิ่งมาโดยไวตามเสียงของผู้เป็นนาย "เจ้าขา... คุณชื่น"
               รูปร่างอวบอิ่มวิ่งจนตัวโยนยืนเหนื่อยหอบ แล้วก้มหน้ารับฟังคำสั่ง "มีกระไรจะใช้อีจันเจ้าคะ"              
               "กูมีเรื่องให้ไปทำ แต่ห้ามแพร่งพรายให้ผู้ใดรู้ มิฉะนั้นกับกูอาจมีอันตรายได้" แม่ชื่นกระซิบข้างหูบ่าวคนสนิท แล้วกำชับให้รีบไปทำตามที่สั่งการ
               สายตาเฝ้าระวังภัยกวาดตามอง บริเวณรอบเรือนเงียบสงัดปราศจากผู้คน  หญิงร่างอวบอิ่มมองซ้ายแลขวาและเดินเข้าไปเคาะประตูหน้าเรือน
               "แม่อุ่นๆ  มีใครอยู่บ้างไหมจ้ะ" ไม่มีเสียงใดกล่าวตอบกลับมา
               หญิงร่างอวบอิ่มผู้เป็นบ่าวคนสนิทของแม่ชื่น ที่ได้รับคำสั่งให้มาแจ้งข่าวกับแม่อุ่นเริ่มกังวลใจ ด้วยเพลานี้ไม่รู้ว่าจะไปตามหาหญิงสาวที่ใด จึงได้แต่นั่งรออยู่หน้าเรือน เวลาผ่านไปเนิ่นนานไม่มีวี่แววเจ้าของเรือน หล่อนจึงยันกายอวบอิ่มขึ้น ตัดสินใจกลับไปแจ้งข่าวผู้เป็นนาย
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่