จอมใจจอมขวัญ(พีเรียด) ตอนที่ 6

กระทู้สนทนา


ตอนที่ 1 http://pantip.com/topic/34280583
ตอนที่ 2 http://pantip.com/topic/34285085
ตอนที่ 3 http://pantip.com/topic/34290054
ตอนที่ 4 http://pantip.com/topic/34294223
ตอนที่ 5 http://pantip.com/topic/34307506

              คืนที่ดึกสงัดมีเพียงแสงจันทร์ส่องสว่างอยู่ในความมืดมิด ทุกสรรพสิ่งหยุดการเคลื่อนไหว ทั่วบริเวณปกคลุมไปด้วยม่านหมอกหนาตา ทำให้รู้สึกเย็นเยียบหนาวสะท้านไปทั่วร่าง มือที่เย็นดั่งน้ำแข็งประสานกอดอก เพื่อให้ความอบอุ่นจากร่างกายได้บรรเทาความเหน็บหนาว หญิงสาวมองไปรอบเรือน ที่บัดนี้แลดูรกร้างว่างเปล่าวังเวง ปราศจากผู้คน ความรู้สึกหวาดกลัวเริ่มเข้ามาเกาะกุมใจ   หล่อนวิ่งไปรอบๆ ด้วยจิตประหวั่นพรั่นพรึงกวาดสายตามอง แต่ทุกอย่างกลับดูว่างเปล่า ไร้ซึ่งสิ่งมีชีวิตใดๆ มันช่างเงียบเหงา
          "มีใครอยู่บ้างไหม" แม่อุ่นเอ่ยถามออกไปด้วยความกลัวจับใจ
          "พ่อ...พ่อ...พ่ออยู่ไหนลูกกลัวเหลือเกิน"
          ไม่มีเสียงใดๆ เอ่ยตอบ มีเพียงแต่ความเงียบงัน และเสียงลมหายใจที่เหนื่อยหอบอ่อนล้า ความอ้างว้างทำให้หยาดน้ำตาที่คลอเบ้าไหลรินเป็นทาง เพียงชั่วครู่กลิ่นหอมจางๆ ที่คุ้นเคยก็โชยมา แม่อุ่นปาดน้ำตาแล้วมองหาแหล่งที่มา มีเงาเลือนลางเคลื่อนไหวอยู่ตรงชานเรือน หล่อนเพ็งมองไปยังความมืด เงาที่มีร่างสลัวๆ ดูคุ้นตา ทำให้ใจที่หวาดกลัวกลับรู้สึกอบอุ่นขึ้นมาอีกครั้ง เมื่อร่างนั้นเริ่มประจักษ์แก่ตา หญิงวัยกลางคนหน้าตาละม้ายคล้ายคลึงกันก็ปรากฎตัวขึ้น
          "แม่...ลูกคิดถึงแม่" เสียงสั่นเครือด้วยความดีใจ
          หญิงสาววิ่งเข้าไปหามารดาในทันที แต่เหมือนมีกำแพงแก้วมาขวางกั้น มือคลำไปกลางอากาศ มันให้สัมผัสที่อ่อนนุ่ม แต่ไม่สามารถผ่านม่านหมอกเพื่อฝ่าเข้าไปด้านในได้  มือที่กำอยู่ทุบลงไปบนอากาศหลายครั้ง แต่ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น หล่อนยังคงยืนอยู่ด้านนอกจ้องมองตรงไปยังมารดา
          "แม่...แม่..."
          ผู้เป็นมารดายิ้มให้บุตรสาว สีหน้าดูเศร้าหมอง แววตาที่มองจ้องมาเต็มเปี่ยมไปด้วยความกังวล แม่อุ่นพยายามพูดคุยกับมารดาแต่หามีเสียงตอบกลับมาไม่ เหมือนทั้งสองคนอยู่กันคนละโลก
          "แม่ ได้ยินฉันรึไม่จ๊ะ...แม่" หญิงสาวตะโกนจนเสียงแหบพร่า
         แววตาเศร้าหมอง น้ำตาผู้เป็นแม่หลั่งริน  มือยกขึ้นมาเหมือนจะสื่อความหมายบางอย่าง ปลายนิ้วชี้ออกไปด้านนอกไกลสุดลูกหูลูกตา แล้วร่างก็เลือนลางจางหายไปคงเหลือเพียงแต่กลิ่นหอมจางๆ
          "แม่..แม่..."

          ฟ้าใกล้สางแล้ว เสียงไก่ขันดังเป็นระยะๆ แม่อุ่นสะดุ้งตื่นจากฝันเหงื่อกาฬแตกซ่าน   ภาพนิมิตยังคงติดอยู่ในห้วงแห่งความนึกคิด ความโดดเดี่ยวอ้างว้างชัดเจนและน่ากลัว พรุ่งนี้เป็นวันครบรอบวันตายของผู้เป็นแม่ ด้วยใจที่ระลึกถึงอาจทำให้เก็บเอาไปฝันเป็นตุเป็นตะหล่อนนึกในใจ ร่างอรชรลุกจากที่นอนแล้วพับเก็บด้วยความเป็นระเบียบเรียบร้อย หลังจากนั้นจึงลงมาจัดเตรียมสำรับเช้าให้ผู้เป็นพ่อ
          ข้าวหุงใหม่และปลาย่างห่อใบตองส่งกลิ่นหอมโชยมาชวนน้ำลายสอ สำรับถูกจัดเตรียมไว้เรียบร้อย ผู้เป็นพ่อล้างมือในขันที่วางไว้ด้านข้าง แม่อุ่นยื่นผ้าเช็ดมือส่งให้ เขารับมาพร้อมกับสังเกตุเห็นสีหน้าของบุตรสาวดูเศร้าสร้อยไม่ร่าเริงจึงเอ่ย ถาม "เป็นกระไรไปรึ หน้าตาดูเศร้าหมอง"
          "ลูกฝันถึงแม่จ้ะ แม่ดูเศร้าสร้อย ฉันไม่ใคร่จักสบายใจเลย" น้ำตาที่หลั่งรินของผู้เป็นแม่ยังคงฝังอยู่ในความทรงจำของหล่อน
          "เจ้าคงจะคิดถึงแม่หน่ะ พรุ่งนี้ครบรอบวันตายแม่เจ้า ไม่มีกระไรดอก" นายเมฆพูดจบแล้วจึงลงมือกินข้าวต่อ
          "จ๊ะ พรุ่งนี้ลูกใคร่จักไปวัดทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้แม่เสียหน่อย"
          "พ่อจักไปกับเจ้าด้วย ไม่อยากให้เจ้าไปคนเดียวเกรงว่าจักเจอคนพาล" นายเมฆเสมองมายังลูกสาวด้วยความเป็นห่วง
          ปึงๆๆ เสียงเคาะประตูดังขึ้นมาขัดจังหวะการสนทนาของสองคนพ่อลูก                       
           "พ่อครู...พ่อครู อยู่ไหมจ๊ะ"
          เสียงที่ฟังดูคุ้นเคยทำให้นายเมฆผุดยิ้มขึ้นมา แต่เพื่อความไม่ประมาทจึงเอ่ยถาม  "ผู้ใดหล่ะนั่น"
          "ฉันเพิ่มจ๊ะพ่อครู"
          เมื่อได้ยินเสียงศิษย์รักนายเมฆจึงรีบเดินตรงไปยังหน้าเรือน สลักถูกเลื่อนออก  บานประตูที่แง้มออกไปเผยให้เห็นหน้าผู้มาเยือน "พ่อเพิ่มมาแล้วรึ"
          "ไหว้จ๊ะ พ่อครู"
          "เอ่อ..ไหว้พระเถอะพ่อ แล้วนี่กินข้าวกินปลามาแล้วหรือยังหล่ะ"
          "ยังเลยจ๊ะ ได้กลิ่นหอมท้องก็ร้องเลย ฮาๆ"
          เพิ่มรู้สึกหิวขึ้นมาในทันทีเมื่อกลิ่นหอมของปลายย่างโชยมา ทั้งเหนื่อยทั้งหิวด้วยเร่งเดินทางทั้งวันทั้งคืน
          "สบายดีรึพ่อเพิ่ม" แม่อุ่นเอ่ยทักแล้วจัดสำรับอีกชุดเผื่อแขกผู้ที่คุ้นเคยกันดี
          "สบายดีจ๊ะ พี่อุ่น" เขารับขันน้ำและผ้าเช็ดมือจากแม่อุ่นที่ยื่นส่งมาให้ เมื่อล้างเสร็จแล้วจึงวางไว้ด้านข้าง แล้วลงมือกินข้าว
          "คุณหลวงสบายดีรึ" ผู้เป็นครูเอ่ยถามลูกศิษย์
          "กายสบายดีจ๊ะ แต่ใจหน่ะซิพ่อครูไม่ใคร่ดีนัก ด้วยเพลานี้พวกฮ่อฮึกเหิมยกพลเข้าตีเมืองเชียงขวางแตกแล้ว แลได้ยกทัพมาตีเมืองพวน กับหัวเมืองขึ้นของเมืองหลวงพระบาง ได้อีก 12 หัวเมือง ทางพระนครกำลังเร่งเกณฑ์ไพร่พลเพื่อยกไปช่วย เพลานี้กองทัพเมืองหนองคายและเมืองโพนพิสัยกำลังตั้งกองกำลังเพื่อรักษาเขตแดนอยู่ คุณลุงท่านยุ่งอยู่กับการเรียกสักเลก จึงได้ส่งฉันมาก่อน"
          ใบหน้าแฝงไปด้วยความกังวลของทั้งคู่เสมองกัน แม่อุ่นยกสำรับไปเก็บแล้วจัดชุดน้ำชายกมาให้
          "เฮ้อ! ข้าเองก็ออกจากราชการด้วยโรคภัยไข้เจ็บ เกรงว่าจักเป็นภาระให้กับกองทัพ แลแม่อุ่นก็ไม่มีผู้ใดดูแล พอฟังเยี่ยงนี้แล้วก็อดนึกเสียดายที่ไม่ได้อาสาไปด้วย หากข้าตาย ก็อยากตายกลางศึกมากกว่าด้วยโรคภัยไข้เจ็บ" สีหน้าของนายเมฆเศร้าหมองลงไปเมื่อนึกถึงสังขารตัวเอง
          "พ่อพูดกระไรเยี่ยงนั้น ฉันใจคอไม่ดีเลย"  แม่อุ่นเสมองผู้เป็นพ่อด้วยความกังวลใจ
          "พ่อก็พูดเผื่อไว้ คนเราเกิดมาแล้วก็ต้องตาย ไม่มีใครหนีพ้น แต่อยู่ที่ว่าจะตายแบบไหนเท่านั้นเอง ตายเพื่อทำคุณประโยชน์ให้บ้านเมือง ถือเป็นเกียรตินัก"
          ผู้เป็นพ่อปรายตามองลูกสาวผู้เป็นดั่งแก้วตาดวงใจ ที่ขณะนี้มีหยดน้ำใสๆ หลั่งรินออกมาจากสองตา นายเมฆลูบหัวด้วยความรักใคร่เอ็นดูพร้อมดึงหญิงสาวเข้ามากอดปลอบใจ "เจ้าจักร้องไห้ไปไย พ่อยังไม่ไปไหนดอก ยังไม่เห็นเจ้าเป็นฝั่งเป็นฝาเลย"
          เพิ่มมองสองคนพ่อลูกด้วยความสะท้อนใจแล้วเอ่ยกล่าว "พ่อครูไม่ต้องเป็นห่วงไปดอก คุณลุงท่านให้ฉันมารับพ่อครูกับพี่อุ่นเข้าพระนคร แล้วค่อยหารือกันว่าจะทำเยี่ยงไรกันต่อไป แต่ฉันได้ยินมาว่าเพลานี้กองทัพต้องการคนช่วยฝึกดาบไพร่พล คุณลุงท่านน่าจะพอช่วยเหลือได้"
          "ขอบใจพ่อเพิ่มมาก ที่ช่วยเป็นธุระให้"
          "ฉันรักและเคารพพ่อครู ผู้ซึ่งคอยประสิทธิ์ประสาทวิชาให้ เรื่องแค่นี้ถือว่ายังเล็กน้อยนัก"
          มือหนากร้านด้วยจับดาบมาหลายปีตบลงเบาๆ ที่ไหล่กว้างของผู้เป็นลูกศิษย์ ด้วยความซาบซึ้งใจ
          "เออๆ..ขอบใจ"
          "แล้วพ่อครูจะออกเดินทางเมื่อใด"
          "อีก 2-3 วัน ข้าต้องจัดการเรื่องเรือนหลังนี้ ส่วนพวกลูกศิษย์ลูกหาคนอื่นๆ ข้าก็บอกล่วงหน้าไปแล้ว"
          "มีอะไรให้ฉันช่วยพ่อครูสั่งมาได้เลยหนา" ชายหนุ่มขันอาสา
          "งั้นเหมาะทีเดียว พรุ่งนี้แม่อุ่นจักไปวัดทำบุญครบรอบวันตายแม่จัน ถ้าเยี่ยงไรข้าฝากเอ็งไปเป็นเพื่อนแล้วกันหนา เพราะข้ามีเรื่องต้องจัดการมากมาย"
          การพูดคุยดำเนินต่อไปเพียงชั่วครู่ ผู้เป็นเจ้าของเรือนจึงขอตัวไปเก็บสัมภาระ เพิ่มเห็นดังนั้นจึงขอตัวไปพักผ่อนหลังจากเดินทางเหน็ดเหนื่อยมาหลายวัน คงเหลือเพียงแม่อุ่นที่กวาดตามองรอบเรือน เรือนที่มีความทรงจำมากมาย แต่เพลานี้ต้องจากจรไปไกลเสียแล้ว ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะได้กลับมาเยือนอีก หญิงสาวถอนหายใจเฮือกใหญ่ แล้วเดินเข้าห้องไปเก็บของ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่