โดยปกติ ทางเศรษฐศาสตร์จะมี Goal ใหญ่ๆอยู่ 3 Goals สำหรับ central bank.
1. Economic Growth ต้องให้ได้มากที่สุด
2. เงินเฟ้อต้องเป็นบวกนิดๆ เทียบกับ Growth ที่สำคัญคือห้ามเป็นลบเพราะถ้าเป็นลบคนจะเริ่มไม่ใช้จ่าย และลงทุน เพราะหมายความว่าเวลาที่ผ่านไป ข้าวของก็จะถูกลง สภาวะนี้เคยเกิดขึ้นกับเศรษฐกิจญี่ปุ่นเป็นเวลา 10 ปี แล้วเครื่องมือทางการเงินที่จะแก้ไขโดนจำกัด
3. Low Unemployment rate
การกำหนดอัตราดอกเบี้ยไว้ต่ำจะทำให้ 1 กับ 3 เป็นไปตามทิศทางต้องการ แต่เงินเฟ้อ จะมีแนวโน้มที่จะสูงขึ้น แต่สถานการณ์ปัจจุบัน ไม่มีสัญญาณเงินเฟ้อแถมจะมีสัญญาณของเงินฝืดด้วย แล้วทำไมเฟดจึงต้องขึ้นดอกเบี้ย?
Monetary Policy
เหตุการณ์ในปี 2008 ทำให้มีการทำ QE 3-4 ครั้ง และการคงดอกเบี้ย Fed Fund rate ที่ 0 % ตั้งแต่ปี 2009 การทำ QE แต่ละครั้งใช้เงินมหาศาล รวมถึงการคงดอกเบี้ยที่ 0% เป็นเวลา 6ปี หมายความว่า FED ให้แบงก์อื่นๆ เช่น ABC กู้ในอัตรา 0 % แต่เงินที่เฟดขาย พันธบัตรไม่ใช่ 0 % ถ้าเฟดขายพันธบัตร ที่ 2 % ในตลาดหมายความว่า เฟดจะต้องจ่าย 2 % ในตลาด (กรณี US Note 10 yr 2 % ถ้าพวก money market coupon rate ไม่ถึง 0.1% ณ ปัจจุบัน) แล้วเอา ไปให้แบงก์ ABC กู้ในอัตรา 0 % ยิ่งปล่อยกู้มาก เฟดยิ่งขาดทุน แล้วขาดทุน มาเป็นเวลา 6 ปีแล้วแน่ๆ ถ้าหากเฟดไม่ขึ้นดอกเบี้ยจาก 0 % หมายความว่าเฟดก็ต้องยอกรับสภาพการขาดทุนอันนี้ไปเรื่อย ปัญหาคือ เฟดมีเงินอยู่เท่าไหร่จะเพียงพอกับการคงอัตราดอกเบี้ย 0 % ได้อีกนานขนาดไหน หากมีการขึ้นดอกเบี้ยหมายถึง การขาดทุนก็จะลดลง
Fiscal Policy
http://finance.yahoo.com/news/week-could-blow-lid-off-103000488.html
จากข่าว หากไม่มีการขึ้นเพดานการกู้เงินของสภาเพื่อใช้จ่ายของรัฐบาล ก่อน วันที่ 3 พฤศจิกายน หมายถึง การผิดนัดชำระหนี้(default) ครั้งแรกของอเมริกา โอเคสหรัฐเคยผ่านการขึ้นเพดานการกู้มาแล้วถ้าจำไม่ผิด 2 ครั้งในรอบ 5 ปี ไม่มีปัญหาอะไร แต่ถ้า จากการที่เป็นหนี้ 80% ของ GDP มาเป็น 90 % 100% 150% 200% ....จุดไหนที่นักลงทุนในพันธบัตรอเมริกาจะเริ่มคิดว่า เฮ้ยไม่ได้หละมันเสี่ยงเกินไปหละ หมายถึง เริ่มไม่มีความน่าเชื่อถือของเงินดอลล่า และ พันธบัตรอเมริกา แต่ละคนมีจุดที่ขาดพึ่งไม่เหมือนกัน หรือ ข่าวที่จีนลดการถือครอง พันธบัตร มองได้ 2 อย่างคือ จีนเอาเงินกลับเพื่อไปส่งซ่อมและเสริมเศรษฐกิจตัวเอง กับ 2 เริ่มไม่ไว้ใจใน Risk ที่เพิ่มขึ้นในพันธบัตรอเมริกา พูดถึงแค่ฝั่ง Gov spending ยังไม่รวมถึง การใช้จ่ายและตลาดแรงงานที่อ่อนแอของอเมริกานะ
กับมาที่ความเสี่ยง(risk) โดยปกติ high risk high return(high yield) เมื่อเพิ่ม yield ในตลาด ก็จะวนมาที่ความแตกต่างของ อัตราดอกเบี้ยของ fed และ อัตราดอกเบี้ยในตลาด ที่ fed ต้องแทรกแซง มันยิ่งทำให้ตัว fed ต้องขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก สิ่งที่เกิดขึ้นนี้คือ ฟองสบู่ในตลาด US Bond ที่ Fed ฉีดเข้าไปเองตลอดเวลา 5 -6 ปี ที่ผ่านมา ประเด็นคือไม่มีใครในเฟดที่จะกล้าเอาเข็ม (คือ การขึ้นอัตราดอกเบี้ย) ไปเจาะมันเพราะคนที่ทำจะเป็นคนที่โดนประนาม แต่มันจะทำให้ความเสียหายน้อยกว่าที่ฟองสบู่จะระเบิดขึ้นมาเอง
หากเกิดการแตกของฟองสบู่ US Bond Market อะไรจะเกิดขึ้น
การแตกของฟองสบู่หมายถึงราคา ที่ตก yield ที่เพิ่มขึ้น จาก risk appetite ที่เปลี่ยนไปของ investor ทั้งตลาด หมายถึงต้นทุนการกู้ยืมเงินจะ เพิ่มสูงขึ้น ตลาด mortgage ซึ่งเพิ่งเริ่มฟื้นตัวในช่วง 1-2 ปี แต่ยังเปราะบางก็จะมีต้นทุนที่สูงขึ้น จนอาจต้องมีคนถูกยึดบ้านมากขึ้น ก็จะกลับไปยังปี 2008 อีกครั้ง แต่คราวนี้ก็จะไม่มีเครื่องมือทางการเงินเพิ่ม การจับจ่ายใช้สอยก็จะน้อยลง อาจจะกระเทือนไปทั่วโลกเพราะอเมริกาเป็นประเทศที่บริโภคมากที่สุดในโลก ทั้งนี้ทั้งนั้นต้องดูว่า เฟดจะขึ้นดอกเบี้ยทันเวลาหรือเปล่า และการแตกของฟองสบู่แตกยังไงแต่ยังไงตลาดทั่วโลกต้องป่วนอีกครั้งแน่ อาจจะเป็นอีกไม่นาน หรืออาจจะเป็น 2016 ก็ได้เพราะมีเลือกตั้งอเมริกาเหมือน 2008 ที่ฟองสบู่แตกครั้งที่แล้ว
ขอบคุณที่อ่านครับ
ทำไมเฟดจึงต้องขึ้นดอกเบี้ย -เพิ่มเพดานกู้ของคลังสหรัฐ -ความไม่น่าเชื่อถือของเงินดอลและพันธบัตร US ?
1. Economic Growth ต้องให้ได้มากที่สุด
2. เงินเฟ้อต้องเป็นบวกนิดๆ เทียบกับ Growth ที่สำคัญคือห้ามเป็นลบเพราะถ้าเป็นลบคนจะเริ่มไม่ใช้จ่าย และลงทุน เพราะหมายความว่าเวลาที่ผ่านไป ข้าวของก็จะถูกลง สภาวะนี้เคยเกิดขึ้นกับเศรษฐกิจญี่ปุ่นเป็นเวลา 10 ปี แล้วเครื่องมือทางการเงินที่จะแก้ไขโดนจำกัด
3. Low Unemployment rate
การกำหนดอัตราดอกเบี้ยไว้ต่ำจะทำให้ 1 กับ 3 เป็นไปตามทิศทางต้องการ แต่เงินเฟ้อ จะมีแนวโน้มที่จะสูงขึ้น แต่สถานการณ์ปัจจุบัน ไม่มีสัญญาณเงินเฟ้อแถมจะมีสัญญาณของเงินฝืดด้วย แล้วทำไมเฟดจึงต้องขึ้นดอกเบี้ย?
Monetary Policy
เหตุการณ์ในปี 2008 ทำให้มีการทำ QE 3-4 ครั้ง และการคงดอกเบี้ย Fed Fund rate ที่ 0 % ตั้งแต่ปี 2009 การทำ QE แต่ละครั้งใช้เงินมหาศาล รวมถึงการคงดอกเบี้ยที่ 0% เป็นเวลา 6ปี หมายความว่า FED ให้แบงก์อื่นๆ เช่น ABC กู้ในอัตรา 0 % แต่เงินที่เฟดขาย พันธบัตรไม่ใช่ 0 % ถ้าเฟดขายพันธบัตร ที่ 2 % ในตลาดหมายความว่า เฟดจะต้องจ่าย 2 % ในตลาด (กรณี US Note 10 yr 2 % ถ้าพวก money market coupon rate ไม่ถึง 0.1% ณ ปัจจุบัน) แล้วเอา ไปให้แบงก์ ABC กู้ในอัตรา 0 % ยิ่งปล่อยกู้มาก เฟดยิ่งขาดทุน แล้วขาดทุน มาเป็นเวลา 6 ปีแล้วแน่ๆ ถ้าหากเฟดไม่ขึ้นดอกเบี้ยจาก 0 % หมายความว่าเฟดก็ต้องยอกรับสภาพการขาดทุนอันนี้ไปเรื่อย ปัญหาคือ เฟดมีเงินอยู่เท่าไหร่จะเพียงพอกับการคงอัตราดอกเบี้ย 0 % ได้อีกนานขนาดไหน หากมีการขึ้นดอกเบี้ยหมายถึง การขาดทุนก็จะลดลง
Fiscal Policy
http://finance.yahoo.com/news/week-could-blow-lid-off-103000488.html
จากข่าว หากไม่มีการขึ้นเพดานการกู้เงินของสภาเพื่อใช้จ่ายของรัฐบาล ก่อน วันที่ 3 พฤศจิกายน หมายถึง การผิดนัดชำระหนี้(default) ครั้งแรกของอเมริกา โอเคสหรัฐเคยผ่านการขึ้นเพดานการกู้มาแล้วถ้าจำไม่ผิด 2 ครั้งในรอบ 5 ปี ไม่มีปัญหาอะไร แต่ถ้า จากการที่เป็นหนี้ 80% ของ GDP มาเป็น 90 % 100% 150% 200% ....จุดไหนที่นักลงทุนในพันธบัตรอเมริกาจะเริ่มคิดว่า เฮ้ยไม่ได้หละมันเสี่ยงเกินไปหละ หมายถึง เริ่มไม่มีความน่าเชื่อถือของเงินดอลล่า และ พันธบัตรอเมริกา แต่ละคนมีจุดที่ขาดพึ่งไม่เหมือนกัน หรือ ข่าวที่จีนลดการถือครอง พันธบัตร มองได้ 2 อย่างคือ จีนเอาเงินกลับเพื่อไปส่งซ่อมและเสริมเศรษฐกิจตัวเอง กับ 2 เริ่มไม่ไว้ใจใน Risk ที่เพิ่มขึ้นในพันธบัตรอเมริกา พูดถึงแค่ฝั่ง Gov spending ยังไม่รวมถึง การใช้จ่ายและตลาดแรงงานที่อ่อนแอของอเมริกานะ
กับมาที่ความเสี่ยง(risk) โดยปกติ high risk high return(high yield) เมื่อเพิ่ม yield ในตลาด ก็จะวนมาที่ความแตกต่างของ อัตราดอกเบี้ยของ fed และ อัตราดอกเบี้ยในตลาด ที่ fed ต้องแทรกแซง มันยิ่งทำให้ตัว fed ต้องขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก สิ่งที่เกิดขึ้นนี้คือ ฟองสบู่ในตลาด US Bond ที่ Fed ฉีดเข้าไปเองตลอดเวลา 5 -6 ปี ที่ผ่านมา ประเด็นคือไม่มีใครในเฟดที่จะกล้าเอาเข็ม (คือ การขึ้นอัตราดอกเบี้ย) ไปเจาะมันเพราะคนที่ทำจะเป็นคนที่โดนประนาม แต่มันจะทำให้ความเสียหายน้อยกว่าที่ฟองสบู่จะระเบิดขึ้นมาเอง
หากเกิดการแตกของฟองสบู่ US Bond Market อะไรจะเกิดขึ้น
การแตกของฟองสบู่หมายถึงราคา ที่ตก yield ที่เพิ่มขึ้น จาก risk appetite ที่เปลี่ยนไปของ investor ทั้งตลาด หมายถึงต้นทุนการกู้ยืมเงินจะ เพิ่มสูงขึ้น ตลาด mortgage ซึ่งเพิ่งเริ่มฟื้นตัวในช่วง 1-2 ปี แต่ยังเปราะบางก็จะมีต้นทุนที่สูงขึ้น จนอาจต้องมีคนถูกยึดบ้านมากขึ้น ก็จะกลับไปยังปี 2008 อีกครั้ง แต่คราวนี้ก็จะไม่มีเครื่องมือทางการเงินเพิ่ม การจับจ่ายใช้สอยก็จะน้อยลง อาจจะกระเทือนไปทั่วโลกเพราะอเมริกาเป็นประเทศที่บริโภคมากที่สุดในโลก ทั้งนี้ทั้งนั้นต้องดูว่า เฟดจะขึ้นดอกเบี้ยทันเวลาหรือเปล่า และการแตกของฟองสบู่แตกยังไงแต่ยังไงตลาดทั่วโลกต้องป่วนอีกครั้งแน่ อาจจะเป็นอีกไม่นาน หรืออาจจะเป็น 2016 ก็ได้เพราะมีเลือกตั้งอเมริกาเหมือน 2008 ที่ฟองสบู่แตกครั้งที่แล้ว
ขอบคุณที่อ่านครับ