(เรื่องน่ารู้) 10 อันดับแนวทางที่บริษัทมักจะชอบหลอกให้ลูกค้าซื้อของ

โลกของเราทุกวันนี้ก็มีบริษัทมากหน้าหลายตา ที่พวกเขาต่างก็พยายามหาเครื่องมือที่ช่วยให้พวกเขาอยู่รอดได้ โดยพวกเขาจะใช้วิธีการต่างๆเพื่อดึงดูดลูกค้าให้หันมาซื้อของๆพวกเขาให้มากที่สุด โดยใช้กลยุทธ์วิธีการต่างๆ จะมีอะไรบ้างนั้น ลองมาดู 10 อันดับกัน













10.ใช้วิธีการลดราคา


ส่วนใหญ่เราจะเห็นได้ว่า ร้านค้าบางแห่งมักจะใช้วิธีลดราคา ซึ่งถือเป็นพื้นฐานที่จะดึงดูดลูกค้าหันมาใช้บริการมากขึ้น จริงๆแล้วการลดราคามันก็ไม่ได้ทำให้พวกเขาได้รับผลกระทบเรื่องผลกำไรอะไรหรอก แต่คนบริโภคอย่างเราๆคิดว่า เป็นโอกาสทองที่จะต้องเข้าไปจับจ่ายใช้สอย อย่างเช่น ลดราคา 25 เปอร์เซ็นต์ ก็มักจะทำให้ลูกค้าอยากซื้อของอื่นๆเพิ่มขึ้นตามมา นี่คือกลยุทธ์อย่างหนึ่งที่พวกเขาต้องการให้ลูกค้าหันมาซื้อของเพิ่มมากขึ้น














9.พยายามแจกรางวัลหรือคูปอง


การแจกรางวัลหรือคูปองจะช่วยเพิ่มแรงจูงใจให้ลูกค้าอยากเข้ามาซื้อของมากขึ้นกว่าเดิม เพราะมีการแจกรางวัลหรือคูปองพิเศษสำหรับแต่ละราย รางวัลก็อย่างเช่น กินร้านอาหารนี้ฟรี เครื่องดื่มฟรี ดูหนังฟรี หรือมีตั๋วพักที่โรงแรม รีสอร์ทต่างๆนาๆ ก็เพื่อที่จะเป็นการสนับสนุนให้ลูกค้าจับจ่ายใช้สอยเพื่อมีโอกาสได้รับรางวัลนี้ และบริษัทที่สนับสนุนแจกรางวัลก็ได้รับผลประโยชน์ทางอ้อมด้วย














8.ผลิตภัณฑ์ที่มักจะอ้างว่า ใช้หรือกินแล้วมีประโยชน์ต่อสุขภาพ


แน่นอนล่ะว่าคนส่วนใหญ่เดี๋ยวนี้ต่างก็ใส่ใจรักสุขภาพกันทั้งนั้น ทางบริษัทก็เลยใช้จังหวะนี้ในการทำเงินเข้ากระเป๋าซะเลย อย่างเช่นเครื่องดื่มที่มักจะอ้างว่า กินแล้วได้วิตามินแบบนี้ กินแล้วรู้สึกมีพลัง ซึ่งจริงๆแล้วมันก็ไม่ได้หมายความว่า กินทุกๆวันแล้วเราจะรู้สึกร่างกายแข็งแรงขึ้นมาอะไรหรอก มันเป็นเพียงแค่กลยุทธ์หลอกตาให้ลูกค้าหันมาบริโภคสินค้าเขาให้มากขึ้น โดยใช้เรื่องสุขภาพเป็นข้ออ้าง














7.บริษัทมักจะพูดถึงข้อดีอยู่เสมอ


พวกเราก็คงสังเกตได้ว่า เกือบๆทุกบริษัทมักจะพูดถึงผลิตภัณฑ์ที่เป็นด้านดีของพวกเขาอยู่เสมอ แต่ไม่ค่อยพูดถึงผลกระทบข้างเคียงที่เกิดขึ้นเท่าไรนัก อย่างเช่น โฆษณาบ้านเราแทบทุกๆชิ้นเลยก็ว่าได้ ที่มักจะพูดถึงข้อดีว่า มีส่วนผสมแบบนั้น แบบนี้ หรือใช้แล้วรู้สึกยังไง เพื่อให้กระแสบริโภคนิยมเกิดความตึงตาตึงใจลูกค้ามากขึ้น ซึ่งเราก็ต้องมาสังเกตตรงนี้ให้ดีๆ














6.บริษัทมักจะมีการรับประกันให้


เชื่อเลยว่า พวกเราส่วนใหญ่ที่ซื้อของผลิตภัณฑ์แต่ละชนิดก็เพราะว่า บริษัทมีการรับประกันให้หากเกิดปัญหาขึ้นมา หากว่าบริษัทไม่ทำตามสัญญา ก็เท่ากับบริษัทฆ่าตัวตายทางการตลาดแท้ๆ การรับประกันก็อย่างเช่น การคืนเงิน การเปลี่ยนสินค้าใหม่ให้ดีขึ้นกว่าเดิม ซึ่งจริงๆแล้วเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นไม่ได้บ่อยนัก แต่จะเกิดขึ้นสำหรับบางคนมากกว่า แบบนี้บริษัทก็คงประเมินแล้วล่ะว่า คุ้มค่าที่จะใช้กลยุทธ์แบบนี้














5.มีการแนะนำสินค้า


แน่นอนล่ะการแนะนำสินค้าพวกเราก็เห็นได้เกือบทุกที่ ทุกเวลา ไม่ว่าจะเป็นห้างสรรพสินค้า ร้านอาหาร หรือร้านขายผลิตภัณฑ์ต่างๆเช่น เครื่องสำอาง โดยพวกเขาก็มักจะมีการแนะนำสินค้าเพื่อจูงใจให้ลูกค้าไปวิเคราะห์เพื่อกลับไปคิดว่า ควรจะซื้อดีหรือไม่ แต่ส่วนใหญ่ก็ต้องเน้นให้ลูกค้าซื้อสินค้าที่แนะนำไปให้ได้อยู่แล้ว โดยจะมีตัวแทนจำหน่ายสินค้าคอยใช้ศาสตร์ต่างๆเพื่อโน้มน้าวใจเราให้เราอยากจะซื้อสินค้าติดมือกลับบ้านไปให้ได้














4.มีการเปรียบเทียบสินค้า


บริษัทมักจะใช้วิธีนี้หลอกลูกค้าเพื่อให้คิดว่า จริงๆแล้วสินค้านี้มีคุณสมบัติดีมากน้อยแค่ไหน แต่ว่าเราไม่รู้ตัวหรอกว่า เรากำลังเป็นเหยื่อที่ทำให้เรากลายเป็นนักบริโภคนิยมแบบไม่รู้ตัว เพราะว่าการเปรียบเทียบสินค้า ไม่ว่าจะเป็นสินค้าใด ต่างก็ได้รับผลประโยชน์ในการโปรโมทสินค้าไปในตัวด้วย จึงเป็นไปได้ที่ว่า เราอาจจะซื้อสินค้าไปทดลองทั้ง 2 ตัวเลยก็ได้ นับว่าเป็นอีกกลยุทธ์หนึ่งที่ใช้ได้ไม่เลวเลยล่ะ














3.เป็นสินค้าที่ไม่มีความเสี่ยง มีความปลอดภัย


บริษัทก็มักจะชอบอ้างอยู่เสมอว่า สินค้าของพวกเขาไม่มีความเสี่ยงหรือมีความปลอดภัยในการใช้ ก็แน่นอนว่าบริษัทก็ต้องคำนึงถึงเรื่องนี้อยู่แล้ว แต่อย่าลืมว่า พวกเขาเองก็ต้องการให้พวกเราอยากซื้อสินค้าของพวกเขาจนตัวสั่นอยู่แล้ว โดยพวกเขาพยายามอธิบายถึงความใส่ใจ ความพิถีพิถันในการผลิตสินค้าแต่ละชนิดว่า อยากให้ลูกค้ารู้สึกดีแบบนั้น แบบนี้ อยากให้ลูกค้าต้องการมีชีวิตที่ดีขึ้น ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับแต่ละคนแล้วล่ะ แต่ก็ปฎิเสธไม่ได้ล่ะว่า มันเป็นกลยุทธ์ในการหลอกลูกค้าให้หันมาซื้อของๆพวกเขา














2.มีกระบวนการขั้นตอนที่ตรวจสอบได้


ส่วนใหญ่ทางบริษัทก็มักจะอธิบายสาธิตกระบวนการต่างๆให้ลูกค้ารับรู้ เกี่ยวกับขั้นตอนการผลิตกว่าจะเป็นสินค้าที่ให้ลูกค้าได้บริโภคกันจนถึงทุกวันนี้ แน่นอนว่าการทำแบบนี้ เพื่อเป็นการสร้างหลักประกันให้กับลูกค้าว่า ใช้สินค้าของเขาแล้ว รับรองว่ามีความปลอดภัย น่าเชื่อถือ เป็นการปลูกฝังแบรนด์เข้าไปในรากลึกสมองโดยที่คนส่วนใหญ่ไม่รู้ตัว จริงๆแล้วไม่ว่าจะมีกระบวนการขั้นตอนยังไงก็ตามแต่ ผลิตภัณฑ์นั้นก็ไม่ได้หมายความว่า จะมีความปลอดภัยเสมอไป














1.บริษัทมักจะตกแต่งราคาให้รู้สึกว่า สินค้านั้นมีราคาถูก


ไม่ได้หมายความว่าเป็นการลดราคาอะไรหรอก แต่เป็นราคาปกติเพื่อให้ลูกค้ารู้สึกว่า เป็นสินค้าที่มีราคาถูกกว่าเมื่อเทียบกับสินค้าทั่วไป พวกเราสังเกตได้เลยว่า บริษัทมักจะมีการปกปิดราคาต้นทุนที่แท้จริงเอาไว้ แต่จริงๆแล้วหากเราสินค้าอะไร ก็มักจะแฝงในเรื่องของการจ่ายค่าธรรมเนียม ภาษี หรือส่วนอื่นๆที่จะต้องจ่ายอีก ก็มีกรณีอีกตัวอย่างหนึ่ง อย่างเช่น หากซื้อผลิตภัณฑ์อย่างหนึ่ง ก็ต้องมาซื้อส่วนประกอบต่างๆเพิ่มเติมเข้ามา ซื้ออุปกรณ์ที่นั่นต่างหากก็มี โดยรวมแล้วก็ถือว่าราคาแพงอยู่เหมือนกัน


ผู้เขียน Mr.lawrence10

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่