สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 29
พวกที่เห็นด้วยเพราะคิดว่าสังคมจะมีความเท่าเทียมมากขึ้น คิดโลกสวยงามว่าภาษีจะได้เอาไปพัฒนาประเทศ คิดว่าฉันไม่เดือดร้อนเพราะฉันไม่มีทรัพย์สินอะไรเลยสะใจไอพวกคนรวยซวยแน่นอน ฯลฯ
.
คือพวกคุณละเมอเหรอครับ สังคมมันเคยมีความเท่าเทียมด้วยเหรอครับ กฎหมายมันก็แค่ใยแมงมุมที่ดักได้แต่แมลงอ่อนแอครับ คิดว่าพญาแร้งมันจะมาโดนใยแมงมุมรัดตายเหรอครับ
.
คุณคิดว่าพวกแลนด์ลอร์ดทั้งหลายจะยอมเสียภาษีแบบเต็มเม็ดเต็มหน่วยไม่หาทางซิกแซกเหรอครับ คิดว่าเขาจะปล่อยที่ดินเปล่า ๆ ที่กักไว้เก็งกำไรออกมาง่าย ๆ เหรอครับ วิธีหลบหลีกเอาตัวรอดมันมีเป็นล้าน ๆ วิธี เป็นต้นว่าเจียดเอาเศษเงินมาปลูกผักหญ้าอะไรเล็ก ๆ น้อย ๆ ลงไปให้จ่ายในเรทที่ต่ำลงก็จบ เอาเข้าบริษัททำบัญชีนู่นนี่ก็จบ หานอมินีโอนย้ายถ่ายเทก็จบ ติดต่อคอนเน็คชั่นในหน่วยงานต่าง ๆ มาไว้จัดการเรื่องและหาช่องโหว่ลอดออกมาก็จบ สรุปทุกอย่างจบได้ง่าย ๆ ด้วยการใช้อำนาจ เงินตรา และเส้นสาย ให้จ่ายลงน้อยกว่าเดิม หรือไม่ต้องจ่ายเลยด้วยซ้ำ
.
และด้วยความยาวสายป่านของพวกระดับแลนด์ลอร์ด คนที่จะกระอักเลือดทนพิษบาดแผลไม่ไหวก่อน คนที่จะเดือดร้อนคนแรก ก็คือคนชั้นกลางทั่ว ๆ ไปแน่นอน คนชั้นกลางที่ไม่สามารถจะใช้วิธีอะไรต่าง ๆ แบบที่ว่ามาด้านบนได้ด้วยข้อจำกัดทางการเงิน อำนาจ และเส้นสาย
.
คนชั้นกลางจะไม่สามารถจะมีชีวิตแบบปกติสุขได้อีกต่อไป บ้านตัวเองที่ใช้น้ำพักน้ำแรง หยาดเหงื่อหยดเลือดหามา อดทนทำงานมาค่อนชีวิตเพราะอยากใช้เวลาบั้นปลายสบาย ๆ กลับต้องมาถูกบีบให้จ่าย 'ค่าเช่าบ้านตัวเอง' แม้ว่าบางคนจะไม่ได้มีรายได้อะไรแล้วก็ตาม ชีวิตโคตะระโหดร้ายเลยครับ
.
บางคนซวยหน่อยเกิดมาในที่ย่านคนรวย มีบ้านก็จริง แต่รายได้น้อยนิด แต่ต้องจ่ายภาษีกันอ้วกแตก จนถึงเวลาจ่ายไม่ไหว ก็ต้องขายไป ทั้งที่เกิดมาไม่เคยคิดจะขาย ไอ้พวกคิดตื้น ๆ ก็พูดเป็นแผ่นเสียงตกร่องอยู่ได้ว่า ก็บ้านราคาตั้งยี่สิบล้าน จ่ายนิดหน่อยจะเป็นไรไป คือแบบ ใช้สมองคิดบ้างว่าเขาไม่ได้จะขาย ไม่ได้จะขาย ไม่ได้จะขายครับผมมมมมม มันคือทรัพย์สิน ไม่ใช่เงินสดครับที่มีเนี่ย ไม่มีเงิน แล้วก็ไม่ได้จะขาย เข้าใจป่าวว้าา
.
แล้วสมมติถ้าผมมีบ้านราคาประเมินยี่สิบล้านที่ตกทอดมาจากบรรพบุรุษ แต่ผมอยู่แบบพอเพียง ใช้ชีวิตแบบธรรมดา มีรายได้เดือนละหมื่นกว่าบาท สุดท้ายก็ต้องมาขายทิ้งให้นายทุนเพราะหาเงินมาจ่ายภาษีไม่ไหว เหมือนถูกบีบให้ขายทางอ้อม แบบนี้เหรอครับ ยังไงสุดท้ายนายทุนก็ได้กินรวบ อย่าแกล้งโง่(หรือโง่จริง?)กันเลย จะขี้อิจฉาก็ไปอิจฉาคนที่มันควรอิจฉาเถอะ
.
เรื่องภาษีจะได้เอาไปพัฒนาประเทศ หึหึ น่าจะไม่ต้องมีอะไรอธิบายกันมาก ถ้าเป็นมนุษย์ชาวสยามที่มีสติปัญญาระดับปกติและสติสัมปชัญญะครบถ้วน มีจริยธรรมในใจ มีหิริโอตตัปปะ มีอายุประมาณเลยวัยรุ่นมาแล้ว น่าจะแยกแยะผิดชอบชั่วดีได้ ไอพวกที่จะรีดเลือดเราไปเนี่ย ยังดูงานมั่วซั่วใช้งบเป็นน้ำอยู่เลย ยังจัดซื้อจัดจ้างส่วนต่างมากโขกันอยู่เลย ยังสั่งซื้อของที่ใช้จริงไม่ได้แต่ราคาแพงระยับอยู่เลย ประเทศนี้น่ะ ใครก็ตรวจสอบไม่ได้ด้วย อย่าคิดให้มันตื้นมาก ตื้นเขินเกินไปนะ โลกสวยทุ่งลาเวนเดอร์สุดลูกหูลูกตาเลย ถ้าจ่ายแล้วมันได้แบบประเทศที่เขาพัฒนาแล้ว ใครก็คงเต็มใจจ่ายทั้งนั้นแหละ แต่จ่ายไปให้ปลิงประเทศสูบเนี่ย มันไม่โอเคนะครับนะ
.
เหนื่อย สุดท้ายแล้ว เรื่องไอ้พวกชนชั้นไม่มีอะไรเป็นของตัวเองที่กำลังสะใจทั้งหลาย สนับสนุนจ้า คนรวยมันจะได้จนลงจ้า ตัวเองไม่เดือดร้อนอะไรจ้า คือย้อนกลับไปอ่านที่พิมพ์มาด้านบนนะ ว่าตกลงใครซวยกันแน่ ใช่ไอพวกแลนด์ลอร์ดทั้งหลายไหม หรือไอคนทั่วไปเรา ๆ ท่าน ๆ กินข้าวแกงเดินดินกันอยู่แถวนี้ ตัวผมเองก็ไม่ได้มีอะไรมาก่อนเหมือนกัน แต่มีสมอง มีมือมีเท้า โชคดีที่ภาระไม่หนักหนา พอดึงตัวเองขึ้นมาจากปลักลืมตาอ้าปากได้ ไม่ใช่นั่งอิจฉาชาวบ้านไปวัน ๆ
.
และจะบอกให้นะว่า ต่อจากชนชั้นกลาง พวกที่จะเละต่อไปก็คือพวกชนชั้นไม่มีอะไรนี่แหละ สั้น ๆ นะ ถ้ามันมี กม. แบบนี้ออกมา คิดว่าราคาที่ดินจะเป็นยังไงต่อไป แล้วคนที่ครอบครองได้มากที่สุดหลังจากนั้นจะเป็นใคร ก็ไม่ใช่ไอพวกแลนด์ลอร์ดหรอกหรือ แล้วพวกคุณที่บอกว่าตัวเองไม่มีอะไรน่ะ คิดว่าชีวิตนี้จะไม่มีอะไรขึ้นมาเลยใช่ไหม ไม่คิดว่าจะมีบ้านไว้ซุกหัวนอนสักหลังเลยหรือ แล้วคิดไหมว่าพอถึงเวลานั้นแล้วคนระดับกลางล่างลงมาจะมีปัญญาไปซื้อที่ดินแถวไหนได้ ป่านนั้นคงปั่นราคากันสุดกู่ไปแล้ว เผลอ ๆ อาจจะต้องอยู่รวมกันเป็นสลัมด้วยซ้ำ
.
ก็ลองคิดดูนะ ถ้า กม. มันบังคับใช้ได้กับทุกคนแบบเท่าเทียม สังคมมันคงไม่เป็นอย่างทุกวันนัหรอก อย่าโลกสวยกันให้มาก มองความเป็นจริงกันหน่อยครับผมเจ้านายยย
.
คือพวกคุณละเมอเหรอครับ สังคมมันเคยมีความเท่าเทียมด้วยเหรอครับ กฎหมายมันก็แค่ใยแมงมุมที่ดักได้แต่แมลงอ่อนแอครับ คิดว่าพญาแร้งมันจะมาโดนใยแมงมุมรัดตายเหรอครับ
.
คุณคิดว่าพวกแลนด์ลอร์ดทั้งหลายจะยอมเสียภาษีแบบเต็มเม็ดเต็มหน่วยไม่หาทางซิกแซกเหรอครับ คิดว่าเขาจะปล่อยที่ดินเปล่า ๆ ที่กักไว้เก็งกำไรออกมาง่าย ๆ เหรอครับ วิธีหลบหลีกเอาตัวรอดมันมีเป็นล้าน ๆ วิธี เป็นต้นว่าเจียดเอาเศษเงินมาปลูกผักหญ้าอะไรเล็ก ๆ น้อย ๆ ลงไปให้จ่ายในเรทที่ต่ำลงก็จบ เอาเข้าบริษัททำบัญชีนู่นนี่ก็จบ หานอมินีโอนย้ายถ่ายเทก็จบ ติดต่อคอนเน็คชั่นในหน่วยงานต่าง ๆ มาไว้จัดการเรื่องและหาช่องโหว่ลอดออกมาก็จบ สรุปทุกอย่างจบได้ง่าย ๆ ด้วยการใช้อำนาจ เงินตรา และเส้นสาย ให้จ่ายลงน้อยกว่าเดิม หรือไม่ต้องจ่ายเลยด้วยซ้ำ
.
และด้วยความยาวสายป่านของพวกระดับแลนด์ลอร์ด คนที่จะกระอักเลือดทนพิษบาดแผลไม่ไหวก่อน คนที่จะเดือดร้อนคนแรก ก็คือคนชั้นกลางทั่ว ๆ ไปแน่นอน คนชั้นกลางที่ไม่สามารถจะใช้วิธีอะไรต่าง ๆ แบบที่ว่ามาด้านบนได้ด้วยข้อจำกัดทางการเงิน อำนาจ และเส้นสาย
.
คนชั้นกลางจะไม่สามารถจะมีชีวิตแบบปกติสุขได้อีกต่อไป บ้านตัวเองที่ใช้น้ำพักน้ำแรง หยาดเหงื่อหยดเลือดหามา อดทนทำงานมาค่อนชีวิตเพราะอยากใช้เวลาบั้นปลายสบาย ๆ กลับต้องมาถูกบีบให้จ่าย 'ค่าเช่าบ้านตัวเอง' แม้ว่าบางคนจะไม่ได้มีรายได้อะไรแล้วก็ตาม ชีวิตโคตะระโหดร้ายเลยครับ
.
บางคนซวยหน่อยเกิดมาในที่ย่านคนรวย มีบ้านก็จริง แต่รายได้น้อยนิด แต่ต้องจ่ายภาษีกันอ้วกแตก จนถึงเวลาจ่ายไม่ไหว ก็ต้องขายไป ทั้งที่เกิดมาไม่เคยคิดจะขาย ไอ้พวกคิดตื้น ๆ ก็พูดเป็นแผ่นเสียงตกร่องอยู่ได้ว่า ก็บ้านราคาตั้งยี่สิบล้าน จ่ายนิดหน่อยจะเป็นไรไป คือแบบ ใช้สมองคิดบ้างว่าเขาไม่ได้จะขาย ไม่ได้จะขาย ไม่ได้จะขายครับผมมมมมม มันคือทรัพย์สิน ไม่ใช่เงินสดครับที่มีเนี่ย ไม่มีเงิน แล้วก็ไม่ได้จะขาย เข้าใจป่าวว้าา
.
แล้วสมมติถ้าผมมีบ้านราคาประเมินยี่สิบล้านที่ตกทอดมาจากบรรพบุรุษ แต่ผมอยู่แบบพอเพียง ใช้ชีวิตแบบธรรมดา มีรายได้เดือนละหมื่นกว่าบาท สุดท้ายก็ต้องมาขายทิ้งให้นายทุนเพราะหาเงินมาจ่ายภาษีไม่ไหว เหมือนถูกบีบให้ขายทางอ้อม แบบนี้เหรอครับ ยังไงสุดท้ายนายทุนก็ได้กินรวบ อย่าแกล้งโง่(หรือโง่จริง?)กันเลย จะขี้อิจฉาก็ไปอิจฉาคนที่มันควรอิจฉาเถอะ
.
เรื่องภาษีจะได้เอาไปพัฒนาประเทศ หึหึ น่าจะไม่ต้องมีอะไรอธิบายกันมาก ถ้าเป็นมนุษย์ชาวสยามที่มีสติปัญญาระดับปกติและสติสัมปชัญญะครบถ้วน มีจริยธรรมในใจ มีหิริโอตตัปปะ มีอายุประมาณเลยวัยรุ่นมาแล้ว น่าจะแยกแยะผิดชอบชั่วดีได้ ไอพวกที่จะรีดเลือดเราไปเนี่ย ยังดูงานมั่วซั่วใช้งบเป็นน้ำอยู่เลย ยังจัดซื้อจัดจ้างส่วนต่างมากโขกันอยู่เลย ยังสั่งซื้อของที่ใช้จริงไม่ได้แต่ราคาแพงระยับอยู่เลย ประเทศนี้น่ะ ใครก็ตรวจสอบไม่ได้ด้วย อย่าคิดให้มันตื้นมาก ตื้นเขินเกินไปนะ โลกสวยทุ่งลาเวนเดอร์สุดลูกหูลูกตาเลย ถ้าจ่ายแล้วมันได้แบบประเทศที่เขาพัฒนาแล้ว ใครก็คงเต็มใจจ่ายทั้งนั้นแหละ แต่จ่ายไปให้ปลิงประเทศสูบเนี่ย มันไม่โอเคนะครับนะ
.
เหนื่อย สุดท้ายแล้ว เรื่องไอ้พวกชนชั้นไม่มีอะไรเป็นของตัวเองที่กำลังสะใจทั้งหลาย สนับสนุนจ้า คนรวยมันจะได้จนลงจ้า ตัวเองไม่เดือดร้อนอะไรจ้า คือย้อนกลับไปอ่านที่พิมพ์มาด้านบนนะ ว่าตกลงใครซวยกันแน่ ใช่ไอพวกแลนด์ลอร์ดทั้งหลายไหม หรือไอคนทั่วไปเรา ๆ ท่าน ๆ กินข้าวแกงเดินดินกันอยู่แถวนี้ ตัวผมเองก็ไม่ได้มีอะไรมาก่อนเหมือนกัน แต่มีสมอง มีมือมีเท้า โชคดีที่ภาระไม่หนักหนา พอดึงตัวเองขึ้นมาจากปลักลืมตาอ้าปากได้ ไม่ใช่นั่งอิจฉาชาวบ้านไปวัน ๆ
.
และจะบอกให้นะว่า ต่อจากชนชั้นกลาง พวกที่จะเละต่อไปก็คือพวกชนชั้นไม่มีอะไรนี่แหละ สั้น ๆ นะ ถ้ามันมี กม. แบบนี้ออกมา คิดว่าราคาที่ดินจะเป็นยังไงต่อไป แล้วคนที่ครอบครองได้มากที่สุดหลังจากนั้นจะเป็นใคร ก็ไม่ใช่ไอพวกแลนด์ลอร์ดหรอกหรือ แล้วพวกคุณที่บอกว่าตัวเองไม่มีอะไรน่ะ คิดว่าชีวิตนี้จะไม่มีอะไรขึ้นมาเลยใช่ไหม ไม่คิดว่าจะมีบ้านไว้ซุกหัวนอนสักหลังเลยหรือ แล้วคิดไหมว่าพอถึงเวลานั้นแล้วคนระดับกลางล่างลงมาจะมีปัญญาไปซื้อที่ดินแถวไหนได้ ป่านนั้นคงปั่นราคากันสุดกู่ไปแล้ว เผลอ ๆ อาจจะต้องอยู่รวมกันเป็นสลัมด้วยซ้ำ
.
ก็ลองคิดดูนะ ถ้า กม. มันบังคับใช้ได้กับทุกคนแบบเท่าเทียม สังคมมันคงไม่เป็นอย่างทุกวันนัหรอก อย่าโลกสวยกันให้มาก มองความเป็นจริงกันหน่อยครับผมเจ้านายยย
ความคิดเห็นที่ 1
เฮ้อออ
ผมสนับสนุนครับ
ผมอยากได้ชีวิตดีๆ คุณภาพชีวิตดีๆ ผมผิดไหมครับ
ผมไปเมืองนอกมาครับ โห อิจฉาสุดๆ
เมืองนอก
โรงพยาบาลบ้านนอก มีเครื่อง MRI บ้านเรา เครื่อง xray
มี ฮอ มารับคนเจ็บ
ถนนไม่เป็นหลุมเป็นบ่อ
อื่นๆมากมาย
คุณภาพชีวิตดีสุดๆ
แล้วบ้านเราล่ะครับ
เพราะอะไร เพราะเก็บเงินได้น้อย ภาษีต่ำ
vat ถูก
ภาษีที่ดิน ภาษีมรดก (แทบไม่มี)
ภาษีเงินได้ (ต่ำ)
แล้วรัฐบาลจะเอาเงินที่ไหนไปพัฒนาประเทศครับ ภาษีไม่อยากจ่ายกันเลยแต่ละคน
เก็บกันวันนี้ ค่อยๆขึ้น ค่อยๆพัฒนา
ลูกหลานเราก็จะได้มีคุณภาพชีวิตดีๆ
วันนี้ไม่ทำ เมื่อไหร่ประเทศจะได้พัฒนา
งดการเมือง
เดี๋ยวก็มาบอกว่า รัฐบาลหาเงินไม่เก่ง นู่นนี่นั่น / รัฐบาลอื่นๆหาเงินเก่งภาษียังสูงเลยครับ
รัฐบาล .... นั่นนี่นู่น / ออกกฏหมายมา ทำกันต่อยาวๆ ทุกรัฐบาลก็จะเก็บส่งต่อกันไป
ทุกวันนี้ เราเอาแต่เรียกร้องจากบ้านเมือง จากประเทศ คุณเสียสละอะไรให้ประเทศกันบ้างครับ
ผมสนับสนุนครับ
ผมอยากได้ชีวิตดีๆ คุณภาพชีวิตดีๆ ผมผิดไหมครับ
ผมไปเมืองนอกมาครับ โห อิจฉาสุดๆ
เมืองนอก
โรงพยาบาลบ้านนอก มีเครื่อง MRI บ้านเรา เครื่อง xray
มี ฮอ มารับคนเจ็บ
ถนนไม่เป็นหลุมเป็นบ่อ
อื่นๆมากมาย
คุณภาพชีวิตดีสุดๆ
แล้วบ้านเราล่ะครับ
เพราะอะไร เพราะเก็บเงินได้น้อย ภาษีต่ำ
vat ถูก
ภาษีที่ดิน ภาษีมรดก (แทบไม่มี)
ภาษีเงินได้ (ต่ำ)
แล้วรัฐบาลจะเอาเงินที่ไหนไปพัฒนาประเทศครับ ภาษีไม่อยากจ่ายกันเลยแต่ละคน
เก็บกันวันนี้ ค่อยๆขึ้น ค่อยๆพัฒนา
ลูกหลานเราก็จะได้มีคุณภาพชีวิตดีๆ
วันนี้ไม่ทำ เมื่อไหร่ประเทศจะได้พัฒนา
งดการเมือง
เดี๋ยวก็มาบอกว่า รัฐบาลหาเงินไม่เก่ง นู่นนี่นั่น / รัฐบาลอื่นๆหาเงินเก่งภาษียังสูงเลยครับ
รัฐบาล .... นั่นนี่นู่น / ออกกฏหมายมา ทำกันต่อยาวๆ ทุกรัฐบาลก็จะเก็บส่งต่อกันไป
ทุกวันนี้ เราเอาแต่เรียกร้องจากบ้านเมือง จากประเทศ คุณเสียสละอะไรให้ประเทศกันบ้างครับ
แสดงความคิดเห็น
[Loser Voice] ดูหนังเรื่อง "In Time" แล้วจะเข้าใจว่าทำไม "ภาษีบ้านทุกหลัง" จึงมีอันตรายมากกว่าผลดี?
[Loser Voice] ดูหนังเรื่อง "In Time" แล้วจะเข้าใจว่าทำไม "ภาษีบ้านทุกหลัง" จึงมีอันตรายมากกว่าผลดี?
.
.
By : TonyMao_NK51
E-Mail : tonymao_nk51@hotmail.com , tonymao.nk@gmail.com
Facebook Page : TonyMao_NK51
.
.
ในที่สุดมันก็กลับมาจนได้กับ "ภาษีบ้านทุกหลัง" ก็ไม่รู้เหมือนกันว่ารัฐบาลนี้ติดอกติดใจอะไรกับภาษีชนิดนี้นักหนา ตั้งแต่ขุนคลังคนก่อนอย่าง "สมหมาย ภาษี" พยายามจะดันให้ได้ ถึงขนาดกล้าประกาศแบบอหังการ์ว่าตราบใดที่ตัวเองยังเป็น รมว.คลัง จะไม่มีวันถอยแนวคิดนี้เด็ดขาด ทั้งที่ทั่วประเทศไม่ว่าเสื้อเหลือง เสื้อแดง พรรคการเมืองใหญ่ทั้ง 2 พรรค ไปยันนักวิชาการและเครือข่ายภาคประชาชนต่างออกมาคัดค้านกันทั้งนั้น เพราะนอกจากจะไม่ได้ช่วยลดความเหลื่อมล้ำแล้วยังจะเพิ่มช่องว่างระหว่างคนรวย-คนจนให้หนักขึ้นอีกต่างหาก
.
เข้าเรื่องกันดีกว่า ทำไมผมถึงแนะนำให้ชมภาพยนตร์ แถมยังเป็นหนังฝรั่งอีกต่างหาก อันนี้ต้องบอกว่าผมชอบแนวคิดของหนังเรื่องนี้เลย In Time (ชื่อไทย “ล่าเวลาสุดนรก” ) หนังปี 2011 เข้าฉายช่วงเดียวกับที่ประเทศไทยเจอวิกฤติน้ำท่วมใหญ่ เรื่องราวของหนังเรื่องนี้ว่าด้วยโลกอนาคตที่มนุษย์ถูกตัดต่อพันธุกรรมให้มีอายุแค่ 25 ปี จากนั้นใครที่อยากมีชีวิตอยู่ต่อ ก็จะต้องทำทุกอย่างเพื่อหา “เวลา” มาเติม ทุกกิจกรรมของมนุษย์ในเรื่อง ใช้ “เวลา” ในการจับจ่ายแทน “เงิน” เช่น ในโลกที่เราๆ ท่านๆ อยู่กันนั้น กินข้าวมื้อละ 40 บาท แต่ในหนังเรื่องนี้ กินข้าว 1 มื้อ อาจจะจ่ายเป็นเวลา 10 นาที หรือในโลกของเรา ค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาทต่อวัน แต่ในหนัง ค่าแรงอาจจะจ่ายเป็นเวลา 2 วัน อะไรประมาณนี้ครับ
.
หนังเล่าผ่านมามุมมองของตัวเอกอย่าง Will Salas ( Justin Timberlake สกินเฮดอย่างเท่ ผมเป็นชายแท้ยังมองว่าหล่อเลย คริๆ ) ที่เกิดและเติบโตมาในถิ่นคนยากจน ทำงานในโรงงานแลกเวลาเพื่อให้มีชีวิตอยู่ไปวันๆ หนึ่ง ทุกวินาทีมีค่า และแต่ละวันจะมีคนที่ “เวลาหมด” ล้มตายลงทั้งยืนให้เขาเห็นต่อหน้าต่อตาจนชิน กระทั่งชายคนหนึ่งที่มีเวลาสำรองติดตัวไว้ถึง 130 ปี อยู่ดีๆ เกิดเบื่อโลก มาเจอพระเอก แล้วก็ยกเวลาทั้งหมดให้กับพระเอกของเรา ก่อนจะไปฆ่าตัวตายเอาเสียดื้อๆ อย่างนั้น การเดินทางของพระเอกเราไปยังย่านคนรวยเริ่มจากตรงนี้แหละครับ ตามมาด้วยการถูกตามล่าทั้งจากผู้ดูแลเวลา “Time Keeper” (เทียบกับตำรวจในโลกของเราๆ ท่านๆ ) ทั้งจากกลุ่มมาเฟีย กระทั่งพระเอกเราตัดสินใจทำตัวเป็นโรบินฮู้ด ปล้นเวลาที่เก็บไว้ในธนาคารหรือเซฟของคนรวยมาแจกคนจนเสียเลย
.
บรรยากาศในหนังพยายามทำให้เห็นถึง “ความแตกต่างอย่างสุดขั้ว” อย่างชัดเจน ในเขตคนจนที่พระเอกอยู่ ทุกคนต้องรีบเร่งหาเวลามาเติม การช้าแม้ไม่กี่วินาทีคือการเสียเวลาไปอย่างสูญเปล่าเพราะนาฬิกาบนข้อมือมันก็นับถอยหลังไปเรื่อยๆ ตรงข้ามกับเขตคนรวยที่นางเอก Sylvia Weis (Amanda Seyfried) อยู่นั้น ทุกคนใช้ชีวิตกันแบบช้าๆ เนิบๆ Slow Life กันแบบสุดๆ
.
ประโยคที่นางเอกถามพระเอกว่า “จะรีบไปทำไม?” มันสะท้อนความแตกต่างของผู้คนในเรื่องได้ชัดเจนที่สุด พวกคนรวยมีเวลาสำรองเป็นพันปี หมื่นปี แสนปี หรือพ่อของนางเอกที่เป็นนายทุนอุตสาหกรรมยักษ์ใหญ่สะสมเวลาไว้เป็นล้านๆ ปี กินๆ นอนๆ ชิลๆ สบาย ส่วนคนจนต้องคิดเผื่อตลอดว่าจะใช้แต่ละวินาทีที่นับถอยหลังไปเรื่อยๆ อย่างไร ท่ามกลางราคาสินค้าและบริการต่างๆ ที่เพิ่มขึ้น ( ฉากที่พระเอกวิ่งไปหาแม่ คงเป็นฉากที่สะเทือนใจใครหลายคนครับ )
.
หันกลับมายังโลกแห่งความจริงที่เราๆ ท่านๆ อยู่ แม้เราจะอยู่ในยุคทุนนิยมที่ทุกคนทำงานแลกเงินมาจับจ่ายใช้สอย แต่เรายังมี “ทางเลือก” ในการใช้ชีวิตที่หลากหลาย ใครทะเยอทะยาน อยากร่ำอยากรวย ก็หาเงินมากๆ กันไป แต่ใครที่อยากพอเพียง ขอแค่ไม่เป็นหนี้สิน มีเงินเก็บบ้างเล็กๆ น้อยๆ ก็ยังพอทำได้ เพราะอย่างน้อยก็มี “บ้าน” ไว้ให้ซุกหัวนอน แต่หากเก็บภาษีบ้านทุกหลังเมื่อไร จะไม่มีใครสามารถใช้ชีวิตอย่างพอเพียงได้อีก เพราะทุกคนจะถูกกระตุ้น กดดัน บังคับ ให้ต้องทำงานหนักขึ้น หาเงินให้ได้มากขึ้นเพื่อรักษา “ที่ซุกหัว” เอาไว้ หากไม่อยากกลายเป็นคนเร่ร่อนไม่มีบ้านอยู่
.
ผมยกตัวอย่างที่ดินหลายแห่งใน กทม. ผู้สนใจไปดูได้ที่นี่ http://www.prd.go.th/ewt_dl_link.php?nid=30174 หรือที่กระทู้ผมรวบรวมไว้ http://pantip.com/topic/33339378 นะครับ สมมตินาย A อยู่เยาวราชมาตั้งแต่รุ่นพ่อ มีบ้านพื้นที่แค่ 20 ตารางวา ( เรตทาวน์เฮาส์ ) ดูราคาประเมิน วันนี้เยาวราชที่ดินราคาตารางวาละ 700,000 บาท ก็เอา 700,000 คูณด้วย 20 เท่ากับที่ดินนาย A ราคาประมาณ 14,000,000 บาท ต้องจ่ายภาษีปีละ 18,900 บาท แต่ถ้ามีพื้นที่ 50 ตารางวา ( เรตบ้านเดี่ยว ) ก็เอา 700,000 คูณด้วย 50 เท่ากับที่ดินนาย A ราคาประมาณ 35,000,000 บาท ต้องจ่ายภาษีปีละ 63,900 บาท
.
หรือนาย B เกิดในย่านสะพานควาย มีบ้านพื้นที่แค่ 20 ตารางวา ( เรตทาวน์เฮาส์ ) ดูราคาประเมิน วันนี้ที่ดินถนนพหลโยธิน ช่วงอารีย์-สะพานควาย ตารางวาละ 300,000-350,000 บาท ก็เอา 300,000 หรือ 350,000 คูณด้วย 20 เท่ากับที่ดินนาย B ราคาประมาณ 6,000,000-7,000,000 บาท เท่ากับคุณต้องจ่ายภาษีปีละ 6,900 บาท แต่ถ้ามีพื้นที่ 50 ตารางวา ( เรตบ้านเดี่ยว ) ก็เอา 300,000 หรือ 350,000 คูณด้วย 50 เท่ากับที่ดินนาย B ราคาประมาณ 15,000,000-17,500,000 บาท เท่ากับนาย B ต้องจ่ายภาษีปีละ 18,900 บาท
.
ถ้านาย A กับนาย B เป็นแค่มนุษย์เงินเดือนธรรมดา เงินเดือนไม่กี่หมื่น หรือเปิดร้านค้าขายของเล็กๆ น้อยๆ และไม่มีที่ดินหรือบ้านในที่อื่นๆ อีก ถามว่านาย A กับนาย B เข้าข่ายตัวปัญหา เป็นคนรวยที่กักตุนที่ดินไว้เก็งกำไร จนต้องเอาภาษีไปบีบหรือเปล่า? ผมว่าผัมีสติปัญญาและมีใจที่เป็นธรรมทุกคนคงตอบได้
.
ลองจินตนาการถึงสังคมในโลกอนาคตนะครับ โลกที่มนุษย์ทุกคนจะเหมือนหนูถีบจักร หรือม้าเทียมรถที่มีสารถีคอยลงแส้ บังคับให้ต้องวิ่งไปเรื่อยๆ นั่นแหละคือสิ่งที่จะเกิดขึ้นหากเก็บภาษีบ้านทุกหลัง จะไม่มีใครสามารถพอเพียงได้อีกแล้ว ทุกคนต้องรีดเค้นพลังในตัว หาเงินให้ได้มากที่สุด ต้องมีอิสรภาพทางการเงินให้ได้ ต้องรวย ต้องเป็นเศรษฐีเท่านั้น เพื่อรับประกันว่าตนเองจะยังมีบ้านไว้ซุกหัวนอนไปจนวันตาย ไม่ต่างจากในหนังที่ผมยกตัวอย่าง ที่คนจะต้องทำทุกอย่างให้มีเวลามาต่ออายุชีวิต เพราะถ้านาฬิกานับถึง 0.00.00 เมื่อไหร่ ลมหายใจของคนคนนั้นก็หมดลง นั่นหมายถึงความตายมาเยือน
.
บางคนอาจจะบอกว่าไม่มีปัญญาจ่ายก็ย้ายไปสิ ตรงนี้ผมว่าคนที่พูดแบบนี้คงจะ “คิดตื้นๆ” ไปสักหน่อย อย่าลืมว่าผู้อยู่อาศัยในบ้านนั้นมี “ชีวิต” นะครับ หลายคนได้เรียนใกล้บ้าน หลายคนได้ทำงานใกล้บ้าน ประหยัดค่าใช้จ่าย มีเงินเก็บไม่เป็นหนี้สิน แต่ถ้าย้ายไป ผลคือจะต้องทำงานไกลบ้าน ไปเรียนไกลบ้าน ค่าใช้จ่ายแพงขึ้น หนี้ครัวเรือนก็เพิ่มขึ้นด้วย กลายเป็นการซ้ำเติมคนฐานะธรรมดาๆ ให้จนลง และทำให้คนที่จนอยู่แล้วจนหนักขึ้นไปอีก
.
ทุกครั้งที่ผมนั่งมอนิเตอร์ความคิดเห็นเรื่องภาษีบ้านทุกหลัง สิ่งที่พบอย่างหนึ่งคือจะต้องมีบางความเห็นที่เชื่อเหลือเกินว่าภาษีนี้จะทำให้คนมีที่ดินเยอะๆ ปล่อยที่ดินออกมา แล้วก็บอกว่าคนที่ต่อต้านภาษีนี้คือพวกที่เห็นแก่ตัว สะสมที่กลางเมืองไว้เยอะๆ แล้วปล่อยร้าง? ( ไม่รู้ลุงสมหมายปลอมตัวมาตอบหรือเปล่า จำได้ว่าแกก็บ่นทำนองนี้เหมือนกันว่าพวกคนที่ค้านเป็นพวกเห็นแก่ตัว ) ทั้งๆ ที่มีคนอธิบายไว้มากมายว่าคนที่ได้รับผลกระทบจริงๆ ไม่ใช่คนร่ำรวยหรือเจ้าที่ดินทั้งหลาย คือคนชั้นกลางและชั้นล่างที่มีบ้านไม่กี่สิบตารางวา แต่ดันอยู่ในที่ดินใจกลางเมือง หรือแม้แต่ชานเมือง หากวันใดถนนไปถึง รถไฟฟ้าไปถึง ราคาที่ดินก็พุ่งพรวดๆ เกินกว่ารายได้ประจำวันของพวกเขาจะจ่ายได้ ก็ต้องถูกไล่ที่ ถามว่ามันใช่ความผิดพวกเขาหรือไม่? เพราะถ้าอยากลดความเหลื่อมล้ำจริงๆ ต้องเอาปริมาณที่ดินเป็นตัวตั้ง ที่ดินเพื่ออยู่อาศัยห้ามเกินเท่าไร เพื่อการเกษตรห้ามเกินเท่าไร ส่วนที่เกินออกมาจึงเก็บภาษีหนักๆ ตรงนี้ต่างหากที่จะควบคุมไม่ให้คนถือครองที่ดินเกินความจำเป็นเพื่อกักตุนไว้เก็งกำไร
.
ฉะนั้นคนที่สนับสนุนภาษีบ้านทุกหลัง ถ้าไม่ใช่พวกที่ “คิดสั้น” มองอะไรไม่ลึกซึ้งอย่างที่บางคนตั้งข้อสังเกต ก็คงเป็นพวกที่ “ชั่วร้าย” รอกว้านซื้อบ้านที่พวกคนจน-คนชั้นกลางถูกบีบให้ขาย เพื่อนำไปทำอย่างอื่นที่ได้กำไรกว่า ตามสไตล์ทุนนิยมที่ไม่มีคุณธรรม ไม่สนว่าคนอื่นๆ ที่เป็นมนุษย์ด้วยกันจะมีคุณภาพชีวิตเป็นอย่างไร และนั่นคือเหตุผลว่าทำไมภาษีบ้านทุกหลังแบบนี้จึงมีอันตรายมากกว่าผลดี
.
แล้วพบกันใหม่..สวัสดิครับ!!!
ปล.ตัวอย่างหนัง ไปหาดูกันได้ หนัง Action ครับ ไม่ซับซ้อน เข้าใจง่าย