สศช.เปิดผลศึกษา การศึกษาความเหลื่อมล้ำในการถือครองที่ดินในประเทศไทย พบข้อมูลคนรวยถือครองที่ดินเฉลี่ย 81 ไร่ มูลค่าเฉลี่ย 35 ล้านต่อคน คนกรุงเทพฯ ไล่ซื้อที่ดินต่างจังหวัด
รายงานข่าวจากสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) แจ้งว่า ขณะนี้ สศช. ได้จัดประชุมการระดมความคิดเห็นผลการศึกษาสถานการณ์และบทบาทภาครัฐในการถือครองที่ดินเพื่อลดความเหลื่อมล้ำ เพื่อนำเสนอผลการศึกษา เรื่อง การศึกษาความเหลื่อมล้ำในการถือครองที่ดินในประเทศไทย และรับฟังข้อคิดเห็น รวมถึงข้อเสนอแนะเชิงนโยบายจากผู้ทรงคุณวุฒิ ผู้แทนจากหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน สถาบันการศึกษา และภาคประชาสังคม
น.ส.วรวรรณ พลิคามิน รองเลขาธิการ สศช. เปิดเผยว่า สถานการณ์ความเหลื่อมล้ำในการถือครองที่ดิน ซึ่งเป็นปัญหาเชิงโครงสร้างที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและสังคมของประเทศอย่างมีนัยสำคัญ และนำไปสู่การเกิดความไม่เป็นธรรมในการเข้าถึงทรัพยากรและเป็นอุปสรรคต่อการบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน
การประชุมเริ่มด้วยการนำเสนอผลการศึกษาและข้อค้นพบจากการศึกษาความเหลื่อมล้ำในการถือครองที่ดินในประเทศไทย โดยนายมนตรี ภูศรีโสม และนางสาวณัฐวรรณ ชูเฉลิม นักวิเคราะห์นโยบายและแผนปฏิบัติการ กองพัฒนาข้อมูลและตัวชี้วัดสังคม โดยมีขอบเขตการศึกษาเฉพาะ การถือครองโฉนดที่ดิน น.ส. 3 ก. และ น.ส. 3 ทั้งที่ถือโดยบุคคลธรรมดาและนิติบุคคล ซึ่งครอบคลุมขนาดพื้นที่ประมาณ 1 ใน 3 ของพื้นที่ทั้งหมดในประเทศไทย
ผลการศึกษา พบว่า ค่าสัมประสิทธิ์ความไม่เสมอภาคของการถือครองโฉนดที่ดินมีความเหลื่อมล้ำสูงสุด (Gini อยู่ที่ 0.7298) รองลงมาคือ น.ส. 3 ก. และ น.ส. 3 ซึ่งถือว่าอยู่ในระดับสูงมาก และหากเทียบกับความเหลื่อมล้ำด้านรายได้ ในปี 2566 อยู่ที่ 0.417 สูงกว่าเกือบสองเท่า
ขณะที่หากพิจารณาจากขนาดของที่ดิน กลุ่ม Decile 10 (ถือครองมากที่สุด) มีส่วนแบ่งการถือครองที่ดินสูงกว่ากลุ่ม Decile 1 (ถือครองน้อยที่สุด) อยู่ที่ 710 เท่า และหากพิจารณาจากมูลค่าการถือครองที่ดิน กลุ่ม Decile 10 สูงกว่า Decile 1 อยู่ที่ 348 เท่า
ทั้งนี้ กลุ่ม Top 1% มีส่วนแบ่งการถือครองที่วัดจากขนาดที่ดินสูงถึง 16.78% ของโฉนดที่ดินทั้งหมดในประเทศไทย และมีส่วนแบ่งการถือครองที่วัดจากมูลค่าสูงถึง 34.91% หากวิเคราะห์ในเชิงพื้นที่ ปริมณฑลและภาคตะวันออกมีความเหลื่อมล้ำการถือครองโฉนดที่ดินสูงสุด ส่วนเอกสารสิทธิประเภท น.ส. 3 ก. และ น.ส. 3 ภาคตะวันตกและภาคกลางมีความเหลื่อมล้ำสูงสุด ตามลำดับ
อสังหาฯ 68 ตลาดสองขั้ว คนรวยซื้อล้น คนไทยติดกับหนี้ครัวเรือน
พร้อมกันนี้ ยังพบว่า นิติบุคคลมีการกระจุกตัวของการถือครองมากกว่าบุคคลธรรมดาทั้งด้านขนาดพื้นที่และมูลค่า โดยเฉพาะพื้นที่เศรษฐกิจสำคัญ เช่น ภูเก็ต สมุทรปราการ ชลบุรี สำหรับข้อค้นพบสำคัญ พบว่า
1. การลงทุนข้ามถิ่น คนกรุงเทพฯ เข้าไปถือครองที่ดินในจังหวัดอื่น ๆ (ไม่รวม กรุงเทพฯ) สูงถึงร้อยละ 5 ของพื้นที่ประเทศไทย และจังหวัดที่คนนิยมไปลงทุนซื้อที่ดิน 3 จังหวัดแรก ได้แก่ ปทุมธานี นครนายก และสมุทรปราการ
2. คนกลุ่ม Top 1% หรือ กลุ่มคนรวย ถือครองที่ดินค่อนข้างสูง โดยมีที่ดินเฉพาะโฉนดที่ดินเฉลี่ย 81 ไร่ต่อคน และมูลค่าเฉลี่ย 35 ล้านบาทต่อคน
3. รูปแบบการถือครองที่ดินของคนกลุ่ม Top 1% มักถือครองที่ดินในจังหวัดที่อยู่ติดกับจังหวัดที่ตนเองอาศัยอยู่เป็นหลัก และจะลดจำนวนลงเมื่อที่ดินอยู่ห่างจากจังหวัดที่ตนเองอาศัย ยกเว้นในพื้นที่เศรษฐกิจหรือเมืองใหญ่บางแห่งที่คน Top1% มักไปซื้อที่ดินเก็บไว้เพื่อสะสมทุน
จากนั้นได้มีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในประเด็นแนวทางการวิเคราะห์และการขยายผลการศึกษาในอนาคต ดังนี้
1. การวิเคราะห์ลักษณะทางสังคมของผู้ถือครองที่ดิน ได้แก่ ความสามารถในการถือครอง (รายได้เฉลี่ย วิธีการได้มาของที่ดิน ฯลฯ) วัตถุประสงค์การถือครองเพื่อการอยู่อาศัยหรือการประกอบอาชีพ และช่วงอายุ (หรือ Generation) ที่ส่งผลต่อพฤติกรรมการถือครองที่ดิน
2. การวิเคราะห์เชื่อมโยงกับ “แผนที่ภาษี” ซึ่งจะทำให้เห็นภาพการใช้ประโยชน์ที่ดินรวมถึงอาคารและสิ่งปลูกสร้างในแต่ละพื้นที่
3. การขยายขอบเขตการศึกษาให้ครอบคลุมประชากรกลุ่มที่ไม่มีที่ดิน ตลอดจนที่ดินประเภทอื่น ๆ ซึ่งอาจรวมถึงการเข้าใช้ประโยชน์ในที่ดินของรัฐ
นอกจากนี้ ยังมีข้อเสนอแนะเรื่องการจัดทำนโยบายเพื่อเพิ่มโอกาสการเข้าถึงที่ดินของประชาชนผู้มีรายได้น้อย โดยควรมุ่งเน้นการปรับปรุงมาตรการภาครัฐให้สอดคล้องกับความต้องการของประชาชนที่แตกต่างกันในแต่ละพื้นที่ ทั้งในชนบทและในเขตเมือง ดังนี้
1. การเข้าถึงการใช้ประโยชน์ที่ดินของเอกชนที่มีความยืดหยุ่นและตอบสนองกับความต้องการของประชาชนผ่านภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่เหมาะสม โดยภาครัฐสามารถใช้มาตรการทางภาษีเพื่อดึงดูดให้เอกชนจัดสรรพื้นที่ให้ผู้มีรายได้น้อยได้เข้าใช้ประโยชน์ และนำไปใช้เป็นส่วนลดหย่อนภาษีได้
2. แนวคิดในการใช้ประโยชน์ที่ดินในแนวตั้ง โดยเฉพาะในเขตเมือง เช่น มาตรการจูงใจเจ้าของอาคารสูงให้จัดสรรพื้นที่ส่วนหนึ่งของอาคารเป็นศูนย์อาหารราคาประหยัดสำหรับผู้มีรายได้น้อยเพื่อแลกกับการลดหย่อนภาษี
3. การเข้าถึงการใช้ประโยชน์ที่ดินของรัฐ ผ่านการกำหนดคุณสมบัติและเงื่อนไขการใช้ประโยชน์ที่ชัดเจน ซึ่งเป็นการผ่อนคลายข้อจำกัดและอนุญาตให้ผู้มีรายได้น้อยสามารถเข้าใช้ประโยชน์ที่ดินที่ไม่ได้ใช้ในงานราชการได้
4. การสนับสนุนแนวทางการบริหารจัดการการใช้ประโยชน์ที่ดินของรัฐแบบกลุ่ม สหกรณ์ หรือชุมชน ซึ่งเป็นกลไกสำคัญที่ช่วยสร้างความเป็นธรรมและโอกาสที่เท่าเทียมกันในการเข้าถึงที่ดินและทรัพยากรของประเทศได้อย่างยั่งยืน
เปิดผลศึกษา คนรวยถือครองที่ดินเฉลี่ย คนละ 81 ไร่ มูลค่า 35 ล้าน