[Loser Voice] ภาษีบ้าน ( อีกสักครั้ง ) มองอีกแง่กันไหม? มันอาจจะดีก็ได้นะ

[Loser Voice] ภาษีบ้าน ( อีกสักครั้ง ) มองอีกแง่กันไหม? มันอาจจะดีก็ได้นะ
.
.
By : TonyMao_NK51
E-Mail : tonymao_nk51@hotmail.com
Facebook Page : TonyMao_NK51
.
สัปดาห์ก่อนเขียนเรื่องภาษีบ้านทุกหลังไป แต่ดูเหมือนค่อนข้างแผ่วเพราะสังคมไปสนใจกรณี “คนท้อง+สามีVSคุณป้าภริยาท่านนายพล” กันมากกว่า และขณะที่ผมเขียนคอลัมน์สัปดาห์นี้ก็ ยังคงมีข้อสังเกตของทั้ง 2 ฝ่ายเพิ่มมาไม่หยุดไม่หย่อน ซึ่งผมขอไม่พูดถึงละกัน กลัวจะเงิบกับเขาบ้าง ฉะนั้นขอฟังขออ่านเงียบๆ ดีกว่าครับ ห้าห้าห้า
.
กลับเข้าเรื่องครับ พูดถึงภาษีบ้านทุกหลังทีไร เสียงสะท้อนบนโซเชียลมีเดีย ไม่ว่าชุมชนออนไลน์ดังๆ อย่าง pantip.com ก็ดี หรือตามเพจต่างๆ ใน Facebook ก็ดี เป็นไปในทางต่อต้านเสียเยอะ ก็นะ..คิดไปได้ไง? บ้านทุกหลังต้องเสียภาษี คนเมืองโดยเฉพาะ กทม. ตายหมด ที่ดิน กทม. นี่แพงๆ กันทั้งนั้น ไม่กี่สิบตารางวาก็โดนภาษีหลักพันหลักหมื่นได้ นี่ปีหน้าก็จะประเมินราคากันใหม่อีกแล้ว แพลมๆ ว่าที่ไหนมีรถไฟฟ้าไปถึง ราคาอาจจะพุ่งแบบก้าวกระโดด    ยังไม่นับหัวเมืองใหญ่ๆ อีกหลายจังหวัด ตัวเมืองเริ่มเจริญใกล้เคียงกับ กทม. มีห้าง มีโรงหนังชั้นนำ ราคาที่ดินเลยพลอยก้าวกระโดดไปด้วย   ยังไงก็คงไม่รอดแน่ๆ ซึ่งประเด็นหนึ่งที่ผมเป็นห่วงมากๆ คือการ “ทำลายความคิดแบบพอเพียง” เช่น จากเดิมนาย A มีบ้านเล็กๆ แค่ 50 ตารางวา ในเขต กทม. ชั้นใน ถ้านาย A ไม่ต้องเสียภาษีบ้าน นาย A อาจจะมีความสุขกับการเปิดร้านอาหารตามสั่งเล็กๆ หรือพอใจกับการทำงานเงินเดือนหมื่นสองหมื่น พอเก็บพอกิน แค่ไม่เป็นหนี้ก็พอใจแล้ว รถยนต์ก็ไม่ต้องซื้อ อย่างมากอาจจะซื้อแค่มอเตอร์ไซค์มาใช้ เพราะ กทม. มีขนส่งมวลชนค่อนข้างครบถ้วน ชีวิตเรียบง่ายมีความสุข แต่วันดีคืนดีภาษีบ้านออกมา อ้าวคิดคำนวณแล้ว 50 ตารางวาของนาย A ราคามัน 5 ล้าน 10 ล้าน 20 ล้านนี่หว่า เรียบร้อยครับ ภาษีมาแล้ว ปีละหลายพันหลายหมื่น ครั้นจะย้ายไปชานเมืองหรือไปต่างจังหวัด ขนส่งมวลชนมันก็ไม่ดีแบบ กทม. ดังนั้นเอาวะ..ดิ้นรนทำทุกอย่างเลย ไม่พอเพียงมันแล้ว เรามีลูก มีเมียต้องดูแล ต้องรวย ต้องรวย ต้องมีอิสรภาพทางการเงิน หยุดไม่ได้ พักไม่ได้  ไม่งั้นเดี๋ยวจะลำบาก..ไม่มีแม้แต่ที่ซุกหัวนอน กลายเป็นคนเร่ร่อนกันไป เพราะย้ายวันนี้ วันหน้าความเจริญไปถึง ราคาที่ดินมันก็พุ่งไปอีก ก็ต้องย้ายอีก
.
อ่านแล้วเศร้าใช่ไหมครับ? ดราม่านาดูเลยนาย A เนี่ย จากคนธรรมดาๆ ตั้งใจว่าจะใช้ชีวิตเรียบง่าย แต่เจอกดดันบีบคั้นจากภาษีบ้านจนต้องดิ้นรนทำตัวเองให้ร่ำรวย คิดแผนสองแผนสามสารพัดเพื่อรับมือการถูกไล่ที่ แต่เดี๋ยวก่อน..มองอีกแง่หนึ่ง การที่คนส่วนใหญ่ในสังคมใช้ชีวิตแบบนี้ เอาจริงๆ มันอาจจะเป็นเรื่องดีก็ได้นะ
.
ดียังไงล่ะ? ถ้าท่านติดตามการถกเถียงเรื่องภาษีบ้านทุกหลังมาตลอด ตั้งแต่ยุคที่คุณสมหมาย ภาษี เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ฝ่ายที่สนับสนุนภาษีแบบนี้มักให้เหตุผลว่า “เพราะที่ดินทุกแปลงมีค่า ที่ดินทำเลดีๆ ปล่อยให้อยู่ในมือคนที่ไม่คู่ควรมันก็น่าเสียดาย” ซึ่งถ้ามองในแง่ตัวเลขทางเศรษฐกิจ มันก็ถูกของเขาเหมือนกัน แหม่..คิดดูสิครับ ที่ดินงามๆ ใจกลางเมือง เอามาสร้างห้างหรูๆ โรงแรมหรูๆ คอนโดหรูๆ บ้านจัดสรรหรูๆ แบบที่ฝรั่งเรียก “แมนชั่น” ( Mansion ในความหมายของฝรั่ง หมายถึง “คฤหาสน์” นะครับ หรูหราฝุดๆ ไม่ใช่ห้องเช่าบ้านๆ แบบที่คนไทยเรียกกัน ) ให้บรรดาคนชั้นกลางระดับสูง ไปจนถึงบรรดาไฮโซ เซเลป ตลอดจนนักท่องเที่ยวทั้งหลายที่กระเป๋าหนักอยู่อาศัยหรือใช้บริการกัน กำไรกระจาย และกำไรนี้สุดท้ายมันก็จะตกไปเป็นภาษีอากร เงินเข้าหลวงมากๆ สวัสดิการประเทศก็จะดี โอ้วว้าว..เรากำลังจะเป็นประเทศกำลังพัฒนาแล้ว เห็นไหมดีจะตาย ดีกว่าให้พวกคนชั้นกลางระดับล่าง หรือพวกรากหญ้าหาเช้ากินค่ำอยู่เสียอีก แบบว่าพวกนี้ไม่คู่ควรอะ..ที่ดินระดับไฮคลาส แต่ใช้แค่ปลูกบ้านหลังเล็กๆ ทำร้านอาหารตามสั่งราคาถูกๆ รายได้คนในบ้านก็น้อย ไม่เอาๆ โลว์คลาสจัง ใช้ที่ดินไม่คุ้มเลย ไป๊..ชิ่วๆ ไปอยู่นอกเมืองโน่น เอาที่ไปขายให้คนที่เขาคู่ควรซะ รับเงินแล้วรีบๆ ไปไกลๆ
.
“อ้าวเฮ้ย..ข้องหรอวะ? มองหน้าทำไม? ไม่พอใจ? เดี๋ยวปั๊ดเหนี่ยวเลย แหม่..ถ้าลื้อคิดว่าลื้อคู่ควรก็ช่วยแสดงให้ดูหน่อย ลองหาเงินให้ได้มากที่สุดจากที่ตรงนี้สิ ทำไม่ได้ก็ย้ายไปซะไอ่กระจอก ห้าห้าห้า” อะไรประมาณนี้แหละครับ
.
ท่านทราบไหมครับว่าคนเก่งๆ วิสัยทัศน์ดีๆ  เขามองคนไทยยังไง ก็อย่างที่คุณวิกรม กรมดิษฐ์ เจ้าพ่ออมตะนครเสียก่อน ชื่อเสียงคงไม่ต้องสาธยายนะครับรายนี้ เศรษฐีอันดับต้นๆ ของบ้านเรา คุณวิกรมเคยพูดถึง 10 จุดอ่อนของคนไทย ( ที่ต่อมาคนเอาไปลือผิดๆ ว่าญี่ปุ่นด่าคนไทยนั่นแหละ จริงๆ เป็นคำพูดของคุณวิกรมนะครับ ) มี 2 ข้อที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้เลย คือ 1.คนไทยส่วนใหญ่ไม่ค่อยวางแผนอนาคต มักทำงานไปวันๆ แก้ปัญหาเฉพาะหน้าไปวันๆ กับ 2.คนไทยไม่ค่อยเคร่งครัด ไม่ค่อยจริงจังกับงานที่ทำ ซึ่ง 2 ข้อนี้จะต่างจากคนญี่ปุ่นราวฟ้ากับเหว อย่างที่เราทราบกันว่าคนญี่ปุ่นคลั่งไคล้ความสมบูรณ์แบบของงานมากๆ แม้จะเป็นงานที่เล็กน้อยแค่ไหนก็ตาม การทำงานของเขาจึงใส่ใจสุดๆ ทุกรายละเอียด และนี่ไม่ใช่หนแรก เพราะถ้าย้อนไปยังสมัยอยุธยา ราชทูตฝรั่งเศสอย่างลาลูแบร์ ก็ยังกล่าวว่า “สติปัญญาอันฉับไวและเฉียบแหลมของชาวสยาม น่าจะเหมาะสำหรับเรียนวิชาคำนวณยิ่งกว่าศาสตร์อื่นๆ ถ้าเขาไม่ชิงเบื่อเสียเร็วนัก คนสยามมีนิสัยอ่อนโยน มีสัมมาคารวะ แต่ก็มีความโลภ เกียจคร้าน ไม่อยากรู้ไม่อยากเห็น” ( อ้างอิงจากหนังสือ “จดหมายเหตุลา ลูแบร์ ราชอาณาจักรสยาม” แปลโดย สันต์ ท. โกมลบุตร ) หรือเรื่องเล่าช่วงเสียกรุงศรีครั้งที่ 2 จากตุรแปง ( Turpin ) ชาวฝรั่งเศสอีกรายที่อยู่บนแผ่นดินสยาม กล่าวว่า แม้คนสยามจะมีข้อดีคือ “มีกิริยามารยาท อ่อนโยนสุภาพ มีเมตตา ซ่อนความรู้สึก ไม่ชอบพูดมาก มัธยัสถ์ ไม่ชอบหรูหราฟุ่มเฟือย ไม่เห็นแก่ตัว มีความรู้จักพอ ไม่ติดใจอยากได้สมบัติสิ่งของต่างๆ เหมือนคนยุโรป” แต่จุดอ่อนของชาวสยามคือ “เป็นคนเฉื่อยชาเกียจคร้าน อันแก้ไม่หาย ย่อท้อ ไม่ชอบทำอะไรที่ลำบากยากเย็น ไม่ชอบทำของยาก ไม่ยินดียินร้าย ไม่ลุกลี้ลุกลน ไม่ออกกำลังบริหารร่างกายเพราะทำให้เหน็ดเหนื่อย ชาวสยามเป็นศัตรูกับความเหน็ดเหนื่อย และความยากลำบาก ดูเหมือนจะมีชีวิตอยู่เพื่อจะกินและสืบเผ่าพันธุ์เท่านั้น” ( อ้างอิงข้อมูลจากเว็บไซต์ http://www.siamrecorder.com/h/h41.htm )


( มีต่อจ้า )

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่