-----------------------------------------------------------
บทที่ 2: แรกพบสบตา
มันใช่เรื่องมั้ยที่ฝนจะมาตกในวันนี้ตอนนี้ ตอนที่บ้านนอกอย่างฉันเดินทางเข้ากรุงเทพฯ! แล้วนี่อะไรมิเตอร์แท็กซี่ก็ขึ้นเอาๆ แถมรถก็ติดไม่มีวี่แววว่าจะขยับเขยื้อนเลยแม้แต่น้อย
“เอ่อ.. พี่คะ อีกนานมั้ยคะ กว่าจะถึงคอนโดxxx” ฉันตัดสินใจถามพี่คนขับแท็กซี่
“อีกไม่ไกลหรอกน้องใกล้ๆ เนี้ยแหละ”
“อ่อค่ะ” พี่คนขับพูดว่าไม่ไกลกับฉันมาเป็นรอบที่ 3 แล้ว (ฉันถามพี่เค้าเป็นระยะๆ อยู่ไหนก็ตอบใกล้แล้วๆ) ฉันจึงตัดสินใจแชทคุยกับเพื่อนของฉัน ‘ยัยเดียว’ ที่มาทำงานอยู่ในกรุงเทพฯ
เกี๊ยวกุ้ง:‘แกๆ ตอนนี้ฉันอยู่ ถนน xxx ว่ะ กำลังนั่งแท็กซี่จะไป คอนโดxxx ที่สถานีรถไฟฟ้าxxxx
มันไกลกันมากมั้ยว่ะ’
เดียว: ‘ไอ้บ้า! คนล่ะที่เลยทำไมแท็กซี่พาแกไปเส้นนั้นว่ะ เอางี้ตรงนั้นมันจะมีรถไฟฟ้า แกลอง
มองขึ้นไป’
เกี๊ยวกุ้ง:’เออๆ เห็นล่ะ แต่ฉันขึ้นไม่เป็นว่ะแก’
เดียว: โอ้ย! อินางขึ้นไปๆ แชทถามฉันเดี๋ยวบอกๆ ออกจากรถมาเดี๋ยวนี้’
เกี๊ยวกุ้ง:’โอเคๆ ขอบใจนะแกอย่าเพิ่งไปไหนนะแก’
ฉันเงยหน้ามองคนขับผ่านกระจกมองหลัง ซึ่งทำให้ได้สบตากับพี่คนขับแท็กซี่ที่เหมือนกับว่าจะมองขาฉันอยู่ โอ้ยตาย! ไม่น่าใส่กระโปรงมาเลย
“อ่ะแฮ่ม!” ฉันแกล้งไอออกมา คนขับรถจึงได้รีบหันออกไปทางนอกหน้าต่างตอนนั้นล่ะฉันค่อยๆ หยิบเงินออกมาตามจำนวนที่โชว์ตามมิเตอร์วางไว้ตรงที่วางเศษเหรียญที่ตรงกลางรถ ก่อนที่จะรีบเปิดประตู หิ้วกระเป๋าเดินทางใบจิ๋วของฉันออกมาด้วย และวิ่งฝ่าฝนออกไปที่บันไดรถไฟฟ้าอย่างรวดเร็ว ฉันได้ยินเสียงคนขับรถแท็กซี่ตะโกนตามหลังมา แต่ฉันไม่สนใจแล้ว ฉันรีบจ้ำวิ่งขึ้นบันไดรถไฟฟ้าจนสิ้นสุดบันไดขั้นสุดท้าย ดีนะว่าของในกระเป๋าฉันเอามาไม่มาก ในที่สุดแล้วฉันจึงเริ่มแชทหายัยเดียวอีกครั้ง
เกี๊ยวกุ้ง:’แกฉันมาแล้ววิ่งตากฝนมา ถึงรถไฟฟ้าด้านบนแล้ว’
เดียว: ‘ดีมากแก เอ้ย! แกฉันไปก่อนเจ้านายเรียกประชุมแหละแก’
เกี๊ยวกุ้ง:’ไม่นะแก อย่าเพิ่งไป ฉันจะทำยังไง’
เดียว: ‘ถามคนแถวนั้นไปก่อนๆ’
เกี๊ยวกุ้ง:’ไม่นะแกกกกกกกกกกกกกกกกกกก’
และแล้วยัยเดียวที่พึงคนเดียวของฉันก็ออฟไลน์ไป ฉันได้แต่มองเลิ่กลั่กไม่รู้ว่าควรเริ่มยังไงดี เอาว่ะไอ้คนที่อยู่ในตู้นั่นต้องช่วยให้คำตอบฉันได้บ้างล่ะน่า
“ขอโทษนะคะ พอดีจะไปคอนโดxxx ที่รถไฟฟ้าสถานีxxxx ไม่ทราบว่า…”
“ค่าตั๋ว 41 บาทค่ะ ให้คุณลูกค้านำเงินมาแลกเหรียญ แล้วหยอดเหรียญเลือกตามราคาที่ตู้ออกตั๋วทางนู่นได้เลยนะคะ แล้วเอ่อออ ไม่ทราบว่าคุณมีเสื้อคลุม หรืออะไรติดมามั้ยคะ พอดีเสื้อของคุณเปียกแล้ว...ค่อนข้างโป๊”
คุณพระ! ฉันก็ไม่ได้สังเกตตัวเองเลย ลืมไปว่าใส่เสื้อสีขาวมาโดนฝนทำให้เห็นไปถึงไหนต่อไหน ต่อไปจะเดินทางในกรุงเทพฯคงต้องพกร่ม ไม่ก็ใส่เสื้อคอเต่าสีดำแล้วล่ะมั้ง ฉันได้แต่จำใจยิ้มตอบกลับพนักงานในตู้กระจกนั้น แล้วแลกเงินมาหยอดเหรียญตามที่เค้าบอกเพื่อออกตั๋ว ซึ่งเมื่อได้ตั๋วแล้ว กว่าที่ฉันจะทำการสอดตั๋วแล้วขึ้นไปบนรถไฟฟ้าได้ก็ช่างยากลำบากเหลือเกิน นี่แค่เพิ่งเข้ากรุงเทพฯนะแค่นี้ฉันก็เซ็งจะแย่แล้ว แม่จ๋า~ ป๋า~ เกี๊ยวคิดถึงบ้าน
เมื่อฉันเดินขึ้นชาญชาลามาแล้วฉันได้แต่ก้มหน้าไม่ได้มองใครเลยด้วยความที่ต้องการจะห่อตัวเองไม่ให้ใครมองซาลาเปาน้อยๆ ของฉัน พร้อมกับเอาเป้มาสะพายไว้ที่ด้านหน้า เมื่อรถไฟวิ่งเข้ามาเทียบที่ชาญชาลา และประตูรถไฟฟ้าเปิดออก ฉันก็รีบเดินดุ่มๆเข้าไปทันที
“โอ้ย! คุณมองทางบ้างสิ” เสียงผู้ชายคนนึงดังขึ้น ก็ไม่ใช่อะไรนะคนก็เบียดฉันก้มหน้าหัวฉันดันไปกระแทกคางเค้าเข้าน่ะสิ
“ขอโทษค่ะ ไม่ได้ตั้งใจ”
“ก็เดินไม่ดูตาม้าตาเรืออ่ะนะ ก้มหน้าเดินงุดๆ อยู่ได้”
โว้ยผู้ชายปากมากจะทนไม่ไหวแล้วนะเว้ย ขอเงยหน้าด่าหน่อยเถอะ
“ก็….” พระเจ้าฉันพูดต่อไปไม่ได้ ผู้ชายบ้าอะไรหล่อชะมัด หน้าลูกครึ่ง ตาสีฟ้ากับผมสีน้ำตาล ที่รับกับหนวดเคราจางๆ ที่ระบายอยู่ตามกรอบหน้า จมูกโด่งคม มาพร้อมกับริมฝีปากบางชมพู ยังไม่รวมอกผาย และร่างที่ดูกำยำ โอ้ยอิแม่ใจบ่ดี อะไรจะยอดเยี่ยมขนาดนี้ ป๋าจ๋า แม่จ๋า เก็บหนูไว้ในบ้านตั้งนานทั้งๆ ที่ข้างนอกมีผู้ชายหล่อขนาดนี้เลยเหรอ
“คุณเหม่ออะไรเนี้ย อื้อหื้อ…”
ฉันได้สติทันทีที่หน้าหล่อๆ นั้นเปลี่ยนจากจากมองหน้าฉันมาเป็นพยายามที่จะมองทะลุเข้าไปที่เสื้อบางๆ ของฉันที่กำลังเปียกปอน และพร้อมที่จะโชว์ซาลาเปาของฉันตลอดเวลา
“นี่คุณเสียมารยาท คุยกับคนอื่นก็ควรมองหน้ากันมั้ย ไอ้โรคจิต!”
“นี่คุณน้อยๆ หน่อย ก็คนอะไรใส่เสื้อผ้ามาโชว์ซะขนาดนี้ น่าจะรู้นะว่านี่ช่วงหน้าฝน แต่คงจะอยากโชว์ เอาเป็นว่าผมก็จะดูให้เต็มสองตาเลยนี่ไง”
“ไอ้คนบ้า เสียมารยาท ไม่ต้องมอง หยุดเดี๋ยวนี้นะ ว้าย!” ด้วยความที่รถไฟฟ้าส่ายไปส่ายมา และคนก็เบียดเสียดเยอะแยะขนาดนี้ จะเกิดอะไรขึ้นได้ฉันก็จะร่วงน่ะสิ แต่เดี๋ยวนะ ฉันไม่ร่วงนิ อ้าย! ไอ้หล่อโรคจิตเค้าคว้าฉันไว้ ตอนนี้ฉันอยู่ในอ้อมแขนเค้า จะว่าเคลิ้มก็เคลิ้มนะแต่ฉันต้องรักษาความเป็นหญิงไทยใจงามของฉันเอาไว้
“ปล่อยเดี๋ยวนี้นะ”
“คุณนี่จะเอายังไง ผมกอดไว้กันคุณล้ม แล้วยังช่วยปิดหน้าอกคุณด้วย ยังไม่ขอบคุณผมสักคำแล้วยังจะมาปากดีอีก ลองมองไปที่ประตูรถไฟฟ้านั่นสิผู้ชายพวกนั้นมองคุณใหญ่แล้ว”
“แต่ฉันอยากจะออกไปจากตรงนี้”
“ก็รถไฟฟ้ามันเบียดซะขนาดนี้ คุณจะไปไหนได้ล่ะ”
เอ่อ… มันก็จริงนะ ฉันได้แต่เงียบปล่อยให้เค้ากอดตลอดทางจนถึงสถานีที่ฉันต้องลงสักที
“ปล่อย” ฉันพูดออกมาก่อนที่จะเดินออกจากขบวนรถคันนี้ทันทีที่รถไฟฟ้าจอดเทียบที่ชาญชาลา แต่ฉันว่านายนี่ไม่เข้าใจนะ เค้ายังคงเดินตามฉันมา ฉันจึงรีบเดินจ้ำไปที่เสียบตั๋วออกจากสถานี ว่าแต่ทำไมสอดบัตรไม่เข้าสักทีล่ะ
“นี่ยัยบ้านนอก เค้าเอาทางนี้เสียบตังหาก” ฉันไม่รู้ว่าเค้ามาอยู่ใกล้ฉันขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่เสียงบ่นปนขำเล็กๆ ของเค้าดังอยู่ที่ข้างหูฉันอย่างใกล้ชิด และจงใจ
“ฉันรู้หรอกน่า ก็แค่...รีบไปหน่อย จะทำอะไรน่ะ!” อิตานั่นยกกระเป๋าฉันขึ้นวางไว้ที่ฝั่งทางออกตรงที่สอดบัตร ฉันรีบสอดบัตร และลากกระเป๋าของฉันเดินตามทางไปที่บันไดทางลงที่เชื่อมไปยังคอนโดที่อยู่ติดกับรถไฟฟ้านั้น โดยที่นายนั่นยังคงเดินตามฉันอยู่ เอาล่ะจากประสบการณ์คนพวกนี้มันต้องบอกให้ชัดเจนไปเลย
“นี่คุณเลิกเดินตามฉันได้แล้ว” ฉันพูดทันทีที่เดินลงมาจนสุดท้างบันได
“หืม นี่คุณคิดว่าผมเดินตามคุณเหรอ”
“ก็ใช่น่ะสิ ตั้งแต่ฉันเดินลงจากสถานีมาคุณก็เดินตามฉันมาตลอด ฉันขอบคุณนะสำหรับความช่วยเหลือบนขบวนรถแต่เลิกตามฉันได้แล้ว”
“นี่คุณหลงตัวเองเกินไปแล้วมั้ง”
“ถ้าไม่ใช่ แล้วคุณเดินตามฉันมาทำไมล่ะ”
“ผมก็มีเหตุผลของผมเหมือนกันน่ะสิ” อิตาหน้าหล่อพูดพร้อมกับที่ก้าวเดินต้อนฉันจนติดประตูทางเข้าคอนโด และแล้วก็เหมือนสวรรค์เป็นใจช่วยฉัน ยามที่เฝ้าอยู่ตรงนั้นวิ่งเข้ามาพอดี อ้าย! ในที่สุดฉันก็จะรอดจากอิตาโรคจิตหน้าหล่อคนนี้
“คุณคะ ผู้ชายคนนี้…..”
“คุณพีทครับมีปัญหาอะไรรึเปล่าครับ” เอ๊ะเอ๊~ ฉันยังร้องเรียนคุณยามไม่ทันจบดี ยามที่เฝ้าหน้าประตูก็เข้าไปทักอิตาโรคจิตนี่อย่างสนิทสนม
“ไม่มีอะไรหรอกฉันกำลังเคลียร์กับคุณผู้หญิงคนนี้นิดหน่อย”
“คะ เคลียร์ เคลียร์ อะไร!”
“ก็จะบอกว่าฉันอยู่ที่นี่ ทำให้ต้องเดินตามทางมาทางนี้เหมือนกัน เธอจะได้เลิกหลงตัวเองสักที” อิตาโรคจิตพูดพลางเลิกคิ้วมองหน้าฉัน สรุปนี่ฉันเองที่หน้าแตกเหรอเนี้ยรีบชิ่งดีกว่า ขอให้วันนี้ไม่มีอะไรหน้าแตกไปมากกว่านี้แล้วนะ
“ฉันขอโทษ! งั้นฉันจะไปทำธุระของฉันแล้ว ลาก่อนล่ะ” ฉันรีบตัดบทแล้วรีบเอาตัวออกมาก่อนที่จะเดินเข้าไปตรงส่วนที่จัดตั้งโซฟา ที่อยู่กลางโถงคอนโดนั้น และต่อสายหาเจ้าของห้อง หรือรูมเมทของฉันทันที
“ติ๊ดๆๆ ๆ..” เสียงโทรศัพท์หมอนั่นก็ดังเหมือนกันแต่ฉันไม่สนใจล่ะ
“สวัสดีครับ”
“สวัสดีค่ะ ฉันคนที่จะมาเป็นรูมเมทของคุณตอนนี้อยู่ด้านล่างตรงส่วนโซฟาที่ห้องโถง แล้วนะคะ”
“ครับผมก็อยู่ชั้นล่างครับ”
“อ่อ คะรีบลงมาหน่อยนะคะ ฉันว่าฉันเจอโรคจิต” ฉันอยากรีบออกไปจากตรงนี้คงต้องขอเร่งเจ้าของห้องแล้วล่ะ ฉันตัดสินใจหันไปมองอิตาโรคจิตนั้นเพื่อเป็นการเช็คให้แน่ใจว่าไม่ได้ตามฉันมาอีก แต่ท่าทางเค้ากำลังคุยโทรศัพท์คงกำลังสนุกอยู่ เพราะจากสีหน้าดูขบขันมาก
“หึ! เหรอครับงั้นผมว่าผมเจอคุณแล้วล่ะ” อิตาเจ้าของห้องปลายสายที่ฉันคุยอยู่นี่ก็ขำขึ้นมาพอๆกับอิตาโรคจิตขำ ตอนนั้นเองฉันถึงได้เข้าใจอะไรหลายๆอย่าง
“เหรอค่ะ งั้น…” ฉันยังไม่ทันพูดจบอีตาโรคจิตก็เดินเข้ามาหาฉัน ซึ่งเค้าวางสายพร้อมกับที่เจ้าของห้องวางสายใส่ฉัน เช่นกัน แล้วอิตาโรคจิตก็พูดคำที่ฉันเซ็งที่สุดออกมา
“ผมนี่ไง รูมเมทคุณ” เอิ่ม.. ฉันว่าคงไม่มีอะไรหน้าแตกไปมากกว่านี้แล้วล่ะคุณผู้ชมมมมมมมม..
นิยายออนไลน์ รูมเมทร้ายกับยัยน่ารัก บทที่ 2
บทที่ 1 http://pantip.com/topic/34309672
บทที่ 2: แรกพบสบตา
มันใช่เรื่องมั้ยที่ฝนจะมาตกในวันนี้ตอนนี้ ตอนที่บ้านนอกอย่างฉันเดินทางเข้ากรุงเทพฯ! แล้วนี่อะไรมิเตอร์แท็กซี่ก็ขึ้นเอาๆ แถมรถก็ติดไม่มีวี่แววว่าจะขยับเขยื้อนเลยแม้แต่น้อย
“เอ่อ.. พี่คะ อีกนานมั้ยคะ กว่าจะถึงคอนโดxxx” ฉันตัดสินใจถามพี่คนขับแท็กซี่
“อีกไม่ไกลหรอกน้องใกล้ๆ เนี้ยแหละ”
“อ่อค่ะ” พี่คนขับพูดว่าไม่ไกลกับฉันมาเป็นรอบที่ 3 แล้ว (ฉันถามพี่เค้าเป็นระยะๆ อยู่ไหนก็ตอบใกล้แล้วๆ) ฉันจึงตัดสินใจแชทคุยกับเพื่อนของฉัน ‘ยัยเดียว’ ที่มาทำงานอยู่ในกรุงเทพฯ
เกี๊ยวกุ้ง:‘แกๆ ตอนนี้ฉันอยู่ ถนน xxx ว่ะ กำลังนั่งแท็กซี่จะไป คอนโดxxx ที่สถานีรถไฟฟ้าxxxx
มันไกลกันมากมั้ยว่ะ’
เดียว: ‘ไอ้บ้า! คนล่ะที่เลยทำไมแท็กซี่พาแกไปเส้นนั้นว่ะ เอางี้ตรงนั้นมันจะมีรถไฟฟ้า แกลอง
มองขึ้นไป’
เกี๊ยวกุ้ง:’เออๆ เห็นล่ะ แต่ฉันขึ้นไม่เป็นว่ะแก’
เดียว: โอ้ย! อินางขึ้นไปๆ แชทถามฉันเดี๋ยวบอกๆ ออกจากรถมาเดี๋ยวนี้’
เกี๊ยวกุ้ง:’โอเคๆ ขอบใจนะแกอย่าเพิ่งไปไหนนะแก’
ฉันเงยหน้ามองคนขับผ่านกระจกมองหลัง ซึ่งทำให้ได้สบตากับพี่คนขับแท็กซี่ที่เหมือนกับว่าจะมองขาฉันอยู่ โอ้ยตาย! ไม่น่าใส่กระโปรงมาเลย
“อ่ะแฮ่ม!” ฉันแกล้งไอออกมา คนขับรถจึงได้รีบหันออกไปทางนอกหน้าต่างตอนนั้นล่ะฉันค่อยๆ หยิบเงินออกมาตามจำนวนที่โชว์ตามมิเตอร์วางไว้ตรงที่วางเศษเหรียญที่ตรงกลางรถ ก่อนที่จะรีบเปิดประตู หิ้วกระเป๋าเดินทางใบจิ๋วของฉันออกมาด้วย และวิ่งฝ่าฝนออกไปที่บันไดรถไฟฟ้าอย่างรวดเร็ว ฉันได้ยินเสียงคนขับรถแท็กซี่ตะโกนตามหลังมา แต่ฉันไม่สนใจแล้ว ฉันรีบจ้ำวิ่งขึ้นบันไดรถไฟฟ้าจนสิ้นสุดบันไดขั้นสุดท้าย ดีนะว่าของในกระเป๋าฉันเอามาไม่มาก ในที่สุดแล้วฉันจึงเริ่มแชทหายัยเดียวอีกครั้ง
เกี๊ยวกุ้ง:’แกฉันมาแล้ววิ่งตากฝนมา ถึงรถไฟฟ้าด้านบนแล้ว’
เดียว: ‘ดีมากแก เอ้ย! แกฉันไปก่อนเจ้านายเรียกประชุมแหละแก’
เกี๊ยวกุ้ง:’ไม่นะแก อย่าเพิ่งไป ฉันจะทำยังไง’
เดียว: ‘ถามคนแถวนั้นไปก่อนๆ’
เกี๊ยวกุ้ง:’ไม่นะแกกกกกกกกกกกกกกกกกกก’
และแล้วยัยเดียวที่พึงคนเดียวของฉันก็ออฟไลน์ไป ฉันได้แต่มองเลิ่กลั่กไม่รู้ว่าควรเริ่มยังไงดี เอาว่ะไอ้คนที่อยู่ในตู้นั่นต้องช่วยให้คำตอบฉันได้บ้างล่ะน่า
“ขอโทษนะคะ พอดีจะไปคอนโดxxx ที่รถไฟฟ้าสถานีxxxx ไม่ทราบว่า…”
“ค่าตั๋ว 41 บาทค่ะ ให้คุณลูกค้านำเงินมาแลกเหรียญ แล้วหยอดเหรียญเลือกตามราคาที่ตู้ออกตั๋วทางนู่นได้เลยนะคะ แล้วเอ่อออ ไม่ทราบว่าคุณมีเสื้อคลุม หรืออะไรติดมามั้ยคะ พอดีเสื้อของคุณเปียกแล้ว...ค่อนข้างโป๊”
คุณพระ! ฉันก็ไม่ได้สังเกตตัวเองเลย ลืมไปว่าใส่เสื้อสีขาวมาโดนฝนทำให้เห็นไปถึงไหนต่อไหน ต่อไปจะเดินทางในกรุงเทพฯคงต้องพกร่ม ไม่ก็ใส่เสื้อคอเต่าสีดำแล้วล่ะมั้ง ฉันได้แต่จำใจยิ้มตอบกลับพนักงานในตู้กระจกนั้น แล้วแลกเงินมาหยอดเหรียญตามที่เค้าบอกเพื่อออกตั๋ว ซึ่งเมื่อได้ตั๋วแล้ว กว่าที่ฉันจะทำการสอดตั๋วแล้วขึ้นไปบนรถไฟฟ้าได้ก็ช่างยากลำบากเหลือเกิน นี่แค่เพิ่งเข้ากรุงเทพฯนะแค่นี้ฉันก็เซ็งจะแย่แล้ว แม่จ๋า~ ป๋า~ เกี๊ยวคิดถึงบ้าน
เมื่อฉันเดินขึ้นชาญชาลามาแล้วฉันได้แต่ก้มหน้าไม่ได้มองใครเลยด้วยความที่ต้องการจะห่อตัวเองไม่ให้ใครมองซาลาเปาน้อยๆ ของฉัน พร้อมกับเอาเป้มาสะพายไว้ที่ด้านหน้า เมื่อรถไฟวิ่งเข้ามาเทียบที่ชาญชาลา และประตูรถไฟฟ้าเปิดออก ฉันก็รีบเดินดุ่มๆเข้าไปทันที
“โอ้ย! คุณมองทางบ้างสิ” เสียงผู้ชายคนนึงดังขึ้น ก็ไม่ใช่อะไรนะคนก็เบียดฉันก้มหน้าหัวฉันดันไปกระแทกคางเค้าเข้าน่ะสิ
“ขอโทษค่ะ ไม่ได้ตั้งใจ”
“ก็เดินไม่ดูตาม้าตาเรืออ่ะนะ ก้มหน้าเดินงุดๆ อยู่ได้”
โว้ยผู้ชายปากมากจะทนไม่ไหวแล้วนะเว้ย ขอเงยหน้าด่าหน่อยเถอะ
“ก็….” พระเจ้าฉันพูดต่อไปไม่ได้ ผู้ชายบ้าอะไรหล่อชะมัด หน้าลูกครึ่ง ตาสีฟ้ากับผมสีน้ำตาล ที่รับกับหนวดเคราจางๆ ที่ระบายอยู่ตามกรอบหน้า จมูกโด่งคม มาพร้อมกับริมฝีปากบางชมพู ยังไม่รวมอกผาย และร่างที่ดูกำยำ โอ้ยอิแม่ใจบ่ดี อะไรจะยอดเยี่ยมขนาดนี้ ป๋าจ๋า แม่จ๋า เก็บหนูไว้ในบ้านตั้งนานทั้งๆ ที่ข้างนอกมีผู้ชายหล่อขนาดนี้เลยเหรอ
“คุณเหม่ออะไรเนี้ย อื้อหื้อ…”
ฉันได้สติทันทีที่หน้าหล่อๆ นั้นเปลี่ยนจากจากมองหน้าฉันมาเป็นพยายามที่จะมองทะลุเข้าไปที่เสื้อบางๆ ของฉันที่กำลังเปียกปอน และพร้อมที่จะโชว์ซาลาเปาของฉันตลอดเวลา
“นี่คุณเสียมารยาท คุยกับคนอื่นก็ควรมองหน้ากันมั้ย ไอ้โรคจิต!”
“นี่คุณน้อยๆ หน่อย ก็คนอะไรใส่เสื้อผ้ามาโชว์ซะขนาดนี้ น่าจะรู้นะว่านี่ช่วงหน้าฝน แต่คงจะอยากโชว์ เอาเป็นว่าผมก็จะดูให้เต็มสองตาเลยนี่ไง”
“ไอ้คนบ้า เสียมารยาท ไม่ต้องมอง หยุดเดี๋ยวนี้นะ ว้าย!” ด้วยความที่รถไฟฟ้าส่ายไปส่ายมา และคนก็เบียดเสียดเยอะแยะขนาดนี้ จะเกิดอะไรขึ้นได้ฉันก็จะร่วงน่ะสิ แต่เดี๋ยวนะ ฉันไม่ร่วงนิ อ้าย! ไอ้หล่อโรคจิตเค้าคว้าฉันไว้ ตอนนี้ฉันอยู่ในอ้อมแขนเค้า จะว่าเคลิ้มก็เคลิ้มนะแต่ฉันต้องรักษาความเป็นหญิงไทยใจงามของฉันเอาไว้
“ปล่อยเดี๋ยวนี้นะ”
“คุณนี่จะเอายังไง ผมกอดไว้กันคุณล้ม แล้วยังช่วยปิดหน้าอกคุณด้วย ยังไม่ขอบคุณผมสักคำแล้วยังจะมาปากดีอีก ลองมองไปที่ประตูรถไฟฟ้านั่นสิผู้ชายพวกนั้นมองคุณใหญ่แล้ว”
“แต่ฉันอยากจะออกไปจากตรงนี้”
“ก็รถไฟฟ้ามันเบียดซะขนาดนี้ คุณจะไปไหนได้ล่ะ”
เอ่อ… มันก็จริงนะ ฉันได้แต่เงียบปล่อยให้เค้ากอดตลอดทางจนถึงสถานีที่ฉันต้องลงสักที
“ปล่อย” ฉันพูดออกมาก่อนที่จะเดินออกจากขบวนรถคันนี้ทันทีที่รถไฟฟ้าจอดเทียบที่ชาญชาลา แต่ฉันว่านายนี่ไม่เข้าใจนะ เค้ายังคงเดินตามฉันมา ฉันจึงรีบเดินจ้ำไปที่เสียบตั๋วออกจากสถานี ว่าแต่ทำไมสอดบัตรไม่เข้าสักทีล่ะ
“นี่ยัยบ้านนอก เค้าเอาทางนี้เสียบตังหาก” ฉันไม่รู้ว่าเค้ามาอยู่ใกล้ฉันขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่เสียงบ่นปนขำเล็กๆ ของเค้าดังอยู่ที่ข้างหูฉันอย่างใกล้ชิด และจงใจ
“ฉันรู้หรอกน่า ก็แค่...รีบไปหน่อย จะทำอะไรน่ะ!” อิตานั่นยกกระเป๋าฉันขึ้นวางไว้ที่ฝั่งทางออกตรงที่สอดบัตร ฉันรีบสอดบัตร และลากกระเป๋าของฉันเดินตามทางไปที่บันไดทางลงที่เชื่อมไปยังคอนโดที่อยู่ติดกับรถไฟฟ้านั้น โดยที่นายนั่นยังคงเดินตามฉันอยู่ เอาล่ะจากประสบการณ์คนพวกนี้มันต้องบอกให้ชัดเจนไปเลย
“นี่คุณเลิกเดินตามฉันได้แล้ว” ฉันพูดทันทีที่เดินลงมาจนสุดท้างบันได
“หืม นี่คุณคิดว่าผมเดินตามคุณเหรอ”
“ก็ใช่น่ะสิ ตั้งแต่ฉันเดินลงจากสถานีมาคุณก็เดินตามฉันมาตลอด ฉันขอบคุณนะสำหรับความช่วยเหลือบนขบวนรถแต่เลิกตามฉันได้แล้ว”
“นี่คุณหลงตัวเองเกินไปแล้วมั้ง”
“ถ้าไม่ใช่ แล้วคุณเดินตามฉันมาทำไมล่ะ”
“ผมก็มีเหตุผลของผมเหมือนกันน่ะสิ” อิตาหน้าหล่อพูดพร้อมกับที่ก้าวเดินต้อนฉันจนติดประตูทางเข้าคอนโด และแล้วก็เหมือนสวรรค์เป็นใจช่วยฉัน ยามที่เฝ้าอยู่ตรงนั้นวิ่งเข้ามาพอดี อ้าย! ในที่สุดฉันก็จะรอดจากอิตาโรคจิตหน้าหล่อคนนี้
“คุณคะ ผู้ชายคนนี้…..”
“คุณพีทครับมีปัญหาอะไรรึเปล่าครับ” เอ๊ะเอ๊~ ฉันยังร้องเรียนคุณยามไม่ทันจบดี ยามที่เฝ้าหน้าประตูก็เข้าไปทักอิตาโรคจิตนี่อย่างสนิทสนม
“ไม่มีอะไรหรอกฉันกำลังเคลียร์กับคุณผู้หญิงคนนี้นิดหน่อย”
“คะ เคลียร์ เคลียร์ อะไร!”
“ก็จะบอกว่าฉันอยู่ที่นี่ ทำให้ต้องเดินตามทางมาทางนี้เหมือนกัน เธอจะได้เลิกหลงตัวเองสักที” อิตาโรคจิตพูดพลางเลิกคิ้วมองหน้าฉัน สรุปนี่ฉันเองที่หน้าแตกเหรอเนี้ยรีบชิ่งดีกว่า ขอให้วันนี้ไม่มีอะไรหน้าแตกไปมากกว่านี้แล้วนะ
“ฉันขอโทษ! งั้นฉันจะไปทำธุระของฉันแล้ว ลาก่อนล่ะ” ฉันรีบตัดบทแล้วรีบเอาตัวออกมาก่อนที่จะเดินเข้าไปตรงส่วนที่จัดตั้งโซฟา ที่อยู่กลางโถงคอนโดนั้น และต่อสายหาเจ้าของห้อง หรือรูมเมทของฉันทันที
“ติ๊ดๆๆ ๆ..” เสียงโทรศัพท์หมอนั่นก็ดังเหมือนกันแต่ฉันไม่สนใจล่ะ
“สวัสดีครับ”
“สวัสดีค่ะ ฉันคนที่จะมาเป็นรูมเมทของคุณตอนนี้อยู่ด้านล่างตรงส่วนโซฟาที่ห้องโถง แล้วนะคะ”
“ครับผมก็อยู่ชั้นล่างครับ”
“อ่อ คะรีบลงมาหน่อยนะคะ ฉันว่าฉันเจอโรคจิต” ฉันอยากรีบออกไปจากตรงนี้คงต้องขอเร่งเจ้าของห้องแล้วล่ะ ฉันตัดสินใจหันไปมองอิตาโรคจิตนั้นเพื่อเป็นการเช็คให้แน่ใจว่าไม่ได้ตามฉันมาอีก แต่ท่าทางเค้ากำลังคุยโทรศัพท์คงกำลังสนุกอยู่ เพราะจากสีหน้าดูขบขันมาก
“หึ! เหรอครับงั้นผมว่าผมเจอคุณแล้วล่ะ” อิตาเจ้าของห้องปลายสายที่ฉันคุยอยู่นี่ก็ขำขึ้นมาพอๆกับอิตาโรคจิตขำ ตอนนั้นเองฉันถึงได้เข้าใจอะไรหลายๆอย่าง
“เหรอค่ะ งั้น…” ฉันยังไม่ทันพูดจบอีตาโรคจิตก็เดินเข้ามาหาฉัน ซึ่งเค้าวางสายพร้อมกับที่เจ้าของห้องวางสายใส่ฉัน เช่นกัน แล้วอิตาโรคจิตก็พูดคำที่ฉันเซ็งที่สุดออกมา
“ผมนี่ไง รูมเมทคุณ” เอิ่ม.. ฉันว่าคงไม่มีอะไรหน้าแตกไปมากกว่านี้แล้วล่ะคุณผู้ชมมมมมมมม..