พ่อแม่เป็นห่วงลูกมากเกินไป หรือเปล่า

สมัยผม อายุ 14 ปี ผมจะไปเทียว บ้านเพื่อนก็ไม่ได้ นอน ค้างคืนไม่ได้ หรือ แม้แต่เทียว งานวัด งานประจำปี กลับดึกก็ไม่ได้ก่อน 4 ทุ่มแม่จะโทรตามให้กลับบ้านตลอด
ข้อห้ามที่ผมจำได้ มีเยอะมาก  กระทั่ง ชาวบ้านพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ลูก เป็นคนดี นะเนี่ย ไม่เทียวแตร่ เกเร  ติดสาว  เหล้าไม่ดื่ม บุหรีไม่สูบหรี เรียนโรงเรียนใกล้บ้าน (สาเหตุ ไม่อยากให้ไปไกลเป็นห่วง กลัวอันตราย เรียนที่ไหนก็เหมือนกัน) เรียนหนังสือแถวบ้าน ส่วนมาก สมัยนั้น เรียนแบบ งง  (ไม่ได้ว่าครูนะครับ) กิจกรรมมันเยอะ และผมเรียน ม ต้น งานกิจกรรมก็เยอะแถมเป็นตัวนักกีฬาโรงเรียนจึงไม่ได้ จับหนังสือมาอ่านเท่าไรนัก และ จบมัธยม ปีที่ 3  จะไปเรียนต่อ ปวช ก็ตกลงกับเพื่อนในห้อง 9 คน เรียนต่อที่ วิทยาลัยเกษตร , วิทยาลัยเทคนิค ที่เลือกไว้ 2 ที แม่ทราบข่าว บอกไกลเกินไปไม่มีใครช่วยพ่อทำนา ไปและกลับเถอะลูก  เรียน วิทยาลัยการอาชีพ ดีกว่าใกล้บ้านดี เรียนที่ไหนก็เหมือนกัน ผมก็ขัดใจไม่ได้ จึงจำใจ   จาก 9 คน เหลือ 4 คน เพราะ 5 คนติดต่อไม่ได้ไป สมัครเรียนต่อที่ วิทยาลัยเกษตร เรียบร้อย แต่ไม่มีใครไป วิทยาลัยเทคนิค  
ตกลงกับเพื่อน เรียน สายช่าง ยนต์ 4 คน แม่ก็ไม่ยอม บอกให้เรียนไฟฟ้า  ก็ตกลงกับเพื่อน แบ่งช่างละ 2 คน ไฟฟ้ากับ ช่างยนต์ โดยที่ไม่ถนัดกับ สายงานนี้  แล้ว ช่วงปิดเทอม อยากหางานทำ ประสบการณ์ แม่จึงบอกว่า อย่าเลย  ช่วยพ่อทำนา ช่วยยยตัดไม้  เนี่ยแหละ  แม่เป็นห่วง ลูกอยู่ไกล มันอัตราย  แล้วผมอายุได้ 20 ปี  เรียนจบ ปวส  ไฟฟ้า  วิทยาลัยการอาชีพ  เพื่อนผมก็ไม่เรียนต่อ แล้ว  จึงเหลือผมคนเดียว   ก็ ตัดสินใจ อยากหางานทำ ตจว ก็ ศึกษาหาข้อมูล และ ได้ทำงาน  พอสุดท้าย ไม่มีใครยอม ให้ไปทำงาน  

แม่บอกให้เรียนต่อ ปตรี ผมก็ ขัดใจไม่ได้ เพราะว่าคงเป็นความเคยชินที่ถูกสอนมาว่า เชื่อคุณบิดามารดา มีแต่เจริญ เชื่อฟังคำสั่ง มีดีจะดี   ตอนนั้นมีเพื่อนคนนึง พูดมาว่า  สหาย กูว่าอึดอัดใจ และสับสนนะ   กูถามจริงๆ  ว่า เคยตามใจตัวเองบ้างมั้ย   เคยมีความสุขบ้างมั้ยกับการที่ทำในสิ่งตัวเองชอบ  ผมก็ นั่งคิดอยู่นาน ก็บอกเพือนไปว่า ช่างเถอะ กูไม่เคยวะ  มีแต่ครอบครัวที่ ให้เดินไปทางไหน เรียนที่ไหนอยู่ที่แม่ แล้วผมก็หัวเราะ
ผมก็ตัดสินใจเรียนต่อ พอ ญาติพี่น้อง ทราบข่าว ผมจะเรียนต่อ  จึงให้ผมไปเรียนที่ กทม    แม่สั่งห้ามทันทีทันใด ว่าอย่า เลย ผมก็ ไม่เข้าใจเหมือนกัน  ห้ามตลอด     และสาเหตุที่แม่ห้ามคือ  กลัวมีเมีย   ติดเหล้า ติดหญิง  เรียนไม่จบ     ผมจึงบอกแม่ งั้นเรียนราชภัฏ ใกล้บ้าน  แม่ก็ไม่ยอม    จะให้เรียน เป็นครู แม่บอกเอาข้อมูลมาจาก คนแถวบ้าน เป็นครู มันดี นะรู้มั้ย  ดูอย่างคนข้างบ้านสิ  หมู่บ้านเรา เห็นมั้ยมีใครเป็นครูบ้าง  มีแค่ 2-3 คน ครั้งนั้น ผมก็ เถียง แม่    กระทั่ง แม่บอกว่า   มันดื้อ   มันร้าย  อยากเป็น ไอ้แม็ก หรอ   ดูเพื่อนสิ มีงานทำที่ไหนกันตอนนี้  
  
ผมก็ตัดสินใจเรียนต่อ ปตรี สายครูช่าง  ราชมงคลล้านนาแห่งหนึ่งก็ถูกห้ามจากแม่ ไม่ให้ทำงาน พาสทาม ระหว่างเรียน จบมาค่อยหางานทำ ผมจึงต้อง เรียนอย่างเดียวตอนนี้ผมก็ จะเรียนจบ ป. ตรี แล้ว แค่ยื่นเอกสาร เขียนคำร้องของจบที่ มหาลัยเพียง 20 วัน ผมก็จึงอยากหางานทำ หรือสอนหนังสือ ที่ ตจว แต่แม่ และยาย ไม่อยากให้ไปทำงาน ตจว แต่พ่อก็ไม่มีปัญหาอะไร ซึ้งแม่ให้เหตุผลว่า  ก็ไปสมัครงานแถวบ้าน  บริษัท เพื่อนพี่สาว แค่เขียนบิลใบเสร็จนับเช็คสต็อกของ  (แต่ผมจบวิศวกรรมไฟฟ้า ,หรือสายครูช่าง) ไม่ตรงกับสายงาน  ที่ไปสมัคร  แต่แม่ก็ยืนยันว่า  เขารับอยู่แล้วละ  (วันนั้นผมไปสมัครงานคนเดียว ไปเจอเอกสารการสมัครงานเยอะมากที่มีคนเข้ามา แต่ก็เป็นเรื่องปกติ แต่คนที่สัมภารณ์ผมบอกว่า รับ 1 ตำแหน่ง  ผมนี่ หดหู่เลย และ หลังจากนั้น แม่ก็ไม่ให้ไปสมัครงานไหน บอกให้รองานที่นี้ ผมเองก็ไมได้ขัดใจอะไร แม่  ส่วนยาย ก็บอกเหตุผลว่า ไม่มีใครช่วยงานยายเลย ตัดไม้ ทำนา และบอกอีกว่า น๊ะหรอ ทำงานที่ไหนได้  (ผมจำคำที่ยายพูดว่า  ต้องเอาใบปริญญามาฝากแม่  ไม่ใช่เอาเมียมาฝากแม่   อายชาวบ้านเค้า ) ผมก็ตอบกลับไปทันที   ใบปริญญา เป็นเพียงแค่ใปว่าจบอะไรมา แต่การมีงานทำต่างหากที่ภูมิใจ  
ในตอนนี้ผม อึกอัดใจ มาก ถูกบีบ ทั้งเรื่องแฟน ไม่อยากให้คบกัน   คือ  ผมอธิบายยังไงก็ ไม่ฟัง ตอนนี้ จะให้ผม บวชแบบไม่สึก บ้าง    จะให้ผมเป็น ทหาร   จะให้เป็นตำรวจ     ผมก็ถาม เพราะ อะไร      แม่ก็บอกมาเสียงเดียวกันว่า   มันดี      (ผมก็ย้อนถาม  ทำไมแม่ ไม่ลองให้ผมตัดสินใจบ้าง  นึกในใจตลอดเวลา ว่า  เราอยู่ในกรอบ ตั้งแต่สมัยยังเด็ก ถึงปัจจุบัน เรายังไม่โตพออีกหรอ   ) พิมพ์ไป น้ำตาไหล     ขอ แค่ กำลังใจหรือ คำชี้แนะด้วยครับ   ผมสัยสนมาก เลย    ว่านี่ คือ การเป็นห่วงใช้มั้ย
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่