.............หลังจากที่ได้พักมาห้าวันหลังผ่าตัด ก็พอมีแรงได้ขีดๆเขียนๆแก้เบื่อ เล่าเรื่องประสบการณ์ครั้งแรก แห่งความเจ็บปวดรวดร้าวของร่างกายร่างนี้
.............จากที่เราได้รับรู้แล้วว่า เราต้องเข้ารับการรักษาด้วยการผ่าตัด จิตใจก็ไม่เป็นปรกติแล้ว เครียด กลัวตายไม่กลัว แต่เป็นห่วงแม่ถ้าหากเราเป็นอะไรไป ก็คือมีห่วงนั่นแหละ แต่ก็อยากให้มันจบๆไป เร่งวันเร่งคืนให้ตรวจเลือดผ่าน พอหมอนัดวันก็ทำใจเลย เป็นไงเป็นกัน
..............วันแรกเราต้องไปนอนให้พยาบาลจัดการก่อน ทั้งล้างทุกสิ่งสรรพ ภายนอกภายใน ทุกท่อต่อมไตล้างเกลี้ยง คือให้ร่างกายสะอาดสุดๆ เสี่ยงต่อการติดเชื้อน้อยที่สุด จากนั้นอดอาหารและให้น้ำเกลือ นี่เป็นเรื่องใหญ่ของเรา การหิวแสบท้องและมีเข็มเบอร์ใหญ่สุดจิ้มอยู่ที่มือตลอดเวลา เคลื่อนไหวไปไหนก็มีสายโยงยางน่ารำคาญที่สุด แต่นี่ยังไม่เท่าไร ไม่รู้อะไรซะแล้วตัวเรา
...............วันต่อมาพอถึงเวลาห้องผ่าตัดโทรมาตามตัว นางพยาบาลก็ช่างเข้ามาถามว่าเราพร้อมไหม ถ้าไม่พร้อมจะทำอย่างไรเล่า ก็ต้องพร้อมสิน่า มีเตียงเข็นมารับหน้าห้อง ตอนที่เข็นไปนี่มันเหมือนในหนังไม่มีผิด คือนอนมองไฟฟ้าบนเพดานผ่านไป ผ่านไปเรื่อยๆ และไม่นานก็ถึงห้องพักฟื้น
................เปลี่ยนไปนอนเตียงสีเขียว แล้วเค้าเอาเราพักไว้ในห้องนี้ก่อนเข้าครัว เอ้ยเข้าห้องผ่า นอนมองเพดาน สูดกลิ่นน้ำยาฆ่าเชื้อไป ใจก็นึกว่าจะเป็นอย่างไรต่อไป ไม่นานเค้าก็เอาหมวกมาใส่ให้ ถามชื่อ และถามว่าเรามาผ่าตัดอะไร คือเอาให้แน่ใจจะได้ไม่ผิด และบรีฟให้เราฟังง่ายๆว่า ตอนเข้าไปในห้องผ่า วิสัญญีแพทย์จะมาคุยกับเราเรื่องวางยา จากนั้นเราก็จะไม่รู้เรื่องอะไรแล้วจะมาฟื้นอีกทีที่ห้องนี้
................เสร็จก็เข็นเตียงกันไปต่อยังห้องผ่าตัดเป็นห้องกว้างๆ มีเตียงสีเขียวยาวๆอยู่ตรงกลาง และไฟดวงมหึมาสองดวง ด้านบนเตียงนั้น เราต้องย้ายไปนอนเตียงแคบๆนั่น ซึ่งปูผ้าสีเขียวอื๋อไว้ จะว่าเขียวหัวเป็ดผสมกับเขียวเวอริเดี้ยนก็อาจจะได้ ขาก็เกือบเลยเตียง แขนก็ไม่มีที่วางเพราะเค้ามีแท่นหรือเบาะยาวๆสองข้างรอง ให้เรากางแขนออก ข้างขวามีเครื่องวัดความดันและ ออกซิเจน ข้างซ้ายมีน้ำเกลือและเครื่องวัดคลื่นหัวใจ
................นอนราบ กางแขนเสร็จ วิสัญญีแพทย์สาวสวยก็เดินมาถามเราว่าชื่ออะไร น้ำหนักเท่าไร ผู้ช่วยแพทย์ก็เอาออกซิเจนมาครอบปากและจมูกบอกให้เราหายใจลึกๆ ขณะที่สาววิสัญญีเดินน้ำยาลงบนมือซ้ายเรา เจ็บแปล๊บๆแค่สองวินาที จากนั้นสติเราก็หลุดลอยไปไกลแสนไกล
.................ตื่นมาอีกที จะเรียกว่าตื่นได้ไหม สมองตื้อๆตาหนักอึ้ง สลึมสลือเหมือนหมอมาปลุก แถมบอกว่าผ่าตัดเรียบร้อยแล้ว หมอไปก่อนนะต้องรีบไปธุระ จากนั้นไม่รู้ว่าเค้าโกยลงจากเตียงผ่าตัดอย่างไร มาถึงอีกทีนอนรอในห้องพักฟื้น ตาปิดต่อ เหนื่อยอ่อนเหมือนไปสู้รบมา ได้สติอีกทีก็ตอนบุรุษพยาบาลเข็นเรามาตามทางอีก มาถึงห้องแล้ว เค้าจับผ้าสีเขียวรวบเราอย่างไรไม่รู้ แล้วไสผ่านแผ่นกระดานลงไปบนเตียงเรา เออตัวหนักขนาดนี้ยังหิ้วกันไหวแฮะ
..................รู้สึกขอบพระคุณคนที่หิ้วมาส่งอย่างมาก เพราะอย่าว่าแต่ขยับตัวเลย ตายังลืมไม่ขึ้น พร้อมตามมาด้วยความเจ็บปวดรวดร้าวในท้องอย่างเหลือเกิน เค้ามาต่อท่อสวนปัสสาวะตอนไหนยังไม่รู้ ดีแล้ว คงลุกไปเข้าห้องน้ำไม่ไหวแน่ๆ คืนนั้นทั้งคืนเหมือนฝันสลับจริง เจ็บทรมานและนอนแบบหมดสภาพกันเลยทีเดียว รอดูว่าพรุ่งนี้จะเป็นอย่างไรต่อไป โอยยย.....
วันที่ฉัน...ต้องผ่าตัด #1
.............จากที่เราได้รับรู้แล้วว่า เราต้องเข้ารับการรักษาด้วยการผ่าตัด จิตใจก็ไม่เป็นปรกติแล้ว เครียด กลัวตายไม่กลัว แต่เป็นห่วงแม่ถ้าหากเราเป็นอะไรไป ก็คือมีห่วงนั่นแหละ แต่ก็อยากให้มันจบๆไป เร่งวันเร่งคืนให้ตรวจเลือดผ่าน พอหมอนัดวันก็ทำใจเลย เป็นไงเป็นกัน
..............วันแรกเราต้องไปนอนให้พยาบาลจัดการก่อน ทั้งล้างทุกสิ่งสรรพ ภายนอกภายใน ทุกท่อต่อมไตล้างเกลี้ยง คือให้ร่างกายสะอาดสุดๆ เสี่ยงต่อการติดเชื้อน้อยที่สุด จากนั้นอดอาหารและให้น้ำเกลือ นี่เป็นเรื่องใหญ่ของเรา การหิวแสบท้องและมีเข็มเบอร์ใหญ่สุดจิ้มอยู่ที่มือตลอดเวลา เคลื่อนไหวไปไหนก็มีสายโยงยางน่ารำคาญที่สุด แต่นี่ยังไม่เท่าไร ไม่รู้อะไรซะแล้วตัวเรา
...............วันต่อมาพอถึงเวลาห้องผ่าตัดโทรมาตามตัว นางพยาบาลก็ช่างเข้ามาถามว่าเราพร้อมไหม ถ้าไม่พร้อมจะทำอย่างไรเล่า ก็ต้องพร้อมสิน่า มีเตียงเข็นมารับหน้าห้อง ตอนที่เข็นไปนี่มันเหมือนในหนังไม่มีผิด คือนอนมองไฟฟ้าบนเพดานผ่านไป ผ่านไปเรื่อยๆ และไม่นานก็ถึงห้องพักฟื้น
................เปลี่ยนไปนอนเตียงสีเขียว แล้วเค้าเอาเราพักไว้ในห้องนี้ก่อนเข้าครัว เอ้ยเข้าห้องผ่า นอนมองเพดาน สูดกลิ่นน้ำยาฆ่าเชื้อไป ใจก็นึกว่าจะเป็นอย่างไรต่อไป ไม่นานเค้าก็เอาหมวกมาใส่ให้ ถามชื่อ และถามว่าเรามาผ่าตัดอะไร คือเอาให้แน่ใจจะได้ไม่ผิด และบรีฟให้เราฟังง่ายๆว่า ตอนเข้าไปในห้องผ่า วิสัญญีแพทย์จะมาคุยกับเราเรื่องวางยา จากนั้นเราก็จะไม่รู้เรื่องอะไรแล้วจะมาฟื้นอีกทีที่ห้องนี้
................เสร็จก็เข็นเตียงกันไปต่อยังห้องผ่าตัดเป็นห้องกว้างๆ มีเตียงสีเขียวยาวๆอยู่ตรงกลาง และไฟดวงมหึมาสองดวง ด้านบนเตียงนั้น เราต้องย้ายไปนอนเตียงแคบๆนั่น ซึ่งปูผ้าสีเขียวอื๋อไว้ จะว่าเขียวหัวเป็ดผสมกับเขียวเวอริเดี้ยนก็อาจจะได้ ขาก็เกือบเลยเตียง แขนก็ไม่มีที่วางเพราะเค้ามีแท่นหรือเบาะยาวๆสองข้างรอง ให้เรากางแขนออก ข้างขวามีเครื่องวัดความดันและ ออกซิเจน ข้างซ้ายมีน้ำเกลือและเครื่องวัดคลื่นหัวใจ
................นอนราบ กางแขนเสร็จ วิสัญญีแพทย์สาวสวยก็เดินมาถามเราว่าชื่ออะไร น้ำหนักเท่าไร ผู้ช่วยแพทย์ก็เอาออกซิเจนมาครอบปากและจมูกบอกให้เราหายใจลึกๆ ขณะที่สาววิสัญญีเดินน้ำยาลงบนมือซ้ายเรา เจ็บแปล๊บๆแค่สองวินาที จากนั้นสติเราก็หลุดลอยไปไกลแสนไกล
.................ตื่นมาอีกที จะเรียกว่าตื่นได้ไหม สมองตื้อๆตาหนักอึ้ง สลึมสลือเหมือนหมอมาปลุก แถมบอกว่าผ่าตัดเรียบร้อยแล้ว หมอไปก่อนนะต้องรีบไปธุระ จากนั้นไม่รู้ว่าเค้าโกยลงจากเตียงผ่าตัดอย่างไร มาถึงอีกทีนอนรอในห้องพักฟื้น ตาปิดต่อ เหนื่อยอ่อนเหมือนไปสู้รบมา ได้สติอีกทีก็ตอนบุรุษพยาบาลเข็นเรามาตามทางอีก มาถึงห้องแล้ว เค้าจับผ้าสีเขียวรวบเราอย่างไรไม่รู้ แล้วไสผ่านแผ่นกระดานลงไปบนเตียงเรา เออตัวหนักขนาดนี้ยังหิ้วกันไหวแฮะ
..................รู้สึกขอบพระคุณคนที่หิ้วมาส่งอย่างมาก เพราะอย่าว่าแต่ขยับตัวเลย ตายังลืมไม่ขึ้น พร้อมตามมาด้วยความเจ็บปวดรวดร้าวในท้องอย่างเหลือเกิน เค้ามาต่อท่อสวนปัสสาวะตอนไหนยังไม่รู้ ดีแล้ว คงลุกไปเข้าห้องน้ำไม่ไหวแน่ๆ คืนนั้นทั้งคืนเหมือนฝันสลับจริง เจ็บทรมานและนอนแบบหมดสภาพกันเลยทีเดียว รอดูว่าพรุ่งนี้จะเป็นอย่างไรต่อไป โอยยย.....