ปกติคนที่เป็นกรรมการสัมภาษณ์ มักจะคิดว่าเราเป็นฝ่ายที่มี "อำนาจ" ที่จะเลือก หรือไม่เลือกรับผู้สมัครงานเข้ามาทำงานก็ได้ โดยคิดว่า "ฉันเป็นฝ่ายเลือก" ดังนั้น คนที่มาเป็นผู้สมัครงานที่ถูกฉัน สัมภาษณ์จะต้องยอมรับพฤติกรรมของฉันในระหว่างการสัมภาษณ์ดังต่อไปนี้ได้ เช่น....
1. ฉันจะมาช้ากว่าเวลาที่นัดหมายก็ไม่เห็นเป็นไร เช่น นัดไว้บ่ายสองโมง ก็เข้ามาในห้องสัมภาษณ์เอาตอนเกือบบ่ายสาม แล้วก็อ้างเหตุที่มาช้าสารพัดเพื่อแก้ตัวกับผู้สมัครงานที่นั่งรอ (แต่ถ้าผู้สมัครมาช้าก็จะบอกว่าผู้สมัครไม่มีวินัย ไม่ตรงเวลา)
2. ไม่ได้แนะนำตัวเองให้ผู้สมัครรู้ว่าคนที่นั่งสัมภาษณ์อยู่ตรงหน้าน่ะเป็นใคร ตำแหน่งอะไร เพื่อให้ผู้สมัครได้รู้จักว่าคนที่จะสัมภาษณ์เขาคือใคร มีตำแหน่งแห่งที่อย่างไร (แต่กลับบอกให้ผู้สมัครแนะนำตัวเอง)
3. ระหว่างการสัมภาษณ์มักจะมีสีหน้าบึ้งตึงยังไงก็ได้ ฉันจะแสดงอารมณ์ใดในขณะนั้นยังไงก็ได้ เช่น โดนนายด่ามาก่อนเข้ามาในห้องสัมภาษณ์ยังมีอารมณ์โกรธค้างอยู่ ก็แสดงออกมาทางสีหน้าแววตาตลอด จนคำพูดที่แสดงอาการโกรธขึ้งให้ผู้สมัครได้เห็นอย่างเต็มที่ โดยคิดว่าก็ฉันเป็นเจ้านายฉันจะทำอย่างไรก็ได้ (แต่ถ้าผู้สมัครแสดงอารมณ์โกรธจะบอกว่าผู้สมัครไม่รู้จักควบคุมอารมณ์ตัวเอง)
4. คำพูดห้วนแบบมะนาวไม่มีน้ำ ไม่มีหางเสียง หรือทำเสียงดังแบบข่มผู้สมัครงาน ยิ่งถ้าผู้สมัครงานตอบคำถามไม่ถูกใจ ตอบช้า ฯลฯ มีว้าก (ถ้าผู้สมัครพูดแบบเดียวกันก็จะบอกว่าผู้สมัครพูดจาไม่เหมาะสม)
5. คอยแต่รับโทรศัพท์ที่เรียกเข้ามา ในระหว่างการสัมภาษณ์เป็นระยะจนทำให้การสัมภาษณ์สะดุดชะงักอยู่บ่อยครั้ง (ถ้าผู้สมัครทำแบบนี้ก็จะบอกว่าผู้สมัครไม่รู้จักกาละเทศะ ทำไมไม่ปิดโทรศัพท์)
6. ไม่สนใจคำตอบของผู้สมัครงาน หรือนั่งเล่นแชต เช่น ไลน์, เฟซบุ๊ก, อินสตาแกรม ฯลฯ ระหว่างการสัมภาษณ์ คือพอมีเสียงติ๊งของโซเชียลมีเดียเข้ามาเมื่อไหร่เป็นสไลด์ดูตลอด (อันนี้ผู้สมัครคงไม่กล้าทำแต่แปลกไหมครับที่กรรมการสัมภาษณ์บางคนกล้าทำแบบนี้หน้าตาเฉย)
7. ไม่ได้เตรียมคำถามมาก่อนเข้าห้องสัมภาษณ์ (Unstructured Interview) นึกคำถามไปตามอารมณ์ขณะนั้น ทำให้การสัมภาษณ์สะเปะสะปะ เรื่อยเปื่อย บางทีก็ถามซ้ำเรื่องที่เพิ่งถามไปแล้ว ถามนอกเรื่อง นอกประเด็นที่ไม่เกี่ยวข้องกับตำแหน่งงานที่ว่างนั้น ๆ
หรือไม่ได้ถามเพื่อหาคุณสมบัติความสามารถของผู้สมัครงานว่าจะเหมาะสมกับตำแหน่งนั้นหรือไม่ (การสัมภาษณ์โดยไม่เตรียมตัวเตรียมคำถามแบบนี้ผมมักจะเรียกกว่าการสัมภาษณ์แบบ "จิตสัมผัส" น่ะครับ)
8. ถามละลาบละล้วงเรื่องส่วนตัวของ ผู้สมัคร ซึ่งไม่เกี่ยวกับลักษณะงาน หรือไม่เกี่ยวข้องความเหมาะสมของผู้สมัคร กับตำแหน่งงานนั้น ๆ โดยมีการพูดในลักษณะเกี้ยวพาราสี จนดูเหมือนจะจีบเป็นแฟนมากกว่าจะรับมาเป็นพนักงานของบริษัท หรือสัมภาษณ์แบบใช้คำพูดสองแง่สองง่าม จนทำให้ผู้สมัครรู้สึกอึดอัด (ในขณะที่ผู้สมัครคงไม่สามารถไปถามซอกแซกเรื่องส่วนตัวของกรรมการสัมภาษณ์ได้หรอก)
9. ฯลฯที่ผมยกตัวอย่างมาข้างต้นนี้ผมอยากจะให้ข้อคิดสำหรับทุกท่านที่กำลังทำหน้าที่เป็นกรรมการสัมภาษณ์ขององค์กรที่ยังมีวิธีคิดแบบเดิม ๆ ว่าผู้สมัครงานคือคนที่มาง้อของานเราทำ เราเท่านั้นที่จะมีอำนาจชี้เป็นชี้ตาย จะรับหรือไม่รับ ผู้สมัครงานเข้ามาทำงาน จะทำอย่างไรกับผู้สมัครงานก็ได้
และถ้าเรารับผู้สมัครเข้ามาทำงานก็เท่ากับว่าเราคือเจ้าบุญนายคุณ มีบุญคุณ กับผู้สมัครล้นเหลือที่ยอมรับเขาเข้ามาทำงาน ฯลฯ
วิธีคิดแบบนี้น่ะมัน "Out" หรือ โบ (ราณ) มากแล้วนะครับ !!
เพราะวันนี้เป็นยุคของ Social Media เป็นยุคของพวกคนรุ่นใหม่ที่เราเรียก กันว่าพวก "Gen Y" ที่เป็นรุ่นของคนที่กล้าคิด กล้าพูด กล้าแสดงออก มั่นใจในตัวเองสูง ต้องการคำอธิบาย ต้องการความเท่าเทียม ต้องการเหตุผล และไม่ใช่แต่เพียงอำนาจของความเป็นเจ้านายมากดขี่เขาไว้เหมือนสมัยก่อนอีกแล้วนะครับ
แถมถ้าหากองค์กรไหนมีกรรมการสัมภาษณ์ที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสม อย่างที่ผมยกตัวอย่างมาข้างต้นแล้วล่ะก็ มีหวังถูกนำไปตั้งเป็นกระทู้อยู่ใน Social Media ได้อย่างทันทีทันใด และจะมีพวกเข้ามาเมนต์ มาเมาท์มอยกันจนอาจจะมีผลทำให้องค์กรของท่านต้องมีชื่อเสีย (ย้ำว่าชื่อเสียนะครับไม่ใช่ชื่อเสียง) ในสังคมออนไลน์อีกต่างหาก
ที่ผมต้องแชร์เรื่องนี้เพราะผมจำเป็นต้องเข้าไปอัพเดตโลกของคนรุ่นใหม่บน Social Media อยู่เป็นประจำเนื่องจากเป็นอาชีพของผมที่จะต้องหาข้อมูลใหม่ ๆ อยู่เสมอ
จึงมักจะเห็นหลายองค์กรที่มีผู้บริหารที่เป็นกรรมการสัมภาษณ์ที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสมดังกล่าว ถูกนำมาพูดจากันจนเกิดภาพลักษณ์ที่เสียหายในทางลบกับองค์กรอยู่บ่อยครั้ง อย่าลืมว่าคนเรามักจะจดจำเรื่องเสีย ๆ ได้แม่นกว่าการจดจำเรื่องดี ๆ นะครับ
ก็เลยอยากให้ท่านที่จะต้องเป็นกรรมการสัมภาษณ์ได้ตระหนักว่านอกจากการเป็นกรรมการสัมภาษณ์แล้ว
ท่านยังเป็นเสมือนหน้าตาภาพลักษณ์ที่ดีขององค์กรอีกด้วย
ส่วนพฤติกรรมใดที่ท่านที่เป็นกรรมการสัมภาษณ์ควรทำนั้น ผมเชื่อว่าท่านอ่านมาถึงตรงนี้แล้วคงเข้าใจได้นะครับว่า
ควรทำอย่างไรถึงจะทำให้ผู้สมัครงาน ที่มีคุณสมบัติที่เราต้องการเกิดความ ประทับใจ และอยากจะมาทำงานกับองค์กรของท่าน
เพราะวันนี้ผู้สมัครที่เขามีความสามารถมีศักยภาพที่องค์กรต้องการ เขาก็เป็นฝ่ายที่เลือกได้เหมือนกันว่าเขาจะมาทำงานกับองค์กรหรือไม่
ลองคิดแบบใจเขา-ใจเราดูก็ได้ว่าถ้าท่านเจอพฤติกรรมการสัมภาษณ์อย่างที่ผมบอกมาข้างต้น
ท่านยังอยากจะทำงานด้วยไหมล่ะครับ ?--จบ--
คอลัมน์ เอชอาร์คอร์เนอร์ โดย ธำรงศักดิ์ คงคาสวัสดิ์ ประชาชาติธุรกิจ
พฤติกรรมที่ผู้สัมภาษณ์พึงระมัดระวัง
1. ฉันจะมาช้ากว่าเวลาที่นัดหมายก็ไม่เห็นเป็นไร เช่น นัดไว้บ่ายสองโมง ก็เข้ามาในห้องสัมภาษณ์เอาตอนเกือบบ่ายสาม แล้วก็อ้างเหตุที่มาช้าสารพัดเพื่อแก้ตัวกับผู้สมัครงานที่นั่งรอ (แต่ถ้าผู้สมัครมาช้าก็จะบอกว่าผู้สมัครไม่มีวินัย ไม่ตรงเวลา)
2. ไม่ได้แนะนำตัวเองให้ผู้สมัครรู้ว่าคนที่นั่งสัมภาษณ์อยู่ตรงหน้าน่ะเป็นใคร ตำแหน่งอะไร เพื่อให้ผู้สมัครได้รู้จักว่าคนที่จะสัมภาษณ์เขาคือใคร มีตำแหน่งแห่งที่อย่างไร (แต่กลับบอกให้ผู้สมัครแนะนำตัวเอง)
3. ระหว่างการสัมภาษณ์มักจะมีสีหน้าบึ้งตึงยังไงก็ได้ ฉันจะแสดงอารมณ์ใดในขณะนั้นยังไงก็ได้ เช่น โดนนายด่ามาก่อนเข้ามาในห้องสัมภาษณ์ยังมีอารมณ์โกรธค้างอยู่ ก็แสดงออกมาทางสีหน้าแววตาตลอด จนคำพูดที่แสดงอาการโกรธขึ้งให้ผู้สมัครได้เห็นอย่างเต็มที่ โดยคิดว่าก็ฉันเป็นเจ้านายฉันจะทำอย่างไรก็ได้ (แต่ถ้าผู้สมัครแสดงอารมณ์โกรธจะบอกว่าผู้สมัครไม่รู้จักควบคุมอารมณ์ตัวเอง)
4. คำพูดห้วนแบบมะนาวไม่มีน้ำ ไม่มีหางเสียง หรือทำเสียงดังแบบข่มผู้สมัครงาน ยิ่งถ้าผู้สมัครงานตอบคำถามไม่ถูกใจ ตอบช้า ฯลฯ มีว้าก (ถ้าผู้สมัครพูดแบบเดียวกันก็จะบอกว่าผู้สมัครพูดจาไม่เหมาะสม)
5. คอยแต่รับโทรศัพท์ที่เรียกเข้ามา ในระหว่างการสัมภาษณ์เป็นระยะจนทำให้การสัมภาษณ์สะดุดชะงักอยู่บ่อยครั้ง (ถ้าผู้สมัครทำแบบนี้ก็จะบอกว่าผู้สมัครไม่รู้จักกาละเทศะ ทำไมไม่ปิดโทรศัพท์)
6. ไม่สนใจคำตอบของผู้สมัครงาน หรือนั่งเล่นแชต เช่น ไลน์, เฟซบุ๊ก, อินสตาแกรม ฯลฯ ระหว่างการสัมภาษณ์ คือพอมีเสียงติ๊งของโซเชียลมีเดียเข้ามาเมื่อไหร่เป็นสไลด์ดูตลอด (อันนี้ผู้สมัครคงไม่กล้าทำแต่แปลกไหมครับที่กรรมการสัมภาษณ์บางคนกล้าทำแบบนี้หน้าตาเฉย)
7. ไม่ได้เตรียมคำถามมาก่อนเข้าห้องสัมภาษณ์ (Unstructured Interview) นึกคำถามไปตามอารมณ์ขณะนั้น ทำให้การสัมภาษณ์สะเปะสะปะ เรื่อยเปื่อย บางทีก็ถามซ้ำเรื่องที่เพิ่งถามไปแล้ว ถามนอกเรื่อง นอกประเด็นที่ไม่เกี่ยวข้องกับตำแหน่งงานที่ว่างนั้น ๆ
หรือไม่ได้ถามเพื่อหาคุณสมบัติความสามารถของผู้สมัครงานว่าจะเหมาะสมกับตำแหน่งนั้นหรือไม่ (การสัมภาษณ์โดยไม่เตรียมตัวเตรียมคำถามแบบนี้ผมมักจะเรียกกว่าการสัมภาษณ์แบบ "จิตสัมผัส" น่ะครับ)
8. ถามละลาบละล้วงเรื่องส่วนตัวของ ผู้สมัคร ซึ่งไม่เกี่ยวกับลักษณะงาน หรือไม่เกี่ยวข้องความเหมาะสมของผู้สมัคร กับตำแหน่งงานนั้น ๆ โดยมีการพูดในลักษณะเกี้ยวพาราสี จนดูเหมือนจะจีบเป็นแฟนมากกว่าจะรับมาเป็นพนักงานของบริษัท หรือสัมภาษณ์แบบใช้คำพูดสองแง่สองง่าม จนทำให้ผู้สมัครรู้สึกอึดอัด (ในขณะที่ผู้สมัครคงไม่สามารถไปถามซอกแซกเรื่องส่วนตัวของกรรมการสัมภาษณ์ได้หรอก)
9. ฯลฯที่ผมยกตัวอย่างมาข้างต้นนี้ผมอยากจะให้ข้อคิดสำหรับทุกท่านที่กำลังทำหน้าที่เป็นกรรมการสัมภาษณ์ขององค์กรที่ยังมีวิธีคิดแบบเดิม ๆ ว่าผู้สมัครงานคือคนที่มาง้อของานเราทำ เราเท่านั้นที่จะมีอำนาจชี้เป็นชี้ตาย จะรับหรือไม่รับ ผู้สมัครงานเข้ามาทำงาน จะทำอย่างไรกับผู้สมัครงานก็ได้
และถ้าเรารับผู้สมัครเข้ามาทำงานก็เท่ากับว่าเราคือเจ้าบุญนายคุณ มีบุญคุณ กับผู้สมัครล้นเหลือที่ยอมรับเขาเข้ามาทำงาน ฯลฯ
วิธีคิดแบบนี้น่ะมัน "Out" หรือ โบ (ราณ) มากแล้วนะครับ !!
เพราะวันนี้เป็นยุคของ Social Media เป็นยุคของพวกคนรุ่นใหม่ที่เราเรียก กันว่าพวก "Gen Y" ที่เป็นรุ่นของคนที่กล้าคิด กล้าพูด กล้าแสดงออก มั่นใจในตัวเองสูง ต้องการคำอธิบาย ต้องการความเท่าเทียม ต้องการเหตุผล และไม่ใช่แต่เพียงอำนาจของความเป็นเจ้านายมากดขี่เขาไว้เหมือนสมัยก่อนอีกแล้วนะครับ
แถมถ้าหากองค์กรไหนมีกรรมการสัมภาษณ์ที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสม อย่างที่ผมยกตัวอย่างมาข้างต้นแล้วล่ะก็ มีหวังถูกนำไปตั้งเป็นกระทู้อยู่ใน Social Media ได้อย่างทันทีทันใด และจะมีพวกเข้ามาเมนต์ มาเมาท์มอยกันจนอาจจะมีผลทำให้องค์กรของท่านต้องมีชื่อเสีย (ย้ำว่าชื่อเสียนะครับไม่ใช่ชื่อเสียง) ในสังคมออนไลน์อีกต่างหาก
ที่ผมต้องแชร์เรื่องนี้เพราะผมจำเป็นต้องเข้าไปอัพเดตโลกของคนรุ่นใหม่บน Social Media อยู่เป็นประจำเนื่องจากเป็นอาชีพของผมที่จะต้องหาข้อมูลใหม่ ๆ อยู่เสมอ
จึงมักจะเห็นหลายองค์กรที่มีผู้บริหารที่เป็นกรรมการสัมภาษณ์ที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสมดังกล่าว ถูกนำมาพูดจากันจนเกิดภาพลักษณ์ที่เสียหายในทางลบกับองค์กรอยู่บ่อยครั้ง อย่าลืมว่าคนเรามักจะจดจำเรื่องเสีย ๆ ได้แม่นกว่าการจดจำเรื่องดี ๆ นะครับ
ก็เลยอยากให้ท่านที่จะต้องเป็นกรรมการสัมภาษณ์ได้ตระหนักว่านอกจากการเป็นกรรมการสัมภาษณ์แล้ว
ท่านยังเป็นเสมือนหน้าตาภาพลักษณ์ที่ดีขององค์กรอีกด้วย
ส่วนพฤติกรรมใดที่ท่านที่เป็นกรรมการสัมภาษณ์ควรทำนั้น ผมเชื่อว่าท่านอ่านมาถึงตรงนี้แล้วคงเข้าใจได้นะครับว่า
ควรทำอย่างไรถึงจะทำให้ผู้สมัครงาน ที่มีคุณสมบัติที่เราต้องการเกิดความ ประทับใจ และอยากจะมาทำงานกับองค์กรของท่าน
เพราะวันนี้ผู้สมัครที่เขามีความสามารถมีศักยภาพที่องค์กรต้องการ เขาก็เป็นฝ่ายที่เลือกได้เหมือนกันว่าเขาจะมาทำงานกับองค์กรหรือไม่
ลองคิดแบบใจเขา-ใจเราดูก็ได้ว่าถ้าท่านเจอพฤติกรรมการสัมภาษณ์อย่างที่ผมบอกมาข้างต้น
ท่านยังอยากจะทำงานด้วยไหมล่ะครับ ?--จบ--
คอลัมน์ เอชอาร์คอร์เนอร์ โดย ธำรงศักดิ์ คงคาสวัสดิ์ ประชาชาติธุรกิจ