สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 3
ยุคก่อนสมัยนู้น คนมีคุณภาพมากกว่าเด็กสมับนี้เยอะ แต่ก่อนไม่มีเน็ต ไม่รู้จักพันทิพย์ เวลาไม่รู้อะไร ก็ต้องเปิดหนังสือ บางทีในหนังสือไม่มี ก็ต้องวิ่งโล่ไปถามอาจารย์ โดนด่าบ้างอะไรบ้าง แต่ดูสมัยนี้สิ เด็กโตมากับไอที แต่กลับใช้เครื่องมือที่มีในทางที่ผิด ใช้พันทิพให้คนทำงานให้บ้างหล่ะ มีการบ้าน หาข้อมูลไม่เจอบ้างหล่ะ หานั่น หานี่ไม่ได้ ขอหยาบนิดละกันครับ ว่าทำไมสิ่งที่พวกคุณหาไม่ได้ ผมกลับหาได้ หากันยังไงวะถึงหาไม่เจอ
ใช้ Keyword อะไรในการหาบ้าง แล้วที่สำคัญ-ึงเปิดหาแค่ที่เดียวหรอแล้วก็บอกหากันไม่เจอ ผมก็ไม่ใช่คนแก่ครับ ผมเกิดมาในยุคระหว่าง 2 ยุค ผมรู้จักอินเทอร์เน็ตตอน มัธยมต้น ก่อนหน้านั้นก็เปิดหนังสือทำงานเอา ได้ใช้เน็ตแบบจริงๆจังๆก็ตอน เรียน ปวช. ครับ

ความคิดเห็นที่ 6
เหมือนกับทุกความเห็นข้างบน
ยุคผม คอม 80486,pentium เครื่องละแสน (สมัย ม.๓) เรื่องจะมีคอมใช้ที่บ้าน ไม่ต้องคุย แค่พิมพ์ดีดธรรมดาก็หรูแล้ว พิมพ์ดีดไฟฟ้านี่เทพมาก
วิชาพื้นฐานคอม คอมเครื่องเดียว นั่งเรียนหน้าจอพร้อมกัน ๓ คน กระทั่งเก้าอี้ยังเบียดกัน คีย์บอร์,เมาส์ ยิ่งไม่ได้แตะ แล้วสอบผ่านมาได้ไงก็ไม่รู้ เพราะเวลาสอบ ไม่ได้นั่งหน้าจอ แต่สอบบนกระดาษปรนัยเอา
การทำรายงานก็ยุ่งยาก เอาแบบเบาสุด ก็ซื้อหนังสือมาอ่าน, หนักหน่อย ก็เข้าห้องสมุด , หนักสุด ต้องนั่งรถไปหอสมุดแห่งชาติ
ไม่มีการตัดแปะ copy&paste เหมือนยุคนี้ ครับ ต้องเขียนเอา หรือไม่ก็พิมพ์ดีด ไม่มีคีย์บอร์ด ไม่มีคอม พิมพ์ผิดต้องป้ายลิคขวิดเอา เด็กยุคนี้ใช้เครื่องพิมพ์เป็นหรือเปล่าก็ไม่ทราบ สมัยผมพิมพ์ไปตบไป มันไม่ได้ขึ้นบรรทัดใหม่เหมือนในคอม จิ้มผิดทีมีนิ้วซ้น (โดยเฉพาะนิ้วก้อย ตัว ง.งู จะโดนกับบ่อยสำหรับพวกหัดพิมพ์) เพราะแป้นแข็งมาก ต้องอาศัยแรงกดสูง จนเรียกว่าแทบจะทิ่มปุ่นแทนการกดกันเลยทีเดียว
ยุคนั้น หาคนพิมพ์ดีดได้น้อยมาก เพราะเครื่องพิมพ์ดีดไม่ค่อยแพร่หลาย และมีราคาแพง (แบบกระเป๋าหิ้ว ตัวละสามสี่พัน แบบไฟฟ้า แปดพันถึงหมี่น ยุคนั้น ข้าวแกงจานละ ๒๐-๒๕ บาท) ใครพิมพ์เป็นนี่อย่างเทพ ทำเป็นอาชีพเลี้ยงตัวได้เลย A4 หน้าละ ๒๐ บาท สิบหน้าฟรีหนึ่งหน้า มีประกาศรับจ้างพิมพ์เต็มไปหมด แถมไม่ค่อยตัดราคากัน เพราะ supply น้อย แต่ demand มาก ทั้งเครื่องทั้งคนมันมีน้อย โรงเรียนสอนพิมพ์ดีดก็มี
เดี๋ยวนี้คนพิมพ์สัมผัสเป็นกันหมดแล้ว คนใช้คอมเป็นแต่พิมพ์ไม่เป็น ไม่น่าจะเหลืออีกแล้วกระมัง อาชีพรับจ้างพิมพ์งานเลยค่อยๆ หดหายไปเรื่อย จนสูญพันธุ์ในที่สุด(หรือยังมีอยู่อีกหรือเปล่าก็ไม่ทราบ) พวกรับจ้างพิมพ์เลยต้อง upgrade เป็นพวกรับแปลเอกสาร หรือพิมพ์ภาษาอังกฤษแทน ซึ่งก็ตัดราคากัน รายได้คงไม่ค่อยดีเท่าไหร่
เมื่อสมัยเรียนมหาวิทยาลัย ปี ๑ ต้องทำรายงาน ผมดันเสนอให้พิมพ์เอา เลยเป็นความซวยสำหรับคนไม่มีคอมที่บ้าน (ไม่ดูตัวเองเลย) ต้องไปสมัครร้านสอนคอมอย่าง BCC (เจ๊งไปแล้ว) แล้วยืมคอมใช้ ตอนนั้นยอมรับว่าเค็มมาก จ้างเขาพิมพ์หน้าหนึ่งก็แค่สิบบาท แต่ไม่เอา จะพิมพ์เอง ทั้งๆ ที่พิมพ์ไม่เป็น ปรากฏว่า นั่งจิ้มคอมไป ตั้งแต่ 9.00-13.00 น.พิมพ์ได้แค่ ๓ หน้ากระดาษ กว่าจะพิมพ์จบ ใช้เวลา ๓ วัน แถมเอาไปเปิดบน Windows 95 ไม่ได้อีก เพราะพิมพ์บน Windows 3.11 โชคดีที่ตอนนั้น Windows 98 มาพอดี และมันดันเปิดได้ ไม่งั้นต้องไปนั่งทรมานวันละ ๔ ชั่วโมงอีก(นรก) เป็นเหตุให้ผมต้องตัดสินใจหัดพิมพ์สัมผัสอย่างเป็นจริงเป็นจัง เพราะเวลาเรียนต้องส่งงานด้วยการพิมพ์เป็นส่วนใหญ่แน่ๆ น้อยมากที่ส่งงานด้วยลายมือ หัดอยู่ทุกเย็นวันละชั่วโมงทุกวัน สองเดือนครึ่งถีงพิมพ์ไทยได้ ในขณะที่เพื่อนรุ่นเดียวกันยังพิมพ์ไม่เป็น แต่พอผมพิมพ์เป็น ปรากฏว่า ไม่เคยได้ส่งงานด้วยการพิมพ์อีกเลยแม้แต่ครั้งเดียวจนกระทั่งเรียนจบ - -"
หลายปีให้หลัง คอมถูกลง เน็ตเร็วขึ้น อ่านภาษาอังกฤษได้พอควร เกิดเสี้ยนอยากหัดเขียนโปรแกรมขึ้นมา เลยไปฝึกพิมพ์ภาษาอังกฤษอีก หัดอยู่ ๒ เดือนก็เป็น (ภาษาไทยผมหัด ๒ เดือนครึ่ง) เลยพิมพ์ได้ทั้ง ๒ ภาษา ส่วนตอนนี้พิมพ์ญี่ปุ่นได้กระท่อนกระแท่น(กำลังหัดอยู่) รู้สึกมันส์ดีเหมือนกัน ถ้าเป็นยุคนี้ มีโปรแกรมสอนพิมพ์ดีดขาย ได้ยินว่าแค่อาทิตย์เดียวก็เป็นกันแล้ว แต่รุ่นผมยัง ฟหกด ่าสว , asdf jkl; กันอยู่ ไม่สะดวกสบายเหมือนยุคนี้ เลยต้องใช้เวลานานหน่อย
ปล.นึกถึงวันที่นั่งจิ้มคีย์บอร์ดที่ BCC (มหาวิทยาลัย ปี ๑) วันนั้นนั่งจิ้มไปทีละปุ่มด้วยความอดทน ข้างๆ ผมมีสาวออฟฟิศนั่งจิ้มเป็นเพื่อนอยู่ชั้น ๒ ด้วยเหมือนกัน สักพักใกล้ๆ เที่ยง มีเพื่อนของสาวออฟฟิศคนหนึ่งมาช่วยพิมพ์ พอเจ้าหล่อนเปลี่ยนเก้าอี้กันเท่านั้น ก็รัวคีย์บอร์ดยังกะปืนกล (เร็วโคตร) ผมเองไม่กล้ามอง ได้แต่แอบชำเลือง ยังคิดอยู่เลยอยากขอร้องเจ๊แกให้มาช่วยพิมพ์ให้หน่อยแต่ไม่กล้า จำได้ว่าเจ๊แกนั่งอยู่ไม่กี่นาทีก็เสร็จ ตอนที่ลงจากห้องไปมีแอบยิ้ม(น่าจะเยาะ) ผมด้วยเล็กน้อย นึกถึงตอนนั้นแล้วตลกดี ถ้าตอนนี้มาดวลกัน ผมว่าผมเร็วไม่แพ้เจ้าหล่อนแน่ เสียแต่จำหน้าเธอไม่ได้ เพราะมันผ่านมาสิบกว่าปีแล้ว
ยุคผม คอม 80486,pentium เครื่องละแสน (สมัย ม.๓) เรื่องจะมีคอมใช้ที่บ้าน ไม่ต้องคุย แค่พิมพ์ดีดธรรมดาก็หรูแล้ว พิมพ์ดีดไฟฟ้านี่เทพมาก
วิชาพื้นฐานคอม คอมเครื่องเดียว นั่งเรียนหน้าจอพร้อมกัน ๓ คน กระทั่งเก้าอี้ยังเบียดกัน คีย์บอร์,เมาส์ ยิ่งไม่ได้แตะ แล้วสอบผ่านมาได้ไงก็ไม่รู้ เพราะเวลาสอบ ไม่ได้นั่งหน้าจอ แต่สอบบนกระดาษปรนัยเอา
การทำรายงานก็ยุ่งยาก เอาแบบเบาสุด ก็ซื้อหนังสือมาอ่าน, หนักหน่อย ก็เข้าห้องสมุด , หนักสุด ต้องนั่งรถไปหอสมุดแห่งชาติ
ไม่มีการตัดแปะ copy&paste เหมือนยุคนี้ ครับ ต้องเขียนเอา หรือไม่ก็พิมพ์ดีด ไม่มีคีย์บอร์ด ไม่มีคอม พิมพ์ผิดต้องป้ายลิคขวิดเอา เด็กยุคนี้ใช้เครื่องพิมพ์เป็นหรือเปล่าก็ไม่ทราบ สมัยผมพิมพ์ไปตบไป มันไม่ได้ขึ้นบรรทัดใหม่เหมือนในคอม จิ้มผิดทีมีนิ้วซ้น (โดยเฉพาะนิ้วก้อย ตัว ง.งู จะโดนกับบ่อยสำหรับพวกหัดพิมพ์) เพราะแป้นแข็งมาก ต้องอาศัยแรงกดสูง จนเรียกว่าแทบจะทิ่มปุ่นแทนการกดกันเลยทีเดียว
ยุคนั้น หาคนพิมพ์ดีดได้น้อยมาก เพราะเครื่องพิมพ์ดีดไม่ค่อยแพร่หลาย และมีราคาแพง (แบบกระเป๋าหิ้ว ตัวละสามสี่พัน แบบไฟฟ้า แปดพันถึงหมี่น ยุคนั้น ข้าวแกงจานละ ๒๐-๒๕ บาท) ใครพิมพ์เป็นนี่อย่างเทพ ทำเป็นอาชีพเลี้ยงตัวได้เลย A4 หน้าละ ๒๐ บาท สิบหน้าฟรีหนึ่งหน้า มีประกาศรับจ้างพิมพ์เต็มไปหมด แถมไม่ค่อยตัดราคากัน เพราะ supply น้อย แต่ demand มาก ทั้งเครื่องทั้งคนมันมีน้อย โรงเรียนสอนพิมพ์ดีดก็มี
เดี๋ยวนี้คนพิมพ์สัมผัสเป็นกันหมดแล้ว คนใช้คอมเป็นแต่พิมพ์ไม่เป็น ไม่น่าจะเหลืออีกแล้วกระมัง อาชีพรับจ้างพิมพ์งานเลยค่อยๆ หดหายไปเรื่อย จนสูญพันธุ์ในที่สุด(หรือยังมีอยู่อีกหรือเปล่าก็ไม่ทราบ) พวกรับจ้างพิมพ์เลยต้อง upgrade เป็นพวกรับแปลเอกสาร หรือพิมพ์ภาษาอังกฤษแทน ซึ่งก็ตัดราคากัน รายได้คงไม่ค่อยดีเท่าไหร่
เมื่อสมัยเรียนมหาวิทยาลัย ปี ๑ ต้องทำรายงาน ผมดันเสนอให้พิมพ์เอา เลยเป็นความซวยสำหรับคนไม่มีคอมที่บ้าน (ไม่ดูตัวเองเลย) ต้องไปสมัครร้านสอนคอมอย่าง BCC (เจ๊งไปแล้ว) แล้วยืมคอมใช้ ตอนนั้นยอมรับว่าเค็มมาก จ้างเขาพิมพ์หน้าหนึ่งก็แค่สิบบาท แต่ไม่เอา จะพิมพ์เอง ทั้งๆ ที่พิมพ์ไม่เป็น ปรากฏว่า นั่งจิ้มคอมไป ตั้งแต่ 9.00-13.00 น.พิมพ์ได้แค่ ๓ หน้ากระดาษ กว่าจะพิมพ์จบ ใช้เวลา ๓ วัน แถมเอาไปเปิดบน Windows 95 ไม่ได้อีก เพราะพิมพ์บน Windows 3.11 โชคดีที่ตอนนั้น Windows 98 มาพอดี และมันดันเปิดได้ ไม่งั้นต้องไปนั่งทรมานวันละ ๔ ชั่วโมงอีก(นรก) เป็นเหตุให้ผมต้องตัดสินใจหัดพิมพ์สัมผัสอย่างเป็นจริงเป็นจัง เพราะเวลาเรียนต้องส่งงานด้วยการพิมพ์เป็นส่วนใหญ่แน่ๆ น้อยมากที่ส่งงานด้วยลายมือ หัดอยู่ทุกเย็นวันละชั่วโมงทุกวัน สองเดือนครึ่งถีงพิมพ์ไทยได้ ในขณะที่เพื่อนรุ่นเดียวกันยังพิมพ์ไม่เป็น แต่พอผมพิมพ์เป็น ปรากฏว่า ไม่เคยได้ส่งงานด้วยการพิมพ์อีกเลยแม้แต่ครั้งเดียวจนกระทั่งเรียนจบ - -"
หลายปีให้หลัง คอมถูกลง เน็ตเร็วขึ้น อ่านภาษาอังกฤษได้พอควร เกิดเสี้ยนอยากหัดเขียนโปรแกรมขึ้นมา เลยไปฝึกพิมพ์ภาษาอังกฤษอีก หัดอยู่ ๒ เดือนก็เป็น (ภาษาไทยผมหัด ๒ เดือนครึ่ง) เลยพิมพ์ได้ทั้ง ๒ ภาษา ส่วนตอนนี้พิมพ์ญี่ปุ่นได้กระท่อนกระแท่น(กำลังหัดอยู่) รู้สึกมันส์ดีเหมือนกัน ถ้าเป็นยุคนี้ มีโปรแกรมสอนพิมพ์ดีดขาย ได้ยินว่าแค่อาทิตย์เดียวก็เป็นกันแล้ว แต่รุ่นผมยัง ฟหกด ่าสว , asdf jkl; กันอยู่ ไม่สะดวกสบายเหมือนยุคนี้ เลยต้องใช้เวลานานหน่อย
ปล.นึกถึงวันที่นั่งจิ้มคีย์บอร์ดที่ BCC (มหาวิทยาลัย ปี ๑) วันนั้นนั่งจิ้มไปทีละปุ่มด้วยความอดทน ข้างๆ ผมมีสาวออฟฟิศนั่งจิ้มเป็นเพื่อนอยู่ชั้น ๒ ด้วยเหมือนกัน สักพักใกล้ๆ เที่ยง มีเพื่อนของสาวออฟฟิศคนหนึ่งมาช่วยพิมพ์ พอเจ้าหล่อนเปลี่ยนเก้าอี้กันเท่านั้น ก็รัวคีย์บอร์ดยังกะปืนกล (เร็วโคตร) ผมเองไม่กล้ามอง ได้แต่แอบชำเลือง ยังคิดอยู่เลยอยากขอร้องเจ๊แกให้มาช่วยพิมพ์ให้หน่อยแต่ไม่กล้า จำได้ว่าเจ๊แกนั่งอยู่ไม่กี่นาทีก็เสร็จ ตอนที่ลงจากห้องไปมีแอบยิ้ม(น่าจะเยาะ) ผมด้วยเล็กน้อย นึกถึงตอนนั้นแล้วตลกดี ถ้าตอนนี้มาดวลกัน ผมว่าผมเร็วไม่แพ้เจ้าหล่อนแน่ เสียแต่จำหน้าเธอไม่ได้ เพราะมันผ่านมาสิบกว่าปีแล้ว

ความคิดเห็นที่ 2
เริ่มจาก .. เข้าห้องสมุด หาข้อมูล
นำข้อมูลมาปั่น ๆ แล้วเขียน เขียน เขียน เขียนรายงานเป็นเล่ม
พอมีสตางค์ก็ซื้อเครื่องพิมพ์ดีดไฟฟ้าค่ะ
ก็จบมาได้ด้วยดี 4.00
ซึ่งถ้ายุคพี่ โซเชียลเค้าฮิต ๆ กันแบบยุคนี้ ก็อาจจะไม่จบก็ได้ค่ะ
แบบหลงระเริง!
เลยถือว่าทำบุญมาดี ได้อยู่ในบรรยากาศแบบท้องไร่ ท้องนา และนั่งอ่านหนังสือริมคลอง
นำข้อมูลมาปั่น ๆ แล้วเขียน เขียน เขียน เขียนรายงานเป็นเล่ม
พอมีสตางค์ก็ซื้อเครื่องพิมพ์ดีดไฟฟ้าค่ะ
ก็จบมาได้ด้วยดี 4.00
ซึ่งถ้ายุคพี่ โซเชียลเค้าฮิต ๆ กันแบบยุคนี้ ก็อาจจะไม่จบก็ได้ค่ะ
แบบหลงระเริง!
เลยถือว่าทำบุญมาดี ได้อยู่ในบรรยากาศแบบท้องไร่ ท้องนา และนั่งอ่านหนังสือริมคลอง
ความคิดเห็นที่ 67
ผมขอแชร์ประสบการ์การเนรียนของผมดังต่อไปนี้
ผมเข้าเรียนปริญญาตรีในปี 2527
การเรียน :
- ใช้การฟังและจดเล็ดเชอร์ และอ่านหนังสือที่อาจารย์แนะนำ และ text sheet (ผลิตแบบโรเนียว) ที่คณะ บางคนใฝ่รู้ก็อ่านเพิ่มเติมแล้วมาสอบถามอาจารย์
- สมัยนั้นจนถึงสมัยนี้น่าจะมีบางอย่างที่เหมือนกัน กล่าวคือเด็กเก่งชอบนั่งแถวหน้า มีคำถามกับอาจารย์เสมอ เด็กไม่เก่งหรือปานกลางจะแย่งกันนั่งแถวหลัง และมักจะเรียนไปหลับไป บางคนมีกรน และตอนท้ายชั่วโมงหากใครถามมากๆ เพื่อนๆ แถวหลังจะหมั่นไส้ แต่อาจารย์มักอนุญาตให้ออกไปก่อน เพราะหมดคาบแล้ว
- วิชาที่เป็น class เล็ก คือ จำนวนผู้ลงทะเบียนเรียนไม่เยอะ อาจารย์บางท่านมีการเช็คชื่อผู้เข้าเรียน โดยให้เซ็นชื่อ ก็มีการเซ็นแทนกันบ่อย มีกรณีที่อาจารย์ดูรายชื่อแล้วเรียกถาม ปรากฏว่าเจ้าตัวไม่อยู่ ท่านก็ไม่ว่าไร แต่คงนึกเสียดายเงินแทนพ่อ-แม่
- ที่ขายข้าวส่งให้ควาย (รวมถึงตัวผม) เรียน
- อาจารย์บางท่านแนะนำว่า หากไม่อยากเข้าเรียน ก็ไม่ควรอ่านหนังสือและเลคเชอร์อย่างเดียว ควรค้นคว้าหาข้อมูลเพิ่มเติมด้วย
มีประเภทที่ชอบโดดเรียน แล้วไปขอสมุดเล็กเชอร์เพื่อนมาถ่ายเอกสาร หากเพื่อนใช้ปากกาหมึกสี ก็จะโดนด่า เพราะถ่านเอกสารแล้วสีจางมาก (เนรคุณจริงๆ) มีเรื่องขำขำว่า บางคนตอนวันรับปริญญาก็ไปไหว้เครื่องถ่ายเอกสาร และขอบคุณพนักงานถ่ายเอกสาร
การบ้าน :
- class ใหญ่ คือ จำนวนผู้ลงทะเบียนเรียนเยอะ ส่วนใหญ่อาจารย์จะ assigned ให้ไปค้นหาข้อมูลจากหนังสือ, text sheets และไปเยี่ยมชมสถานที่ (หากเป็นวิชาที่เกี่ยวข้องกับ อารยะธรรม, ประวัติศาสตร์ และ ศิลปะ
- class เล็ก ก็จะขอให้ทำสรุปสั้นๆ มาส่ง และนำมาแชร์หรืออภิปรายกัน
รายงาน :
ค้นหาข้อมูลจากห้องสมุดของมหาวิทยาลัย ในบางเรื่องอาจต้องไปที่ห้องสมุดของมหาวิทยาลัยอื่น text books ส่วนใหญ่เป็นภาษาอังกฤษ
บ้างเขียนด้วยลายมือ บ้างพิมพ์ดีด ผมใช้วิธีเขียวด้วยมือ เพราะไม่มีเงินไปจ้างเขาพิมพ์ บางคนที่บ้านมีเครื่องพิมพ์ดีด ก็ใช้การพิมพ์ บ้างก็ให้แฟนช่วยพิมพ์ หากมีเงินก็ไปจ้างเขาพิมพ์ หน้าละสิบบาท (ก๋วยเตี๋ยวและข้าวราดแกงที่แคนที่ชามละห้าบาท) ไม่ก็ไปขอใช้เครื่องของชมรม/ชุมนุมที่เป็นสมาชิก รูปภาพก็ถ่ายเอกสารแล้วเอามาแปะ
นิพนธ์/โป รเจ็ค/วิจัย :
- ค้นหาข้อมูล text, งานวิจัย และตัวอย่างวิทยานิพนธ์ที่อาจารย์แนะนำ แล้วไปค้นหาสืบเสาะจากห้องสมุดของมหาวิทยาลัย, สำนักหอสมุด และสถานที่ต่างๆ สมัยนั้นไม่มี internet และ search engines ต่างๆ
- หากเป็นงานวิจัย ก็ต้องทำแบบสอบถามตาม research methodology และลงพื้นที่ จะเขียนด้วยลายมือ หรือพิมพ์ดีดก็ได้ แต่ส่วนใหญ่จะใช้การพิมพ์ ไม่ว่าจะจิ้มเอง ให้แฟนพิมพ์ให้ หรือจ้างเขาพิมพ์ กลุ่มผมวิธีจ้างเขาพิมพ์
การสอบ
- มหาวิทยาลัยจะออกปฏิทินการสอบตั้งแต่ต้นปีการศึกษา
- พวกอัจฉริยะจะเข้าใจในสิ่งที่เรียน แค่เข้าเรียน และอ่านค้นคว้าเพิ่มเติม ก็สอบผ่าน ได้คะแนนสูงลิ่ว
- พวกปานกลางแต่ขยัน จะทบทวนสิ่งที่เรียนอย่างสม่ำเสมอ และเตรียมตัวก่อนสอบเป็นเวลานาน คะแนนอาจจะออกมาดีบ้าง ไม่ดีบ้าง แล้วแต่ capacity
- พวกปานกลางแต่ขี้เกียจ พวกนี้จะแม่นปฏิทินสอบมา จะโหมอ่านหนังสือทั้งคืน เพื่อไปสอบในวันถัดไป บางทีเจอสอบเช้า-บ่าย ก็เหนื่อย พวกนี้คะแนนออกว่าสวิง ตั้งแต่ A - D แต่น้อยรายจะได้ F ซึ่งส่วนใหญ่จะเพราะจำเวลาสอบผิด เช่น เขาสอบเช้า แต่ดันมาตอนบ่าย
- พวกที่ไม่รู้หน้าที่ของตัวเอง พวกนี้อ้างแต่สิทธิ แต่ไม่รู้หน้าที่ เห็นว่าการเรียนการสอนเป็นสิ่งที่คร่ำครึงมงาย ชอบไป copy ความคิดจากปรัชญาต่างๆ ตำรา Marxist (ไม่ใช่ Communist นะครับ) แล้วเอามาปรับใช้แบบเข้าข้างตนเอง ไม่เข้าเรียน ไม่ส่งการบ้าน ไม่ทำรายงาน ไม่ทำนิพนธ์/โปรเจ็ค/วิจัย และไม่ร่วมกิจกรรมนักศักษาด้วยกัน เพราเห็นว่า “ไม่ใช่” แต่ ก็ยังผลาญเงินพ่อแม่ต่อไป (ผมขอกราบขออภัยคนที่เป็นแบบนี้ - แต่หาเลี้ยงส่งเสียตนเอง)
พอจะมีกำลังใจเรียนหรือยังครับ
อุปกรณ์การเรียน
- สมุดเลคเชอร์ และปากกาหรือดินสอ บางคนอาจปากกา highlight เขาไว้เน้นข้อความให้ตัวเองงงเล่น
- เครื่องคิดเลข Casio ธรรมดาก็สุดเท่ห์แล้ว ส่วนเครื่องที่มี function SIN/COS/TAN, statistics และ finance นั้น จะเป็นของพวกเรียนสายวิทยาศาสตร์ วิศวกรรม สถิติ คอมพิวเตอร์ และบัญชี-การเงิน
- PC ตอนนั้นผมยังไม่รู้จัก แต่เพื่อที่เรียน business computer จะมีโอกาสได้ใช้ ครั้งละ 30 – 60 นาที ต้องจองเวลา ผมเรียนภาษา Fortran 77 (NASA ใช้ในการส่งจรวดไปอวกาศ นะ จะบอกให้) เป็น classroom training จะใช้เครื่องเพื่อเขียนโปรแกรมลงแผ่น disk ขนาด 8 นิ้ว ก็เพื่อส่งการบ้าน ก็ต้องไปจองคิว ได้ครั้งละ 30 นาที แล้วส่งให้เขา process อีก 3 จึงจะทราบผล แรกๆ จะออกมาสมัยนั้น
- เครื่องพิมพ์ดีด สมัยนั้น ราคา 3,000 – 8,000 บาท (ค่าลงทะเบียน+ค่าบำรุง 4 ปี ไม่นับค่าใช้จ่ายอื่นๆ ไม่เกิน 25,000 บาท) ใครมีใช้เป็นส่วนตัวนี่เท่ห์เหมือนคนมี MacBook เลยครับ รุ่นหัวกอล์ฟนี่แพงมาก แพงจนผมไม่คิดจะทราบราคา ส่วนพิมพ์ดีดไฟฟ้า ผมมารู้จักเมื่อทำงาน ผมทึ่งและมหัศจรรย์ใจกว่าเห็น iPhone และ iPad เสียอีก
- เวลาไปสมัครงาน เขาจะถามว่า พิมพ์ดีดได้ไหม ความเร็วเท่าไร
ผมเข้าเรียนปริญญาตรีในปี 2527
การเรียน :
- ใช้การฟังและจดเล็ดเชอร์ และอ่านหนังสือที่อาจารย์แนะนำ และ text sheet (ผลิตแบบโรเนียว) ที่คณะ บางคนใฝ่รู้ก็อ่านเพิ่มเติมแล้วมาสอบถามอาจารย์
- สมัยนั้นจนถึงสมัยนี้น่าจะมีบางอย่างที่เหมือนกัน กล่าวคือเด็กเก่งชอบนั่งแถวหน้า มีคำถามกับอาจารย์เสมอ เด็กไม่เก่งหรือปานกลางจะแย่งกันนั่งแถวหลัง และมักจะเรียนไปหลับไป บางคนมีกรน และตอนท้ายชั่วโมงหากใครถามมากๆ เพื่อนๆ แถวหลังจะหมั่นไส้ แต่อาจารย์มักอนุญาตให้ออกไปก่อน เพราะหมดคาบแล้ว
- วิชาที่เป็น class เล็ก คือ จำนวนผู้ลงทะเบียนเรียนไม่เยอะ อาจารย์บางท่านมีการเช็คชื่อผู้เข้าเรียน โดยให้เซ็นชื่อ ก็มีการเซ็นแทนกันบ่อย มีกรณีที่อาจารย์ดูรายชื่อแล้วเรียกถาม ปรากฏว่าเจ้าตัวไม่อยู่ ท่านก็ไม่ว่าไร แต่คงนึกเสียดายเงินแทนพ่อ-แม่
- ที่ขายข้าวส่งให้ควาย (รวมถึงตัวผม) เรียน
- อาจารย์บางท่านแนะนำว่า หากไม่อยากเข้าเรียน ก็ไม่ควรอ่านหนังสือและเลคเชอร์อย่างเดียว ควรค้นคว้าหาข้อมูลเพิ่มเติมด้วย
มีประเภทที่ชอบโดดเรียน แล้วไปขอสมุดเล็กเชอร์เพื่อนมาถ่ายเอกสาร หากเพื่อนใช้ปากกาหมึกสี ก็จะโดนด่า เพราะถ่านเอกสารแล้วสีจางมาก (เนรคุณจริงๆ) มีเรื่องขำขำว่า บางคนตอนวันรับปริญญาก็ไปไหว้เครื่องถ่ายเอกสาร และขอบคุณพนักงานถ่ายเอกสาร
การบ้าน :
- class ใหญ่ คือ จำนวนผู้ลงทะเบียนเรียนเยอะ ส่วนใหญ่อาจารย์จะ assigned ให้ไปค้นหาข้อมูลจากหนังสือ, text sheets และไปเยี่ยมชมสถานที่ (หากเป็นวิชาที่เกี่ยวข้องกับ อารยะธรรม, ประวัติศาสตร์ และ ศิลปะ
- class เล็ก ก็จะขอให้ทำสรุปสั้นๆ มาส่ง และนำมาแชร์หรืออภิปรายกัน
รายงาน :
ค้นหาข้อมูลจากห้องสมุดของมหาวิทยาลัย ในบางเรื่องอาจต้องไปที่ห้องสมุดของมหาวิทยาลัยอื่น text books ส่วนใหญ่เป็นภาษาอังกฤษ
บ้างเขียนด้วยลายมือ บ้างพิมพ์ดีด ผมใช้วิธีเขียวด้วยมือ เพราะไม่มีเงินไปจ้างเขาพิมพ์ บางคนที่บ้านมีเครื่องพิมพ์ดีด ก็ใช้การพิมพ์ บ้างก็ให้แฟนช่วยพิมพ์ หากมีเงินก็ไปจ้างเขาพิมพ์ หน้าละสิบบาท (ก๋วยเตี๋ยวและข้าวราดแกงที่แคนที่ชามละห้าบาท) ไม่ก็ไปขอใช้เครื่องของชมรม/ชุมนุมที่เป็นสมาชิก รูปภาพก็ถ่ายเอกสารแล้วเอามาแปะ
นิพนธ์/โป รเจ็ค/วิจัย :
- ค้นหาข้อมูล text, งานวิจัย และตัวอย่างวิทยานิพนธ์ที่อาจารย์แนะนำ แล้วไปค้นหาสืบเสาะจากห้องสมุดของมหาวิทยาลัย, สำนักหอสมุด และสถานที่ต่างๆ สมัยนั้นไม่มี internet และ search engines ต่างๆ
- หากเป็นงานวิจัย ก็ต้องทำแบบสอบถามตาม research methodology และลงพื้นที่ จะเขียนด้วยลายมือ หรือพิมพ์ดีดก็ได้ แต่ส่วนใหญ่จะใช้การพิมพ์ ไม่ว่าจะจิ้มเอง ให้แฟนพิมพ์ให้ หรือจ้างเขาพิมพ์ กลุ่มผมวิธีจ้างเขาพิมพ์
การสอบ
- มหาวิทยาลัยจะออกปฏิทินการสอบตั้งแต่ต้นปีการศึกษา
- พวกอัจฉริยะจะเข้าใจในสิ่งที่เรียน แค่เข้าเรียน และอ่านค้นคว้าเพิ่มเติม ก็สอบผ่าน ได้คะแนนสูงลิ่ว
- พวกปานกลางแต่ขยัน จะทบทวนสิ่งที่เรียนอย่างสม่ำเสมอ และเตรียมตัวก่อนสอบเป็นเวลานาน คะแนนอาจจะออกมาดีบ้าง ไม่ดีบ้าง แล้วแต่ capacity
- พวกปานกลางแต่ขี้เกียจ พวกนี้จะแม่นปฏิทินสอบมา จะโหมอ่านหนังสือทั้งคืน เพื่อไปสอบในวันถัดไป บางทีเจอสอบเช้า-บ่าย ก็เหนื่อย พวกนี้คะแนนออกว่าสวิง ตั้งแต่ A - D แต่น้อยรายจะได้ F ซึ่งส่วนใหญ่จะเพราะจำเวลาสอบผิด เช่น เขาสอบเช้า แต่ดันมาตอนบ่าย
- พวกที่ไม่รู้หน้าที่ของตัวเอง พวกนี้อ้างแต่สิทธิ แต่ไม่รู้หน้าที่ เห็นว่าการเรียนการสอนเป็นสิ่งที่คร่ำครึงมงาย ชอบไป copy ความคิดจากปรัชญาต่างๆ ตำรา Marxist (ไม่ใช่ Communist นะครับ) แล้วเอามาปรับใช้แบบเข้าข้างตนเอง ไม่เข้าเรียน ไม่ส่งการบ้าน ไม่ทำรายงาน ไม่ทำนิพนธ์/โปรเจ็ค/วิจัย และไม่ร่วมกิจกรรมนักศักษาด้วยกัน เพราเห็นว่า “ไม่ใช่” แต่ ก็ยังผลาญเงินพ่อแม่ต่อไป (ผมขอกราบขออภัยคนที่เป็นแบบนี้ - แต่หาเลี้ยงส่งเสียตนเอง)
พอจะมีกำลังใจเรียนหรือยังครับ
อุปกรณ์การเรียน
- สมุดเลคเชอร์ และปากกาหรือดินสอ บางคนอาจปากกา highlight เขาไว้เน้นข้อความให้ตัวเองงงเล่น
- เครื่องคิดเลข Casio ธรรมดาก็สุดเท่ห์แล้ว ส่วนเครื่องที่มี function SIN/COS/TAN, statistics และ finance นั้น จะเป็นของพวกเรียนสายวิทยาศาสตร์ วิศวกรรม สถิติ คอมพิวเตอร์ และบัญชี-การเงิน
- PC ตอนนั้นผมยังไม่รู้จัก แต่เพื่อที่เรียน business computer จะมีโอกาสได้ใช้ ครั้งละ 30 – 60 นาที ต้องจองเวลา ผมเรียนภาษา Fortran 77 (NASA ใช้ในการส่งจรวดไปอวกาศ นะ จะบอกให้) เป็น classroom training จะใช้เครื่องเพื่อเขียนโปรแกรมลงแผ่น disk ขนาด 8 นิ้ว ก็เพื่อส่งการบ้าน ก็ต้องไปจองคิว ได้ครั้งละ 30 นาที แล้วส่งให้เขา process อีก 3 จึงจะทราบผล แรกๆ จะออกมาสมัยนั้น
- เครื่องพิมพ์ดีด สมัยนั้น ราคา 3,000 – 8,000 บาท (ค่าลงทะเบียน+ค่าบำรุง 4 ปี ไม่นับค่าใช้จ่ายอื่นๆ ไม่เกิน 25,000 บาท) ใครมีใช้เป็นส่วนตัวนี่เท่ห์เหมือนคนมี MacBook เลยครับ รุ่นหัวกอล์ฟนี่แพงมาก แพงจนผมไม่คิดจะทราบราคา ส่วนพิมพ์ดีดไฟฟ้า ผมมารู้จักเมื่อทำงาน ผมทึ่งและมหัศจรรย์ใจกว่าเห็น iPhone และ iPad เสียอีก
- เวลาไปสมัครงาน เขาจะถามว่า พิมพ์ดีดได้ไหม ความเร็วเท่าไร
แสดงความคิดเห็น
พวกพี่ๆเรียนจบกันมาได้ยังไงครับ ในยุคที่ไม่มีคอมฯและเน็ต?