พระอาจารย์เหรียญ วรลาโภ
วัดอรัญญบรรพต
อ.ศรีเชียงใหม่ จ.หนองคาย
...
ถ้าบุคคลผู้เว้นจากการงานที่เป็นบาปเป็นโทษแล้วอย่างนี้
การทำอะไรก็เป็นประโยชน์ทั้งนั้นเลยอย่างนี้นะ
เช่นอย่างว่า เว้นจากการฆ่าสัตว์ เว้นจากลักทรัพย์
เว้นจากประพฤติผิดในกาม เว้นจากดื่มสุราเมรัย
กัญชา ยาฝิ่น เฮโรอีน ของเสพติดต่างๆให้โทษหมู่นี้
เมื่อเว้นจากกรรมชั่วทั้งหลายต่างๆเหล่านี้ได้แล้ว
ได้การทำการงานอย่างอื่นนี้ก็มันไม่เป็นบาปเป็นโทษอะไรเลยบัดนี้นะ
เป็นแต่ประโยชน์ตนประโยชน์ผู้อื่นทั้งนั้น
เหตุนั้นท่านถึงว่า "สัมมากันมันโต"เนี่ย ทำการงานชอบ
คือ เว้นจากทุจริต ๓-๔ ประการนั้นเสียแล้ว
มันก็ทำอะไรก็ไม่เป็นบาปเป็นโทษ
ต้องให้จำกัดลงอย่างนี้ความประพฤติทางกายนะ
ไม่ต้องไปเที่ยวสงสัยลังเลว่า ทำอะไรหนอมันเป็นบาป
บางคนทั้งที่ฟังธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าอยู่มากมายยังสงสัยอยู่ก็มี
ว่าทำอย่างนั้นมันจะเป็นบาปหรือไม่นอ หรือไม่เป็นบาปอย่างนี้นะ
ก็มันสงสัยเพราะว่ามันไม่ได้หยิบยกเอาเรื่องบาปเรื่องโทษ
มาพิจารณาในใจให้แน่นอนเรื่องมันน่ะ จำได้อยู่ปาณาติปาณาเวรมณี
อย่างนี้ก็จำได้ทุกคนแหละแต่แล้วเมื่อมันไม่ได้น้อมเข้ามา
พิจารณาในใจด้วยปัญญาแล้วมันก็ลืมเลือนไปนะ
แล้วมันก็จะไม่ค่อยรักษากายวาจา
เมื่อตนทำผิดพูดผิดไปแล้ว ในขณะที่ทำไม่รู้ตัว
เมื่อมารู้ตัวในภายหลัง เสียใจแล้วบัดนี้
เอ้อ เรานี่มันทำไปในสิ่งที่ไม่สมควรแล้ว ศีลเราขาดแล้ว
นี่เรียกว่า ผู้ปฏิบัติที่ยังไม่รอบคอบ ไอ้ผู้ไม่ปฏิบัตินั้น
มันไม่สะทกสะท้านอะไรหรอก มันจะทำผิดพูดผิดไปยังไง
มันก็ไม่สะดุ้งหวาดกลัว ไม่ตื่นตัว ไม่รังเกียจความประพฤติของตัวเอง
ยังถือว่าตนนั้นดีอยู่ร่ำไปอย่างนี้นะ นั่นเรียกว่า
คนไม่ปฏิบัติธรรมเสียเลยแหละอันนี้ ไม่สนใจที่จะปฏิบัติเลย
แต่คนที่สนใจปฏิบัตินี่ หมายความว่า ปฏิบัติไม่เอาจริงเอาจัง
ปฏิบัติครึ่งๆกลางๆ เขาว่าสมาทานศีลก็สมาทานไป
แล้วก็ไม่น้อมเอาข้อศีลต่างๆไปวินิจฉัยไปพิจารณา
ให้เห็นแจ่มแจ้งด้วยปัญญาของตนเอง
ว่าศีลแต่ละข้อนั้นล้วนตั้งแต่ส่งเสริมให้ตน
พ้นจากทุกข์ในอบายภูมิทั้งสี่ทั้งนั้นเลยอย่างนี้
เมื่อตนมีศีลทั้งห้าข้อนั้นด้วยดีแล้วนี่พูดถึงผู้ครองเรือนนะ
ก็มั่นใจอุ่นใจได้เลยน่ะว่าตนนั้นตายลงก็คงไม่ได้ไปนรก
เป็นเปรตเป็นอสุรกายเป็นสัตว์เดรัจฉานแน่นอนอย่างนี้
แม้การอทินนาทาน กาเม มุสา สุรา ก็เหมือนกันแหละ
สำรวมระวังไม่ล่วงเกินสิกขาบทเหล่านี้ได้แล้ว
ก็ไม่มีการกระทำอย่างอื่นพูดอย่างอื่น
มันก็ไม่มีบาปมีโทษอะไรเลย อย่างนี้นะ
...
ส่วนหนึ่งจากพระธรรมเทศนาหัวข้อ "ผู้อิ่มในธรรมย่อมไม่หวั่นไหว"
อยู่ในหลักศีล ๕ ทำการงานใดก็ไม่มีโทษ : หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ
พระอาจารย์เหรียญ วรลาโภ
วัดอรัญญบรรพต
อ.ศรีเชียงใหม่ จ.หนองคาย
...
ถ้าบุคคลผู้เว้นจากการงานที่เป็นบาปเป็นโทษแล้วอย่างนี้
การทำอะไรก็เป็นประโยชน์ทั้งนั้นเลยอย่างนี้นะ
เช่นอย่างว่า เว้นจากการฆ่าสัตว์ เว้นจากลักทรัพย์
เว้นจากประพฤติผิดในกาม เว้นจากดื่มสุราเมรัย
กัญชา ยาฝิ่น เฮโรอีน ของเสพติดต่างๆให้โทษหมู่นี้
เมื่อเว้นจากกรรมชั่วทั้งหลายต่างๆเหล่านี้ได้แล้ว
ได้การทำการงานอย่างอื่นนี้ก็มันไม่เป็นบาปเป็นโทษอะไรเลยบัดนี้นะ
เป็นแต่ประโยชน์ตนประโยชน์ผู้อื่นทั้งนั้น
เหตุนั้นท่านถึงว่า "สัมมากันมันโต"เนี่ย ทำการงานชอบ
คือ เว้นจากทุจริต ๓-๔ ประการนั้นเสียแล้ว
มันก็ทำอะไรก็ไม่เป็นบาปเป็นโทษ
ต้องให้จำกัดลงอย่างนี้ความประพฤติทางกายนะ
ไม่ต้องไปเที่ยวสงสัยลังเลว่า ทำอะไรหนอมันเป็นบาป
บางคนทั้งที่ฟังธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าอยู่มากมายยังสงสัยอยู่ก็มี
ว่าทำอย่างนั้นมันจะเป็นบาปหรือไม่นอ หรือไม่เป็นบาปอย่างนี้นะ
ก็มันสงสัยเพราะว่ามันไม่ได้หยิบยกเอาเรื่องบาปเรื่องโทษ
มาพิจารณาในใจให้แน่นอนเรื่องมันน่ะ จำได้อยู่ปาณาติปาณาเวรมณี
อย่างนี้ก็จำได้ทุกคนแหละแต่แล้วเมื่อมันไม่ได้น้อมเข้ามา
พิจารณาในใจด้วยปัญญาแล้วมันก็ลืมเลือนไปนะ
แล้วมันก็จะไม่ค่อยรักษากายวาจา
เมื่อตนทำผิดพูดผิดไปแล้ว ในขณะที่ทำไม่รู้ตัว
เมื่อมารู้ตัวในภายหลัง เสียใจแล้วบัดนี้
เอ้อ เรานี่มันทำไปในสิ่งที่ไม่สมควรแล้ว ศีลเราขาดแล้ว
นี่เรียกว่า ผู้ปฏิบัติที่ยังไม่รอบคอบ ไอ้ผู้ไม่ปฏิบัตินั้น
มันไม่สะทกสะท้านอะไรหรอก มันจะทำผิดพูดผิดไปยังไง
มันก็ไม่สะดุ้งหวาดกลัว ไม่ตื่นตัว ไม่รังเกียจความประพฤติของตัวเอง
ยังถือว่าตนนั้นดีอยู่ร่ำไปอย่างนี้นะ นั่นเรียกว่า
คนไม่ปฏิบัติธรรมเสียเลยแหละอันนี้ ไม่สนใจที่จะปฏิบัติเลย
แต่คนที่สนใจปฏิบัตินี่ หมายความว่า ปฏิบัติไม่เอาจริงเอาจัง
ปฏิบัติครึ่งๆกลางๆ เขาว่าสมาทานศีลก็สมาทานไป
แล้วก็ไม่น้อมเอาข้อศีลต่างๆไปวินิจฉัยไปพิจารณา
ให้เห็นแจ่มแจ้งด้วยปัญญาของตนเอง
ว่าศีลแต่ละข้อนั้นล้วนตั้งแต่ส่งเสริมให้ตน
พ้นจากทุกข์ในอบายภูมิทั้งสี่ทั้งนั้นเลยอย่างนี้
เมื่อตนมีศีลทั้งห้าข้อนั้นด้วยดีแล้วนี่พูดถึงผู้ครองเรือนนะ
ก็มั่นใจอุ่นใจได้เลยน่ะว่าตนนั้นตายลงก็คงไม่ได้ไปนรก
เป็นเปรตเป็นอสุรกายเป็นสัตว์เดรัจฉานแน่นอนอย่างนี้
แม้การอทินนาทาน กาเม มุสา สุรา ก็เหมือนกันแหละ
สำรวมระวังไม่ล่วงเกินสิกขาบทเหล่านี้ได้แล้ว
ก็ไม่มีการกระทำอย่างอื่นพูดอย่างอื่น
มันก็ไม่มีบาปมีโทษอะไรเลย อย่างนี้นะ
...
ส่วนหนึ่งจากพระธรรมเทศนาหัวข้อ "ผู้อิ่มในธรรมย่อมไม่หวั่นไหว"