เมื่อผมเป็นครู ๑๐ ก.ย.๕๘

กระทู้สนทนา
เรื่องสั้น ชุดฉากชีวิต

เมื่อผมเป็นครู

เพทาย


สำหรับบ้านของเรา ลูกระเบิดที่ตกใกล้ที่สุด ห่างจากบ้านไปเพียงสองหลัง แต่เป็นที่ว่างไม่มีใครปลูกบ้าน มันขุดเอาดินดาน
มาทุ่มใส่หลังคาบ้านเรา ประกอบกับการกระเทือนจากแผ่นดิน กระเบื้องหลังคาแตกเห็นท้องฟ้าแพรวพราย

และเพื่อนเด็กชายคนหนึ่ง อายุรุ่นราวคราวเดียวกัน อยู่บ้านถัดไปสองซอย ได้เสียชีวิตในหลุมหลบภัย เพราะลูกระเบิดตกใกล้
ถูกดินบีบอัดคาหลุม

พ.ศ.๒๔๘๗ นี้ เมื่อโรงเรียนเปิดผมก็ขึ้นไปเรียนชั้น ม.๕ แต่เรียนไปได้ไม่เท่าไร จำได้ว่าท่องบทพิสูจน์เรขาคณิต ยังไม่ถึงครึ่งเล่มโรงเรียนก็ปิดอีก
คราวนี้ไม่มีกำหนดเปิด ให้นักเรียนไปหาที่เรียนต่อเอาเอง เพื่อนร่วมชั้นเขามีบ้านนอกจะกลับ เขาก็ไปเรียนที่บ้านเขา
ผมเป็นคนกรุงเทพ ไม่มีที่จะไป และโรงเรียนในกรุงเทพก็ปิดหมด

โรงเรียนปิดมาจนขึ้น พ.ศ.๒๔๘๘ เดือนพฤษภาคม ก็ยังไม่เปิดเรียน
ที่บ้านเราได้ค่าเล่าเรียนจากผู้ปกครองเด็กชั้นประถม ที่เปิดสอนใต้ถุนบ้าน เพียงเล็กน้อยพอดำรงชีพอยู่ได้
แต่มีภัยทางอากาศมากเหลือเกิน จนแม่ไม่ได้บันทึกถึงการดำเนินชีวิตในครอบครัวเลย
จดไว้แต่เรื่องการโจมตีทางอากาศล้วน ๆ

สรุปว่า พ.ศ.๒๔๘๗ มีหวอรวม ๒๗ ครั้ง ที่รุนแรงมากจนจำฝังใจ นอกจากวัน วิสาขบูชาแล้ว
ก็คือ ๒๗ พฤศจิกายน เวลา ๑๐.๓๐ – ๑๔.๐๐ น. มีเครื่องบินเข้ามาในพระนคร ๗๒ ลำ ชนิดสี่เครื่องยนต์
ทิ้งระเบิดที่ตลาดเทเวศร์ กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม ใกล้แยกสี่เสา (ใบพร) เทเวศร์ และ ย่านชุมทางรถไฟบางซื่อ

๒ ธันวาคม เวลา ๒๔.๐๐ – ๐๓.๐๐ น. เครื่องบินผ่าน ๗ ลำ ทิ้งระเบิดบางโพ วัดสร้อยทอง สะพานพระราม ๖
สะพานพระพุทธยอดฟ้า ท่าเตียน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และการเมือง ซึ่งเข้าใจว่าจุดหมายคือ สะพานข้ามแม่น้ำทั้งสองแห่ง
เฉพาะที่สะพานพระราม ๖ เป็นระเบิดเวลา (ที่เคยเล่าไว้แล้ว) ระเบิดเป็นระยะติดต่อกันตลอดคืน

เป้าหมายนี้ตามมาซ้ำ เมื่อ ๑๔ ธันวาคม เวลา ๑๐.๐๐ น. มีเครื่องบินเข้ามา ๔๐ ลำ ทิ้งระเบิด สะพานพระราม ๖ วงเวียนเล็ก
และวัดประยูรวงศาวาส ใกล้สะพานพระพุทธยอดฟ้า ฝั่งธนบุรี

เหตุการณ์บ้านเมืองที่สำคัญในปีนี้ก็คือ นายกรัฐมนตรี จอมพล ป.พิบูลสงคราม ได้แพ้คะแนนในสภา จึงต้องลาออกจาก
ตำแหน่ง และผู้แทนราษฎรก็ลงมติให้ นายควง อภัยวงศ์ เป็นนายกรัฐมนตรีสืบต่อไป จึงเป็นเวลาหน้าสิ่วหน้าขวาน

สงครามมหาเอเชียบูรพาหรือสงครามโลกครั้ง ที่ ๒ มาถึงยกสุดท้ายแล้ว
นายควง อภัยวงศ์ เมื่อรับหน้าที่แล้วก็ได้เดินทางไปเจรจากับท่านจอมพล เพื่อขอให้ช่วยกันรักษาบ้านเมือง
อย่าให้มีเรื่องบาดหมางระหว่างไทยด้วยกัน จนทหารญี่ปุ่นเข้ามาแทรกแซงซ้ำเติมได้

แล้วท่านนายกใหม่ก็เลิกระบบใหม่ทั้งหลาย ที่นายกเก่าตั้งขึ้นไว้ เช่นการสวมหมวก การห้ามกินหมาก
การปรับปรุงอักษรไทย จนภาษาไทยวิปริต ฯลฯ ทั้งหมด ประชาชนที่อึดอัดมานาน ก็มีความยินดีโดยทั่วกัน

บ้านเมืองเดินหน้าฝ่าภัยสงครามมาจนถึง พ.ศ.๒๔๘๘ มีหวอตั้งแต่เดือนมกราคม ถึง เดือนเมษายน รวม ๔๘ ครั้ง
ทำลายสถานที่สำคัญในพระนคร หลายแห่ง

เช่น วันเสาร์ที่ ๑๔ เมษายน เวลา ๑๕.๐๐ – ๑๗.๐๐ น. โรงไฟฟ้าวัดเลียบ ใกล้สะพานพุทธฯ และโรงไฟฟ้าสามเสน ศรีย่าน แหลกหมด

สำหรับโรงไฟฟ้าสามเสนนี้ ผมยืนมองจากระเบียงบ้าน เห็นเครื่องบินเลาะลำแม่น้ำมาจากทางใต้ จึงไม่กลัว เขาปลดลูกระเบิด ตั้งแต่วัดส้มเกลี้ยง
เห็นลอยลงมาเรียงยังกับนิ้วมือ พอลับตาไปก็มีเสียงระเบิดดังเป็นกลุ่มก้อน คือไม่ใช่ดังทีละบึ้ม
เหลียวมองไปอีกที ปล่องสูงของโรงไฟฟ้าที่เคยเห็นอยู่ทุกวัน ได้หายไปจากสายตาแล้ว

แม่บันทึกว่า ต่อไปนี้ จังหวัดพระนครจะไม่มีไฟฟ้าใช้ ถ้าเดือนมืดถนนจะมืดตื๋อ รถรางไม่มีเดิน น้ำประปาไม่มีกิน หนังละครไม่ได้เล่น
โรงงานต้องหยุดทำ จักรยานสามล้อ เที่ยวละ ๕-๑๐ บาท น้ำคลองหาบละ ๕๐ ส.ต.ถึง ๑ บาทไม้ขีดกลักละ ๑ บาท

น้ำมันก๊าสขวดละ ๘ บาท ปี๊บละ ๔๐๐ บาท แล้วยังหาซื้อยาก ต้องใช้น้ำมันมะพร้าวหรือน้ำมันหมูแทน และไม่มีหวอบอกสัญญาณภัยด้วย
ต้องใช้รถดับเพลิงเปิดไซเรนแล่นผ่านถนนต่าง ๆ ได้ยินบ้างไม่ได้ยินบ้าง

ครั้งที่สำคัญอีกครั้งหนึ่งก็คือ วันจันทร์ที่ ๑๘ มิถุนายน ๒๔๘๘ เวลา ๑๓.๐๐ – ๑๕.๐๐ น. มีป้อมบิน ๓ ลำ บินผ่านท้องสนามหลวงต่ำมาก
ส่งยารักษาโรคจากอเมริกามากำนัล ๑๘ ถุง ผูกกับร่มชูชีพหย่อนลงกลางสนามหลวง
มีเครื่องบินมัสแตงลำตัวแฝด แปดลำเป็นเครื่องขับไล่คุ้มกัน
มีการยิงขู่ ร.ล.วิรุณ เรือดำน้ำที่จอดเทียบท่าราชวรดิษฐ์ และเตรียมพร้อมประจำสถานีรบ ลูกกระสุนนัดหนึ่งเฉียดกระบอกปืนใหญ่ประจำเรือขนาดสามนิ้วแหว่งไปนิดหนึ่ง

และมีการทิ้งใบปลิวบอกว่า ส่งยามาช่วยโรงพยาบาลไทย ได้อ่านจากเอกสารภายหลังว่า มีหน่วยที่ไปเก็บถุงเวชภัณฑ์สองหน่วย
คือหน่วยกองพลรักษาพระนคร ซึ่งเป็นเสรีไทยของกองทัพบก กับหน่วยของเสรีไทยสายพลเรือน แต่เมื่อทหารญี่ปุ่นมาถึง ก็ไม่เห็นร่อยรอยแล้ว

ท่านนายกรัฐมนตรี นายควง อภัยวงศ์ เคยเล่าว่า ผู้บัญชากาทหารญี่ปุ่นประจำประเทศไทยได้ประชดว่า ท่านไม่สบายก็ใช้ยาของอเมริกันซิ

แม่ก็ไม่ได้สอนหนังสือที่โรงเรียน จึงเปิดสอนเด็กระดับประถม ที่ม้านั่งใต้ถุนบ้าน

มีเด็กเล็ก ๆ ที่ไม่ได้อพยพไปต่างจังหวัด มาสมัครเรียนนับสิบคน พ.ศ.๒๔๘๗ มี ๗ คน
สอนเลยไปจนขึ้น พ.ศ.๒๔๘๘ จำนวนสุดท้าย ๓๒ คน คงมีที่ออกไปและที่เข้ามาใหม่ด้วย ไม่ได้สอนพร้อมกันทั้ง ๓๒ คน
ผมมีความรู้จบ ม.๔ ก็ได้เป็นครูผู้ช่วยสอน ตั้งแต่จับมือเขียน ก.ไก่ ข.ไข่ บวกเลขตัวเดียว ผันอักษร กลาง สูง ต่ำ และอ่านแบบเรียนเร็ว

“ ตาดีมือแป แกไปนาตาขำ ไปเจอะตาขำ กำลังไถนา ตัวเลอะเทอะ ฯลฯ “

นักเรียนผ่านมาให้ผบจับมือเขียนกอขอกอกานี้ เมื่อผมเกษียณอายุราชการ
เด็กหญิงคนหนึ่ง ได้เป็นคุณหญิง ภรรยาแม่ทัพภาค แต่ต่อมาถึงแก่กรรมด้วยโรคมะเร็ง
เด็กผู้ชายคนหนึ่ง เป็น พลเรือโท หลังเกษียณอายุราชการหลายปี ได้เจอกันที่ร้ายกาแฟในสวนอ้อย ยังทักทายกันดี

และเด็กผู้ชายอีกคนหนึ่ง เป็นหัวหน้ากองหนึ่งในสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์
นายคนหลังนี้กินเบียร์กับผม ตั้งแต่ยังรับราชการ จนเกษียณมาทันผมจนได้


#########

ตัดตอนมาจาก เรื่อง ชีวิตระหว่างสงคราม ของ พ.สมานคุรุกรรม
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่