คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 7
ผมก็เลยสงสัยว่า แล้วทำไมคนยิงถึงไม่เป็นอะไรเลย ทั้งๆ ที่ Action = Reaction คนยิงก็ต้องรับแรงไปพอๆ กับ
หรือมากกว่าคนถูกยิงด้วย (ถ้าคิดเรื่องความเสียดทานของอากาศ)
เป็นเพราะว่า แรงระเบิดจากกระสุนปืน นั้น ได้ถูกถ่ายไปสู่ลูกปืน (Bullet) ที่เบากว่าตัวปืนหลายเท่ามากครับ
เช่น ปืน 9 มม. Beretta 92FS ตัวปืนหนัก 970 กรัม เมื่อยิงออกไปแล้ว แรง Action จะกระทำต่อลูกปืน
ที่หนักเพียง 7.45 กรัม เท่านั้น (น้อยกว่า นน.ปืน 204 เท่า) ดังนั้น แรง Reaction ที่จะกระทำต่อน้ำหนักปืน 970 กรัม
และยังมีความยืดหยุ่นของแขนของผู้ยิงด้วย ทำให้อัตราการเปลี่ยนโมเมนตัม และ แรงดล (Impulse force) นั้น มีน้อยครับ
แรงนี้คือเป็นแรง Recoil ซึ่งแรงไม่มากที่จะเป็นอันตรายครับ
ถ้าพูดถึงพื้นที่ที่ถูกกระทำ คนยิง จะมีพื้นที่รับแรงมากกว่าคนถูกยิง เพราะคนยิงใช้พื้นที่ทั้งอุ้งมือจับปืน
ส่วนคนถูกยิง พื้นที่รับแรง เท่ากับพื้นที่หน้าตัดกระสุน ซึ่งเล็กกว่ามาก อันนี้เข้าใจได้
อันนี้ไม่ถูกต้องครับ .... เพราะแรง Reaction จากการส่งลูกปืนออกไป จะกระทำกลับมาต่อตัวปืน อุ้งมือ แขน
ทำให้พื้นที่รับแรง และ delta T ในการเปลี่ยนแปลงโมเมนตัม มีค่ามากครับ นี่เองที่ทำให้แรง recoil ที่ผู้ยิงได้รับ นั้น ไม่อันตราย
แต่สำหรับคนที่ใส่เสื้อเกราะกันกระสุน พื้นที่รับแรงก็น่าจะไม่ต่างกับพื้นที่อุ้งมือมาก
แต่ทำไมคนถูกยิง ก็ยังคงช้ำกว่าคนยิงมาก ยิ่งถ้ามีการยิงซ้ำๆ กันหลายนัดด้วย
เป็นเพราะว่า พลังงานจากลูกปืนนี้จะถูกถ่ายทอดไปยังเสื้อเกราะที่มีระยะ S และค่า delta T
ในการเปลี่ยนแปลงโมเมนตัมที่มีค่า น้อย ครับ แค่เสื้อเกราะบาง ๆ และ เวลา delta T
ในการหยุดพลังงานลูกปืนมีค่านิดเดียว แรงดลที่เกิดขึ้นต่อร่างกาย ณ จุดสัมผัสจึงมีค่ามาก
ต่างจากผู้ยิง ที่มีน้ำหนักปืนคอยเป็น buffer รวมทั้งความยืดหยุ่นของอุ้งมือ แขน ทำให้เกิดระยะรับแรง S
และค่า delta T มากกว่าผู้ถูกยิงเยอะเลย
หรือมากกว่าคนถูกยิงด้วย (ถ้าคิดเรื่องความเสียดทานของอากาศ)
เป็นเพราะว่า แรงระเบิดจากกระสุนปืน นั้น ได้ถูกถ่ายไปสู่ลูกปืน (Bullet) ที่เบากว่าตัวปืนหลายเท่ามากครับ
เช่น ปืน 9 มม. Beretta 92FS ตัวปืนหนัก 970 กรัม เมื่อยิงออกไปแล้ว แรง Action จะกระทำต่อลูกปืน
ที่หนักเพียง 7.45 กรัม เท่านั้น (น้อยกว่า นน.ปืน 204 เท่า) ดังนั้น แรง Reaction ที่จะกระทำต่อน้ำหนักปืน 970 กรัม
และยังมีความยืดหยุ่นของแขนของผู้ยิงด้วย ทำให้อัตราการเปลี่ยนโมเมนตัม และ แรงดล (Impulse force) นั้น มีน้อยครับ
แรงนี้คือเป็นแรง Recoil ซึ่งแรงไม่มากที่จะเป็นอันตรายครับ
ถ้าพูดถึงพื้นที่ที่ถูกกระทำ คนยิง จะมีพื้นที่รับแรงมากกว่าคนถูกยิง เพราะคนยิงใช้พื้นที่ทั้งอุ้งมือจับปืน
ส่วนคนถูกยิง พื้นที่รับแรง เท่ากับพื้นที่หน้าตัดกระสุน ซึ่งเล็กกว่ามาก อันนี้เข้าใจได้
อันนี้ไม่ถูกต้องครับ .... เพราะแรง Reaction จากการส่งลูกปืนออกไป จะกระทำกลับมาต่อตัวปืน อุ้งมือ แขน
ทำให้พื้นที่รับแรง และ delta T ในการเปลี่ยนแปลงโมเมนตัม มีค่ามากครับ นี่เองที่ทำให้แรง recoil ที่ผู้ยิงได้รับ นั้น ไม่อันตราย
แต่สำหรับคนที่ใส่เสื้อเกราะกันกระสุน พื้นที่รับแรงก็น่าจะไม่ต่างกับพื้นที่อุ้งมือมาก
แต่ทำไมคนถูกยิง ก็ยังคงช้ำกว่าคนยิงมาก ยิ่งถ้ามีการยิงซ้ำๆ กันหลายนัดด้วย
เป็นเพราะว่า พลังงานจากลูกปืนนี้จะถูกถ่ายทอดไปยังเสื้อเกราะที่มีระยะ S และค่า delta T
ในการเปลี่ยนแปลงโมเมนตัมที่มีค่า น้อย ครับ แค่เสื้อเกราะบาง ๆ และ เวลา delta T
ในการหยุดพลังงานลูกปืนมีค่านิดเดียว แรงดลที่เกิดขึ้นต่อร่างกาย ณ จุดสัมผัสจึงมีค่ามาก
ต่างจากผู้ยิง ที่มีน้ำหนักปืนคอยเป็น buffer รวมทั้งความยืดหยุ่นของอุ้งมือ แขน ทำให้เกิดระยะรับแรง S
และค่า delta T มากกว่าผู้ถูกยิงเยอะเลย
แสดงความคิดเห็น
ได้อ่านกระทู้แนะนำเรื่องกระสุนปืน เลยมีคำถามเพิ่มเติมเรื่องการยิงปืนครับ
แสดงให้เห็นชัดเจนว่าพลังงานที่กระสุนส่งให้ปืน สูงพอที่จะทำให้คนถูกยิงบาดเจ็บ ถึงตายได้ในนัดเดียว
ผมก็เลยสงสัยว่า แล้วทำไมคนยิงถึงไม่เป็นอะไรเลย ทั้งๆ ที่ Action = Reaction คนยิงก็ต้องรับแรงไปพอๆ กับ หรือมากกว่าคนถูกยิงด้วย (ถ้าคิดเรื่องความเสียดทานของอากาศ)
ถ้าพูดถึงพื้นที่ที่ถูกกระทำ คนยิง จะมีพื้นที่รับแรงมากกว่าคนถูกยิง เพราะคนยิงใช้พื้นที่ทั้งอุ้งมือจับปืน ส่วนคนถูกยิง พื้นที่รับแรง เท่ากับพื้นที่หน้าตัดกระสุน ซึ่งเล็กกว่ามาก อันนี้เข้าใจได้
แต่สำหรับคนที่ใส่เสื้อเกราะกันกระสุน พื้นที่รับแรงก็น่าจะไม่ต่างกับพื้นที่อุ้งมือมาก แต่ทำไมคนถูกยิง ก็ยังคงช้ำกว่าคนยิงมาก ยิ่งถ้ามีการยิงซ้ำๆ กันหลายนัดด้วย