ถ้าหนังเรื่อง “ยอดมนุษย์เงินเดือน” คือ หนังที่ตีแผ่ชีวิตมนุษย์เงินเดือน (Super Salaryman) ได้เป็นอย่างดี จนเราต้องย้อนกลับมาตระหนักคิดว่าสิ่งที่คนทำงานเป็นมนุษย์เงินเดือนกำลังทำอยู่ตอนนี้เพื่ออะไร ส่วนตัวผมมีความเห็นว่าหนังเรื่องนี้ (ยอดมนุษย์เงินเดือน) เหมาะมากสำหรับใช้สอนในวิชาแนะแนว (ถ้าตอนนี้ยังมี) สำหรับน้องนักศึกษาที่กำลังจะเรียนจบ เคยผ่านการฝึกงานมาแล้วตอนปี 3 เป็น shortcut ให้แก่น้องๆ ว่าเรียนจบไปจะเจอกับอะไร มันใช่ทางที่เราคาดหวังหรือไม่
ถ้ายังพอจำได้ “ตัวเอกฝ่ายหญิง” (ไม่ขอเรียกว่านางเอกเพราะไม่ได้คู่กับพระเอกแบบจริงจัง) เลือกที่จะเดินตามความฝันตนเอง
แต่โลกที่แท้จริงมันมีอะไรมากกว่านั้น และมันกำลังถูกนำเสนอโดยเรื่องนี้
“Freelance ห้ามป่วย ห้ามพัก ห้ามรักหมอ”
ผมจะไม่ขอเล่าว่าหนังดำเนินเรื่องอย่างไร บทเป็นยังไง นักแสดงทำหน้าที่ตนเองได้ดีไหม แต่จะขอเล่าว่าผม Observe ได้อะไร คิดอะไรได้จากการดูหนังเรื่องนี้นะครับ ประเด็นที่อยากจะนำเสนอ คือ
1. ถ้าไม่มี “เก่ง” พอ คุณก็ต้องดิ้นรนต่อไป
หนังชี้ให้เราเห็นความรุนแรงของการแข่งขันในยุคปัจจุบันที่ไม่เว้นแม้แต่อาชีพอิสระ แม้คุณจะเป็น Freelance คุณก็ยังต้องแข่งขัน หลายๆคนอยากจะทำอาชีพนี้ เพราะรู้สึกว่ามันอิสระ ไม่ต้องอยู่ในกรอบ แต่หารู้ไม่ว่าโลกแห่งความเป็นจริงที่ทุกคนต้องทำ “บางสิ่ง” เพื่อแลกกับ “หนึ่งสิ่ง” ที่เรียกว่า “เงิน” ไม่ว่ามันจะอยู่ในรูปของค่าจ้าง ค่าแรง หรืออะไรก็แล้วแต่ คุณก็ต้องมี “ลูกค้า” ที่มักมีอำนาจเหนือว่าคุณเสมอ ในการทำอาชีพมนุษย์เงินเดือน ลูกค้าจริงๆ ก็คือสิ่งที่เราจะต้องเจอ เราก็ยังจะมี “ลูกค้า” ภายใน เช่น หัวหน้างาน ผู้จัดการ เพื่อนร่วมงานที่ทำงานต่อจากเรา ในขณะเดียวกันแน่นอนว่าอาชีพ Freelance ก็ยังต้องเจอกับลูกค้าเช่นกัน และลูกค้านี้แหละที่มีผลกระทบต่อตัวเราอย่างรุนแรง แทบจะชี้เป็นชี้ตายเราได้ มากกว่าการเป็นมนุษย์เงินเดือนเสียด้วยซ้ำ (ถ้าไม่ซื้อ – ไม่มีเงิน – ไม่มีข้าวกิน – ตาย) นี่แหละคือ “กรอบ” ที่ทุกคนต้องเผชิญไม่เว้นแม้แต่ Freelance ก็ตาม
ดังนั้น หนทางที่จะอยู่รอดในเส้นทางนี้ คือ คุณจะต้องมีสิ่งที่ “เหนือ” กว่าคนอื่น อาจเป็น Speed ทักษะ ความรู้ หรืออะไรก็แล้วแต่ที่คุณสามารถทำให้คุณแตกต่างจากคนอื่นได้ เป็นเหตุผลที่ว่าทำไมเค้าถึงจะต้องจ้างคุณ ไม่ไปจ้างคนอื่น ซึ่งหนังแสดงให้เราเห็นว่า “Speed” คือ สิ่งที่ลูกค้าต้องการจากตัวเอก หรือแม้แต่เด็กหน้าใหม่ (หนังพูดถึงความ “ถึก” หลายๆ ครั้ง ซึ่งถึกก็คือการอดทนทำงานอย่างหนักหน่วงนั่นเอง) การทำงานภายใต้กำหนดเวลา คือสิ่งที่สำคัญที่สุดที่ลูกค้าในเรื่องนี้ต้องการ (ลูกค้าทุกๆคนก็เช่นกัน) และสิ่งนี้ได้ส่งผลกระทบต่อตัวเอกอย่างใหญ่หลวง เพราะถ้าเค้าไม่รับงาน ลูกค้าก็จะไปหาคนอื่น Speed จึงเป็นสิ่งที่สามารถหากันได้ทั่วไป จนสุดท้ายเค้าต้องขอยืมเวลาในอนาคตมาใช้ จากร่างกายผู้เป็นเจ้าของเวลา และแล้วในตอนท้าย ร่างกายก็บอกว่าจะไม่ให้ยืมอีกต่อไป ถึงเวลาที่จะต้องคืนเวลามาแล้วนะ เมื่ออายุมากขึ้น ความถึกก็ลดลงแปรผกผันกัน
ผมอยากให้ลองคิดดูว่าหากเราสามารถสร้างสิ่งที่เราทำได้คนเดียว มีได้คนเดียวเท่านั้น คนอื่นไม่มี เลียนแบบได้ยาก จนแทนที่เราต้องง้อลูกค้า กลับมาเป็นลูกค้าต้องง้อเรา หนังเรื่องนี้ก็แทบจะไม่เกิดขึ้น เพราะเมื่อเรามีอำนาจต่อรองเหนือกว่า เราก็สามารถจะบริหารเวลาได้ จัดการชีวิตได้เอง เพราะยังไงลูกค้าก็ไม่ไปไหน มีงานเข้ามาอยู่ตลอด ศัพท์ทางธุรกิจเรียกว่า Value Proposition หรือ “คุณค่า” ที่ลูกค้าต้องการนั่นแหละครับ จนลูกค้านั่นแหละที่จะต้องเป็นผู้บริหารเวลาแทนเรา ไม่สามารถมาสั่งงานด่วนๆ ได้อีกต่อไป และไปให้คนอื่นทำก็ไม่ได้เพราะเราทำได้คนเดียวเท่านั้น ไอ้การหาสิ่งที่เราทำได้แล้วคนอื่นทำไม่ได้นี้แหละ สามารถนำไปใช้ได้กับหลายๆ กรณี ไม่ว่าคุณจะเป็น Freelance เป็นมนุษย์เงินเดือน หรือเป็นเจ้าของกิจการ เพื่อตอบสนองต่อ “ลูกค้า” ของคน เช่น เป็นพนักงานที่ทำงานเกี่ยวกับ “สิ่งที่ทำได้ยาก” ไม่ค่อยมีใครทำได้ในองค์กร หรือในตลาดแรงงาน องค์กรก็จำต้องง้อคุณไว้ให้ทำงานกับเค้าต่อไป เรื่อง Career ก็แทบจะไม่ต้องไปคิด ยังไงก็ไปได้ไกล และแน่นอนเงินเดือนก็ต้องแพงเช่นกัน
2. ความสุขที่แท้จริงจากการทำงาน
จริงอยู่ว่ายุ่นก็ตกเป็นส่วนหนึ่งของระบบทุนนิยมที่โดนระบบนี้กลืนกินอย่างไม่รู้ตัว ทุนนิยมที่ให้ความสำคัญกับ “เวลา” ดังนั้น “ข้อห้าม” จึงมีเข้ามาเพื่อรักษาให้ “เวลา” เป็นสิ่งที่ยังคงสำคัญที่สุด ดังชื่อหนัง “ห้ามป่วย” “ห้ามพัก” “ห้ามรัก” (เพราะรักจะทำให้เสียเวลาทำงาน) อย่างไรก็ดี จากคำพูดในหนังประมาณว่า “ผมไม่รู้สึกว่ามันลำบากที่ได้ทำงาน” (จำไม่ค่อยได้) ของเขาได้ตอกย้ำแนวคิดที่ว่า “ความสุขที่แท้จริง คือ ความสุขจากการทำงานที่ตนเองชอบ” ยุ่นได้ทำงานที่ตนเองชอบ เขาจึงไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อยหรือไม่อยากทำ เขามีความสุขตลอดเวลาที่ได้ทำมัน แม้ว่าจะอดหลับอดนอน การทำสิ่งอื่นที่ไม่ใช่งานเป็นเครื่องขัดขวางความสุขของเขา ทำให้เขา “เสียเวลา” ที่จะไปมีความสุขกับงานที่ทำ ประเด็นนี้สอนให้เรารู้ว่าความสุขที่แท้จริงนั้นไม่ได้หายาก แต่มันคือการได้ทำสิ่งที่ชอบ ให้มันเป็นงานที่เราสามารถหาเลี้ยงตัวเองได้ ผมขอยกคำสอนของท่านพุทธทาสเรื่อง “ศิลปะแห่งการครองชีวิตในแง่การทำงาน” ตอนหนึ่งว่า ”คนยังโง่มากที่ไม่รักการงาน เดี๋ยวนี้ทำด้วยความจำเป็นบังคับ มันก็คือตกนรกนั่นเอง ฉะนั้น ทุกคนตกนรกอยู่ตลอดเวลา คือต้องทำการงานด้วยการฝืนความรู้สึก มันไม่อยากทำงานก็ต้องไปออฟฟิต เพราะว่าต้องเบิกเงินเดือนมากิน ถ้าไม่ทำงานมันไม่มีเงินเดือน อย่างนี้เป็นต้น มันต้องทนทำงาน ทนไปทำงานนั้นคือการตกนรก นี่คนโง่จะต้องตกนรกการงาน ตลอดปีตลอดชาติ”
ในประเด็นนี้ ยังย้อนแย้งต่อระบบทุนนิยม ที่สร้างให้เราเห็นถึง “ความสุขจากการบริโภค (บริโภคนิยม)” ว่าต้องบริโภคจึงจะมีความสุข ต้องกิน ต้องซื้อ ต้องใช้ อันจะเห็นได้จากกระแสในปัจจุบัน เลิกงานต้อง Hang out วันหยุดต้องไปเที่ยวที่ชิคๆ ต้องกินกาแฟดีๆ (ทั้งที่เนสกาแฟ กระป๋องละ 13 บาทก็ถ่างตาเราได้เหมือนกัน) เครียดต้องไปช้อปปิ้ง เป็นต้น แม้ว่ายุ่นจะโดนระบบนี้กลืนกินแต่เขาเองก็มีแนวทางการใช้ชีวิตที่ฉีกไปจากระบบนี้ได้อย่างชัดเจน อันมีจุดกำเนิดมาจาก “การได้ทำงานที่ตนเองรัก” เขาไม่จำเป็นต้องกินอาหารดีๆ แพงๆ (แต่เกี๊ยวกุ้งเยาวราชมันก็ดีอยู่นะ) ไม่ต้องเดินสยาม ไม่ต้องใส่เสื้อผ้าแพงๆ เขาก็สามารถมีความสุขได้แล้ว ชนิดที่ว่าไม่จำเป็นต้องมีแฟนก็ได้จนมาพบหมออิมนั่นเอง
คนเราจึงควรค้นหาในสิ่งที่ตนเองชอบให้เจอ แล้วทำมันให้สุด ถ้าเป็นไปได้ก็ทำให้มันมาเครื่องมือในการหาเลี้ยงปากเลี้ยงท้องของเราให้ได้ ชอบเตะฟุตบอล ต้องเป็นฟุตบอลอาชีพให้ได้ ชอบร้องเพลง ต้องเป็นนักร้องอาชีพให้ได้ เมื่อทำงานด้วยความชอบ มันจะออกมาดี แล้วทุกอย่างจะเข้ามาเองไม่ว่าจะเป็นชื่อเสียง เงินทอง แต่ในทางกลับกันคนเราน้อยคนนักที่จะสามารถได้ทำงาน = ได้ทำในสิ่งที่ตนเองชอบ ยิ่งไปกว่านั้นคือ มีคนจำนวนไม่น้อยที่ไม่รู้ว่าตนเองชอบอะไร
3. ทางสายกลาง
ในบรรทัดบนๆ ผมได้เขียนว่ายุ่นได้ทำงานที่ตนเองชอบ เขาจึงไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อยหรือไม่อยากทำ แต่ประเด็นของหนังที่เกิดขึ้น ผมคิดว่า “แก่น” ของมันมาจาก “การบริหารเวลา” ที่ล้มเหลวของเขา นอกจากยุ่นติดกับดักของระบบทุนนิยม และเขายังติดกับดักในความหลงใหลจากความสุขที่ได้รับจากการทำงาน จนละเลยสิ่งต่างๆ ในชีวิตไปทั้งหมด ชนิดที่ว่ายกมือขวาขึ้นมานับนิ้วยังเหลือเลยว่าจะให้ใครมางานศพตัวเองดี การคิดว่าจะเอาชนะขีดจำกัดที่ไม่สามารถเอาชนะได้ ที่เรียกได้ว่าร่างกายเป็นการ “เห็นผิดเป็นชอบ” อย่างร้ายแรงจนผมเองก็คิดไปในตอนที่ดูว่า เขาเองคงไม่ได้รับโอกาสแก้ไขอะไรแล้ว
การเดินทางสายกลางจึงน่าจะเป็นคำตอบที่ดีที่สุดในการตอบสิ่งที่ยุ่นกำลังเผชิญอยู่ในหนัง การกลับไปให้ความสนใจกับสิ่งที่อยู่รอบตัวบ้าง นอกเหนือจากการทำงาน แม้มันจะทำให้เขาเสียเวลาไป แต่มันก็อาจจะช่วยเติมเต็มสิ่งที่ยังขาดไปของเขา การมีเพื่อนมากขึ้น อาจช่วยสร้าง connection ดึงงานให้เข้ามา (ตัวอย่างเช่น แต่งภาพงานแต่งงาน ที่ยุ่นได้งานจากเพื่อนร่วมงานเพียงคนเดียวของเขา) การมีแฟน มีความรัก อาจช่วยเติมเต็ม พัฒนาอารมณ์ของเขา ให้สร้างสรรค์ผลงานที่แปลกไปจากเดิม ดีกว่าเดิมจนเขาสามารถพัฒนางานของเขาไปเหนือกว่าคนอื่นก็เป็นได้ คำกล่าวที่เราเคยเรียนตั้งแต่สมัยประถมว่า “มนุษย์เป็นสัตว์สังคม” เป็นเรื่องจริงที่เราไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ เรามีคนรอบตัวเพื่อเติมเต็มตัวเราเอง
หนังเรื่องนี้ เป็นบทเรียนที่ดีที่แสดงให้เห็นว่าถ้าเราจะเลือกทางที่เดินตามความฝันตนเอง เราจะต้องเจอกับอะไร ตามหัวข้อกระทู้ที่ผมตั้งว่าเป็นสิ่งที่ “ยอดมนุษย์เงินเดือน” ไม่ได้บอกเรา โลกความจริงไม่มีที่ให้กับมือสมัครเล่น การหาสิ่งที่ชอบให้เจอ อดทนทำงานหนักเพื่อฝึกฝนตนเองให้เชี่ยวชาญ ให้เหนือกว่าคนอื่นๆ ท่ามกลางโลกทุนนิยม หนังเรื่องนี้เป็นอีกเรื่องที่เหมาะกับ “คนทำงาน” ไม่จำเป็นจะต้องเป็น Freelance ก็ควรจะได้ดู ….. แน่นอน บอกเลยว่าถ้าอยากดูหนังเพื่อความบันเทิง อยากเอาฮา อยากสนุก อยากขำ อยากหนีจากโลกความจริง อยากพบเรื่อกรักโรแมนติกแบบเวอร์ๆ หน่อย ก็ไม่ต้องซื้อตั๋วเข้าไปดูครับ หนังไม่ได้มุ่งจะให้ความบันเทิงแต่จะดึงเราเข้าไปติดตามตัวละครหนึ่งแล้วชวนให้เราได้คิดในหลายๆประเด็นแทน หนังมัน REAL สุดๆ ชนิดที่ว่า ....
ปกติ เวลาเราคิด เราก็คิดในหัวของเราคนเดียว
ไม่มีใครคิดแล้วพูดออกมาคนเดียวแบบในละครหรอก
Freelance : อีกด้านที่ “ยอดมนุษย์เงินเดือน” ไม่ได้บอกเรา
ถ้ายังพอจำได้ “ตัวเอกฝ่ายหญิง” (ไม่ขอเรียกว่านางเอกเพราะไม่ได้คู่กับพระเอกแบบจริงจัง) เลือกที่จะเดินตามความฝันตนเอง แต่โลกที่แท้จริงมันมีอะไรมากกว่านั้น และมันกำลังถูกนำเสนอโดยเรื่องนี้ “Freelance ห้ามป่วย ห้ามพัก ห้ามรักหมอ”
ผมจะไม่ขอเล่าว่าหนังดำเนินเรื่องอย่างไร บทเป็นยังไง นักแสดงทำหน้าที่ตนเองได้ดีไหม แต่จะขอเล่าว่าผม Observe ได้อะไร คิดอะไรได้จากการดูหนังเรื่องนี้นะครับ ประเด็นที่อยากจะนำเสนอ คือ
1. ถ้าไม่มี “เก่ง” พอ คุณก็ต้องดิ้นรนต่อไป
หนังชี้ให้เราเห็นความรุนแรงของการแข่งขันในยุคปัจจุบันที่ไม่เว้นแม้แต่อาชีพอิสระ แม้คุณจะเป็น Freelance คุณก็ยังต้องแข่งขัน หลายๆคนอยากจะทำอาชีพนี้ เพราะรู้สึกว่ามันอิสระ ไม่ต้องอยู่ในกรอบ แต่หารู้ไม่ว่าโลกแห่งความเป็นจริงที่ทุกคนต้องทำ “บางสิ่ง” เพื่อแลกกับ “หนึ่งสิ่ง” ที่เรียกว่า “เงิน” ไม่ว่ามันจะอยู่ในรูปของค่าจ้าง ค่าแรง หรืออะไรก็แล้วแต่ คุณก็ต้องมี “ลูกค้า” ที่มักมีอำนาจเหนือว่าคุณเสมอ ในการทำอาชีพมนุษย์เงินเดือน ลูกค้าจริงๆ ก็คือสิ่งที่เราจะต้องเจอ เราก็ยังจะมี “ลูกค้า” ภายใน เช่น หัวหน้างาน ผู้จัดการ เพื่อนร่วมงานที่ทำงานต่อจากเรา ในขณะเดียวกันแน่นอนว่าอาชีพ Freelance ก็ยังต้องเจอกับลูกค้าเช่นกัน และลูกค้านี้แหละที่มีผลกระทบต่อตัวเราอย่างรุนแรง แทบจะชี้เป็นชี้ตายเราได้ มากกว่าการเป็นมนุษย์เงินเดือนเสียด้วยซ้ำ (ถ้าไม่ซื้อ – ไม่มีเงิน – ไม่มีข้าวกิน – ตาย) นี่แหละคือ “กรอบ” ที่ทุกคนต้องเผชิญไม่เว้นแม้แต่ Freelance ก็ตาม
ดังนั้น หนทางที่จะอยู่รอดในเส้นทางนี้ คือ คุณจะต้องมีสิ่งที่ “เหนือ” กว่าคนอื่น อาจเป็น Speed ทักษะ ความรู้ หรืออะไรก็แล้วแต่ที่คุณสามารถทำให้คุณแตกต่างจากคนอื่นได้ เป็นเหตุผลที่ว่าทำไมเค้าถึงจะต้องจ้างคุณ ไม่ไปจ้างคนอื่น ซึ่งหนังแสดงให้เราเห็นว่า “Speed” คือ สิ่งที่ลูกค้าต้องการจากตัวเอก หรือแม้แต่เด็กหน้าใหม่ (หนังพูดถึงความ “ถึก” หลายๆ ครั้ง ซึ่งถึกก็คือการอดทนทำงานอย่างหนักหน่วงนั่นเอง) การทำงานภายใต้กำหนดเวลา คือสิ่งที่สำคัญที่สุดที่ลูกค้าในเรื่องนี้ต้องการ (ลูกค้าทุกๆคนก็เช่นกัน) และสิ่งนี้ได้ส่งผลกระทบต่อตัวเอกอย่างใหญ่หลวง เพราะถ้าเค้าไม่รับงาน ลูกค้าก็จะไปหาคนอื่น Speed จึงเป็นสิ่งที่สามารถหากันได้ทั่วไป จนสุดท้ายเค้าต้องขอยืมเวลาในอนาคตมาใช้ จากร่างกายผู้เป็นเจ้าของเวลา และแล้วในตอนท้าย ร่างกายก็บอกว่าจะไม่ให้ยืมอีกต่อไป ถึงเวลาที่จะต้องคืนเวลามาแล้วนะ เมื่ออายุมากขึ้น ความถึกก็ลดลงแปรผกผันกัน
ผมอยากให้ลองคิดดูว่าหากเราสามารถสร้างสิ่งที่เราทำได้คนเดียว มีได้คนเดียวเท่านั้น คนอื่นไม่มี เลียนแบบได้ยาก จนแทนที่เราต้องง้อลูกค้า กลับมาเป็นลูกค้าต้องง้อเรา หนังเรื่องนี้ก็แทบจะไม่เกิดขึ้น เพราะเมื่อเรามีอำนาจต่อรองเหนือกว่า เราก็สามารถจะบริหารเวลาได้ จัดการชีวิตได้เอง เพราะยังไงลูกค้าก็ไม่ไปไหน มีงานเข้ามาอยู่ตลอด ศัพท์ทางธุรกิจเรียกว่า Value Proposition หรือ “คุณค่า” ที่ลูกค้าต้องการนั่นแหละครับ จนลูกค้านั่นแหละที่จะต้องเป็นผู้บริหารเวลาแทนเรา ไม่สามารถมาสั่งงานด่วนๆ ได้อีกต่อไป และไปให้คนอื่นทำก็ไม่ได้เพราะเราทำได้คนเดียวเท่านั้น ไอ้การหาสิ่งที่เราทำได้แล้วคนอื่นทำไม่ได้นี้แหละ สามารถนำไปใช้ได้กับหลายๆ กรณี ไม่ว่าคุณจะเป็น Freelance เป็นมนุษย์เงินเดือน หรือเป็นเจ้าของกิจการ เพื่อตอบสนองต่อ “ลูกค้า” ของคน เช่น เป็นพนักงานที่ทำงานเกี่ยวกับ “สิ่งที่ทำได้ยาก” ไม่ค่อยมีใครทำได้ในองค์กร หรือในตลาดแรงงาน องค์กรก็จำต้องง้อคุณไว้ให้ทำงานกับเค้าต่อไป เรื่อง Career ก็แทบจะไม่ต้องไปคิด ยังไงก็ไปได้ไกล และแน่นอนเงินเดือนก็ต้องแพงเช่นกัน
2. ความสุขที่แท้จริงจากการทำงาน
จริงอยู่ว่ายุ่นก็ตกเป็นส่วนหนึ่งของระบบทุนนิยมที่โดนระบบนี้กลืนกินอย่างไม่รู้ตัว ทุนนิยมที่ให้ความสำคัญกับ “เวลา” ดังนั้น “ข้อห้าม” จึงมีเข้ามาเพื่อรักษาให้ “เวลา” เป็นสิ่งที่ยังคงสำคัญที่สุด ดังชื่อหนัง “ห้ามป่วย” “ห้ามพัก” “ห้ามรัก” (เพราะรักจะทำให้เสียเวลาทำงาน) อย่างไรก็ดี จากคำพูดในหนังประมาณว่า “ผมไม่รู้สึกว่ามันลำบากที่ได้ทำงาน” (จำไม่ค่อยได้) ของเขาได้ตอกย้ำแนวคิดที่ว่า “ความสุขที่แท้จริง คือ ความสุขจากการทำงานที่ตนเองชอบ” ยุ่นได้ทำงานที่ตนเองชอบ เขาจึงไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อยหรือไม่อยากทำ เขามีความสุขตลอดเวลาที่ได้ทำมัน แม้ว่าจะอดหลับอดนอน การทำสิ่งอื่นที่ไม่ใช่งานเป็นเครื่องขัดขวางความสุขของเขา ทำให้เขา “เสียเวลา” ที่จะไปมีความสุขกับงานที่ทำ ประเด็นนี้สอนให้เรารู้ว่าความสุขที่แท้จริงนั้นไม่ได้หายาก แต่มันคือการได้ทำสิ่งที่ชอบ ให้มันเป็นงานที่เราสามารถหาเลี้ยงตัวเองได้ ผมขอยกคำสอนของท่านพุทธทาสเรื่อง “ศิลปะแห่งการครองชีวิตในแง่การทำงาน” ตอนหนึ่งว่า ”คนยังโง่มากที่ไม่รักการงาน เดี๋ยวนี้ทำด้วยความจำเป็นบังคับ มันก็คือตกนรกนั่นเอง ฉะนั้น ทุกคนตกนรกอยู่ตลอดเวลา คือต้องทำการงานด้วยการฝืนความรู้สึก มันไม่อยากทำงานก็ต้องไปออฟฟิต เพราะว่าต้องเบิกเงินเดือนมากิน ถ้าไม่ทำงานมันไม่มีเงินเดือน อย่างนี้เป็นต้น มันต้องทนทำงาน ทนไปทำงานนั้นคือการตกนรก นี่คนโง่จะต้องตกนรกการงาน ตลอดปีตลอดชาติ”
ในประเด็นนี้ ยังย้อนแย้งต่อระบบทุนนิยม ที่สร้างให้เราเห็นถึง “ความสุขจากการบริโภค (บริโภคนิยม)” ว่าต้องบริโภคจึงจะมีความสุข ต้องกิน ต้องซื้อ ต้องใช้ อันจะเห็นได้จากกระแสในปัจจุบัน เลิกงานต้อง Hang out วันหยุดต้องไปเที่ยวที่ชิคๆ ต้องกินกาแฟดีๆ (ทั้งที่เนสกาแฟ กระป๋องละ 13 บาทก็ถ่างตาเราได้เหมือนกัน) เครียดต้องไปช้อปปิ้ง เป็นต้น แม้ว่ายุ่นจะโดนระบบนี้กลืนกินแต่เขาเองก็มีแนวทางการใช้ชีวิตที่ฉีกไปจากระบบนี้ได้อย่างชัดเจน อันมีจุดกำเนิดมาจาก “การได้ทำงานที่ตนเองรัก” เขาไม่จำเป็นต้องกินอาหารดีๆ แพงๆ (แต่เกี๊ยวกุ้งเยาวราชมันก็ดีอยู่นะ) ไม่ต้องเดินสยาม ไม่ต้องใส่เสื้อผ้าแพงๆ เขาก็สามารถมีความสุขได้แล้ว ชนิดที่ว่าไม่จำเป็นต้องมีแฟนก็ได้จนมาพบหมออิมนั่นเอง
คนเราจึงควรค้นหาในสิ่งที่ตนเองชอบให้เจอ แล้วทำมันให้สุด ถ้าเป็นไปได้ก็ทำให้มันมาเครื่องมือในการหาเลี้ยงปากเลี้ยงท้องของเราให้ได้ ชอบเตะฟุตบอล ต้องเป็นฟุตบอลอาชีพให้ได้ ชอบร้องเพลง ต้องเป็นนักร้องอาชีพให้ได้ เมื่อทำงานด้วยความชอบ มันจะออกมาดี แล้วทุกอย่างจะเข้ามาเองไม่ว่าจะเป็นชื่อเสียง เงินทอง แต่ในทางกลับกันคนเราน้อยคนนักที่จะสามารถได้ทำงาน = ได้ทำในสิ่งที่ตนเองชอบ ยิ่งไปกว่านั้นคือ มีคนจำนวนไม่น้อยที่ไม่รู้ว่าตนเองชอบอะไร
3. ทางสายกลาง
ในบรรทัดบนๆ ผมได้เขียนว่ายุ่นได้ทำงานที่ตนเองชอบ เขาจึงไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อยหรือไม่อยากทำ แต่ประเด็นของหนังที่เกิดขึ้น ผมคิดว่า “แก่น” ของมันมาจาก “การบริหารเวลา” ที่ล้มเหลวของเขา นอกจากยุ่นติดกับดักของระบบทุนนิยม และเขายังติดกับดักในความหลงใหลจากความสุขที่ได้รับจากการทำงาน จนละเลยสิ่งต่างๆ ในชีวิตไปทั้งหมด ชนิดที่ว่ายกมือขวาขึ้นมานับนิ้วยังเหลือเลยว่าจะให้ใครมางานศพตัวเองดี การคิดว่าจะเอาชนะขีดจำกัดที่ไม่สามารถเอาชนะได้ ที่เรียกได้ว่าร่างกายเป็นการ “เห็นผิดเป็นชอบ” อย่างร้ายแรงจนผมเองก็คิดไปในตอนที่ดูว่า เขาเองคงไม่ได้รับโอกาสแก้ไขอะไรแล้ว
การเดินทางสายกลางจึงน่าจะเป็นคำตอบที่ดีที่สุดในการตอบสิ่งที่ยุ่นกำลังเผชิญอยู่ในหนัง การกลับไปให้ความสนใจกับสิ่งที่อยู่รอบตัวบ้าง นอกเหนือจากการทำงาน แม้มันจะทำให้เขาเสียเวลาไป แต่มันก็อาจจะช่วยเติมเต็มสิ่งที่ยังขาดไปของเขา การมีเพื่อนมากขึ้น อาจช่วยสร้าง connection ดึงงานให้เข้ามา (ตัวอย่างเช่น แต่งภาพงานแต่งงาน ที่ยุ่นได้งานจากเพื่อนร่วมงานเพียงคนเดียวของเขา) การมีแฟน มีความรัก อาจช่วยเติมเต็ม พัฒนาอารมณ์ของเขา ให้สร้างสรรค์ผลงานที่แปลกไปจากเดิม ดีกว่าเดิมจนเขาสามารถพัฒนางานของเขาไปเหนือกว่าคนอื่นก็เป็นได้ คำกล่าวที่เราเคยเรียนตั้งแต่สมัยประถมว่า “มนุษย์เป็นสัตว์สังคม” เป็นเรื่องจริงที่เราไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ เรามีคนรอบตัวเพื่อเติมเต็มตัวเราเอง
หนังเรื่องนี้ เป็นบทเรียนที่ดีที่แสดงให้เห็นว่าถ้าเราจะเลือกทางที่เดินตามความฝันตนเอง เราจะต้องเจอกับอะไร ตามหัวข้อกระทู้ที่ผมตั้งว่าเป็นสิ่งที่ “ยอดมนุษย์เงินเดือน” ไม่ได้บอกเรา โลกความจริงไม่มีที่ให้กับมือสมัครเล่น การหาสิ่งที่ชอบให้เจอ อดทนทำงานหนักเพื่อฝึกฝนตนเองให้เชี่ยวชาญ ให้เหนือกว่าคนอื่นๆ ท่ามกลางโลกทุนนิยม หนังเรื่องนี้เป็นอีกเรื่องที่เหมาะกับ “คนทำงาน” ไม่จำเป็นจะต้องเป็น Freelance ก็ควรจะได้ดู ….. แน่นอน บอกเลยว่าถ้าอยากดูหนังเพื่อความบันเทิง อยากเอาฮา อยากสนุก อยากขำ อยากหนีจากโลกความจริง อยากพบเรื่อกรักโรแมนติกแบบเวอร์ๆ หน่อย ก็ไม่ต้องซื้อตั๋วเข้าไปดูครับ หนังไม่ได้มุ่งจะให้ความบันเทิงแต่จะดึงเราเข้าไปติดตามตัวละครหนึ่งแล้วชวนให้เราได้คิดในหลายๆประเด็นแทน หนังมัน REAL สุดๆ ชนิดที่ว่า ....
ปกติ เวลาเราคิด เราก็คิดในหัวของเราคนเดียว
ไม่มีใครคิดแล้วพูดออกมาคนเดียวแบบในละครหรอก