อธิบายก่อนว่า "จุดจบประวัติศาสตร์" หรือ The End of history คืออะไร
จุดจบประวัติศาสตร์ มันคือจุดสิ้นสุดของการวิวัฒน์แนวคิดทางการเมืองโดยมีระบอบหนึ่งหรือแนวคิดหนึ่งได้รับชัยชนะอย่างเบ็ดเสร็จเหมือนอย่างในผลงานของคุณ ฟรานซิส ฟูกูยาม่า ที่กล่าวเชิดชูระบอบเสรีประชาธิปไตยกับทุนนิยมที่มีชัยเหนือนระบอบคอมมิวนิสต์ ทั้งนี้แนวคิดดังกล่าวยังถูกตีความโดยสองฝ่ายทางการเมือง โดยฝ่ายขวากล่าวว่าเมื่อโซเวียตล่มสลายนั่นคือจุดจบของประวัติศาสตร์ที่ทุนนิยมชนะอย่างเบ็ดเสร็จ ส่วนฝ่ายซ้ายกล่าวว่าจุดจบของประวัติศาสตร์ที่แท้จริงคือชัยชนะของกรรมาชีพและชาวนาที่ปลดแอกตนเองสู่ความเท่าเทียม
นักวิชาการกับนักปรัชญาหลายสายต่างถกเถียงเรื่องนี้เรื่อยมา แต่ส่วนตัวข้าพเจ้าที่เป็นปุถุชนสามัญการศึกษาไม่สูงกลับมองอีกแบบจากข่าวต่างประเทศกระแสสังคมต่างๆ จะเห็นได้ว่าโลกเรานั้นผันผวนเปลี่ยนแปลงอย่างไม่คาดคิดตลอดเวลา จีนที่พลิกจากคอมมิวนิสต์สุดโต่งสมัยเหมามาสู่ปฏิรูปเข้าสู่ตลาดในยุคเติ้ง เสี่ยวผิงจนปัจจุบันที่จีนเหมือนจะกลับไปสู่ยุคการเชิดชูตัวบุคคลสุดโต่งแบบเหมาหริสหภาพยุโรปโลกเสรีที่สนับสนุนมนุษยธรรมช่วยเหลือผู้ลี้ภัยจากออฟริกากับตะวันออกกลางแต่ด้วยแัญหาทางการจัดการและการเมืองภายในทำให้บางเมืองในยุโรปเป็นสลัมผู้ลี้ภัยที่ก่อปัญหาในประเทศทำให้กลุ่มขวาสุดโต่งกับฟาสซิสต์มีพลังมากขึ้นจากความไม่พอใจขอวประชาชนในพื้นที่แกนนำบางคนสนับสนุนการกวาดล้างผู้อพยพกับคนต่างศาสนาด้วยวลีปลุดละดมที่ว่า "พวกเราจะต่อต้านการแทนที่ครั้งใหญ่" เป็นประโยคเลี่ยงบาลีเพื่อเลี่ยวการถูกกล่าวหาแสดงความเกลียดชังโดยรัฐ ทั้งนี้จะเห็นได้ว่าโลกกำลังผันผวนอย่างไม่แน่นอนและระบอบอื่นจะผงาดขึ้นมาแต่มันไม่ใช่ระบอบแนวคิดใหม่มันคือระบอบเดิมที่ถูกปรับปรุงให้เข้ากับยุคสมัยเท่านั้น ไม่ว่า เสรีนิยม ประชาธิปไตย คอมมิวนิสต์ ฟาสซิสต์ ราชาธิปไตย เทวาธิปไตย ฯลฯ เมื่อถึงจุดหนึ่งที่กระแสบางอย่างจุดขึ้นโลกจะเปลี่ยนไปนิยมระบอบใดระบอบหนึ่งแต่ที่เห็นได้แน่ชัดคือม้นจะไม่มีระบอบปกครองใหม่อรกแล้วเพราะมนุษย์พัฒนาอนวคิดระบอบการปกครองทุกสายแล้วทั้งเสรีที่สุดจนถึงแข็งกล้าวที่สุดเพียงแต่จะปรับแต่งเล็ปน้อยให้เข้ากับบริบทของยุคสมัย เช่น เนเธอร์แลนด์ที่เมื่อเป็นเอกราชจากราชวงศ์ฮับส์บูร์กก็ได้ก่อตั้งสาธารณรัฐบาตาเวียแต่เมื่อเล็งเห็นว่าระบอบราชาธิปไตยมีความมั่นคงมากกว่าสาธารณรัฐก็เลือกเจ้าชายจากนครรัฐ Orange มาเป็นกษัตริย์
จุดจบประวัติศาสตร์ อาจไม่ใช่ชัยชนะของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งแต่เป็นการสิ้นสุดการพัฒนาทางอุดมการณ์ผลสุดท้ายคือการวนซ้ำผลัดเปลี่ยนกันขึ้นและลงวนเวียนไปใช้แบบอุดมการเดิมซ้ำๆ แต่ทุกครั้งมันจะเปลี่ยนไปเล็กน้อยตามบริบทของยุคสมัย เสรีนิยมที่กลายเป็นเสรีสุดขั้ว ฟาสซิสต์ในรูปแบบชาตินิยม สังคมนิยมที่กลายเป็นเปลือกให้กับนโยบายที่ไม่เกิดขึ้นจริง ทุกครั้งที่เกิดมันจะไม่บริสุทธิ์เหมือนแนวคิดตั้งต้น
ทั้งนี้นี่เป็นเพียงการแบ่งปันความเห็นของข้าพเจ้า ย้ำว่าข้าพเจ้าไม่ได้จบสูง ไม่เคยเรียนป.ตรีหรือมหาวิทยาลัยเป็นเพียงนักท่องอินเตอร์เน็ตเลอวล 1 ที่ชอบอ่านบทความประวัติศาสตร์ การเมือง เท่านั้น ขอทุกท่านแบ่งปันความเห็น วิจารณ์บทความของข้าพเจ้าได้ตามอัธยาศัย
ปัจจุบันโลกเราถึงจุดจบของประวัติศาสตร์หรือยัง?
จุดจบประวัติศาสตร์ มันคือจุดสิ้นสุดของการวิวัฒน์แนวคิดทางการเมืองโดยมีระบอบหนึ่งหรือแนวคิดหนึ่งได้รับชัยชนะอย่างเบ็ดเสร็จเหมือนอย่างในผลงานของคุณ ฟรานซิส ฟูกูยาม่า ที่กล่าวเชิดชูระบอบเสรีประชาธิปไตยกับทุนนิยมที่มีชัยเหนือนระบอบคอมมิวนิสต์ ทั้งนี้แนวคิดดังกล่าวยังถูกตีความโดยสองฝ่ายทางการเมือง โดยฝ่ายขวากล่าวว่าเมื่อโซเวียตล่มสลายนั่นคือจุดจบของประวัติศาสตร์ที่ทุนนิยมชนะอย่างเบ็ดเสร็จ ส่วนฝ่ายซ้ายกล่าวว่าจุดจบของประวัติศาสตร์ที่แท้จริงคือชัยชนะของกรรมาชีพและชาวนาที่ปลดแอกตนเองสู่ความเท่าเทียม
นักวิชาการกับนักปรัชญาหลายสายต่างถกเถียงเรื่องนี้เรื่อยมา แต่ส่วนตัวข้าพเจ้าที่เป็นปุถุชนสามัญการศึกษาไม่สูงกลับมองอีกแบบจากข่าวต่างประเทศกระแสสังคมต่างๆ จะเห็นได้ว่าโลกเรานั้นผันผวนเปลี่ยนแปลงอย่างไม่คาดคิดตลอดเวลา จีนที่พลิกจากคอมมิวนิสต์สุดโต่งสมัยเหมามาสู่ปฏิรูปเข้าสู่ตลาดในยุคเติ้ง เสี่ยวผิงจนปัจจุบันที่จีนเหมือนจะกลับไปสู่ยุคการเชิดชูตัวบุคคลสุดโต่งแบบเหมาหริสหภาพยุโรปโลกเสรีที่สนับสนุนมนุษยธรรมช่วยเหลือผู้ลี้ภัยจากออฟริกากับตะวันออกกลางแต่ด้วยแัญหาทางการจัดการและการเมืองภายในทำให้บางเมืองในยุโรปเป็นสลัมผู้ลี้ภัยที่ก่อปัญหาในประเทศทำให้กลุ่มขวาสุดโต่งกับฟาสซิสต์มีพลังมากขึ้นจากความไม่พอใจขอวประชาชนในพื้นที่แกนนำบางคนสนับสนุนการกวาดล้างผู้อพยพกับคนต่างศาสนาด้วยวลีปลุดละดมที่ว่า "พวกเราจะต่อต้านการแทนที่ครั้งใหญ่" เป็นประโยคเลี่ยงบาลีเพื่อเลี่ยวการถูกกล่าวหาแสดงความเกลียดชังโดยรัฐ ทั้งนี้จะเห็นได้ว่าโลกกำลังผันผวนอย่างไม่แน่นอนและระบอบอื่นจะผงาดขึ้นมาแต่มันไม่ใช่ระบอบแนวคิดใหม่มันคือระบอบเดิมที่ถูกปรับปรุงให้เข้ากับยุคสมัยเท่านั้น ไม่ว่า เสรีนิยม ประชาธิปไตย คอมมิวนิสต์ ฟาสซิสต์ ราชาธิปไตย เทวาธิปไตย ฯลฯ เมื่อถึงจุดหนึ่งที่กระแสบางอย่างจุดขึ้นโลกจะเปลี่ยนไปนิยมระบอบใดระบอบหนึ่งแต่ที่เห็นได้แน่ชัดคือม้นจะไม่มีระบอบปกครองใหม่อรกแล้วเพราะมนุษย์พัฒนาอนวคิดระบอบการปกครองทุกสายแล้วทั้งเสรีที่สุดจนถึงแข็งกล้าวที่สุดเพียงแต่จะปรับแต่งเล็ปน้อยให้เข้ากับบริบทของยุคสมัย เช่น เนเธอร์แลนด์ที่เมื่อเป็นเอกราชจากราชวงศ์ฮับส์บูร์กก็ได้ก่อตั้งสาธารณรัฐบาตาเวียแต่เมื่อเล็งเห็นว่าระบอบราชาธิปไตยมีความมั่นคงมากกว่าสาธารณรัฐก็เลือกเจ้าชายจากนครรัฐ Orange มาเป็นกษัตริย์
จุดจบประวัติศาสตร์ อาจไม่ใช่ชัยชนะของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งแต่เป็นการสิ้นสุดการพัฒนาทางอุดมการณ์ผลสุดท้ายคือการวนซ้ำผลัดเปลี่ยนกันขึ้นและลงวนเวียนไปใช้แบบอุดมการเดิมซ้ำๆ แต่ทุกครั้งมันจะเปลี่ยนไปเล็กน้อยตามบริบทของยุคสมัย เสรีนิยมที่กลายเป็นเสรีสุดขั้ว ฟาสซิสต์ในรูปแบบชาตินิยม สังคมนิยมที่กลายเป็นเปลือกให้กับนโยบายที่ไม่เกิดขึ้นจริง ทุกครั้งที่เกิดมันจะไม่บริสุทธิ์เหมือนแนวคิดตั้งต้น
ทั้งนี้นี่เป็นเพียงการแบ่งปันความเห็นของข้าพเจ้า ย้ำว่าข้าพเจ้าไม่ได้จบสูง ไม่เคยเรียนป.ตรีหรือมหาวิทยาลัยเป็นเพียงนักท่องอินเตอร์เน็ตเลอวล 1 ที่ชอบอ่านบทความประวัติศาสตร์ การเมือง เท่านั้น ขอทุกท่านแบ่งปันความเห็น วิจารณ์บทความของข้าพเจ้าได้ตามอัธยาศัย