ประเทศไทยเรายกย่อง Guru ง่ายเกินไปรึป่าว

กระแสแป้งศรีจันทร์ ในระลอกที่ผ่านมา ทำให้ผมฉุกคิดขึ้นมาว่า ประเทศไทยเรายกย่องใครสักคนเป็น Guru ง่ายเกินไปรึป่าว

เจ้าของแป้งศรีจันทร์ คือ คุณ รวิศ หาญอุตสาหะ  ที่มารับช่วงต่อกิจการของครอบครัว
ผมจะไม่พูดถึงเรื่องว่าคุณ รวิศ เก่ง หรือไม่เก่งนะครับ  เพราะอันนี้ผมไม่รู้ แต่ผมจะพูดเฉพาะสิ่งที่ผมเห็น

คุณ รวิศ เป็นที่รู้จักจากการเขียนหนังสือขายดี2เล่ม คือ จะไปดวงจันทร์อย่าหยุดแค่ปากซอย และ มาร์เก็ตติ้งลิงกลับหัว
โดยที่หนังสือทั้ง2เล่มนี้ เนื้อหาจะว่าไปแล้ว ก็คลุมเคลือมาก ว่าจะจัดให้อยู่ในหมวดไหน การตลาด ,จิตวิทยา หรือ เรื่องสั้น
ผมจัดให้อยู่ในหมวดเรื่องสั้น เกี่ยวกับประสบการณ์ส่วนตัวของผู้เขียนมากกว่า

เพราะเนื้อหาในหนังสือ เหมือนกับการเขียนเล่าอะไรสักอย่างลงใน blog มากกว่า ซึ่งเทรนด์นี้คนไทยกำลังชอบอ่าน เพราะคนส่วนมากไม่ชอบเนื้อหาที่ต้องอ่านแล้วย่อยเอง แต่ชอบอ่านอะไรที่เขาอ่านแล้วเอามาเล่าต่อ

ถ้าวัดจากผลงานเขียน 2 เล่มนี้ ต้องบอกตรงๆว่าคุณ รวิศ ไม่ได้เขียนอะไรใหม่เลย ไม่ได้คิดทฤษฏี หรือ หลักการตลาดใดๆขึ้นมาใหม่เลย
เป็นการอ่านหนังสือของคนอื่น แล้วนำมาเล่าต่อ  แตกต่างจากต่างประเทศที่ใครสักคนจะได้รับการยกให้เป็น Guru นี่ต้องเขียนหนังสือที่เป็นทฤษฏีหรือหลักการใหม่ขึ้นมาเลย อย่าง ฟิลิป คอตเลอร์ , ปีเตอร์ ดรักเกอร์ ,ไมเคิล พอตเตอร์     ไม่มีทางที่นักเขียนสไตล์คุณรวิศจะได้รับการยกย่องถึงขนาดถูกเชิญให้ไปบรรยายตามที่ต่าง

อีกระลอกคลื่นที่สำคัญที่เป็นประเด็นหลักที่ผมมาตั้งกระทู้ก็คือ การเปลี่ยนแพคเกจของแป้งหอมศรีจันทร์
การรีแพคเกจจิ้ง ถือเป็นเรื่องปกติที่ทำกันทุกบริษัทในโลก หรือแม้แต่แม่ค้าโอท็อปก็ยังมีการเปลี่ยนแพคเกจจิ้งกันใหม่อยู่เรื่อยๆ

แต่สังคมไทยเรากลับยกย่อง สิ่งที่คุณรวิศทำกับศรีจันทร์ ว่าเป็นสุดยอดการตลาด เหมือนกับว่าไม่เคยเห็นแบบนี้มาก่อน
ซึ่งผมมองว่าเป็นเรื่องตลกมาก และที่น่าประหลาดใจยิ่งกว่าคือ หน่วยงานราชการ และ หน่วยงานเอกชนหลายหน่วยงาน เชิญคุณรวิศไปบรรยายเรื่องธุรกิจ และการตลาด

คุณรวิศ ไม่ได้ผิดอะไรนะครับ กระทู้นี้ไม่ได้ตั้งขึ้นมาดิสเครดิตใคร เพราะคุณรวิศแกก็อยู่ของแกดีๆ แกก็เขียนหนังสือของแก ทำธุรกิจของแก
แต่ที่ผิดปกติคือ สังคมไทย ที่ยกย่องให้สักคนให้เป็น guru อย่างผิวเผินเกินไปมากๆ

จะตัดสินจากงานเขียน2เล่ม ก็เป็นเพียงหนังสือที่คนเขียนนำหนังสือที่เคยอ่านมาเล่า ไม่มีอะไรแปลกใหม่ในแง่ทฤษฏี หรือ แนวคิด
จะตัดสินจากการทำธุรกิจ ก็ต้องบอกว่าคุณรวิศ แทบจะไม่ได้แตกต่างจากผู้ประกอบการคนอื่นๆเลย  สิ่งที่ทำมีแค่ ออกแบบแพคเกจสินค้าใหม่ และ จ้างบริษัทมาทำโฆษณา  แค่นั้นเอง มันเป็นเรื่องที่ผู้ประกอบการทั้งใหญ่และเล็กล้วนทำกันทุกวันจนเป็นเรื่องปกติ

สังคมเราทุกวันนี้ เมื่อทุกคนมีสื่อออนไลน์ในมืออย่างเฟสบุ๊ค เราเห็นคนเสนอตัวออกมาเป็น guru เต็มบ้านเต็มเมืองไปหมด ทุกแขนงทั้งการตลาด การเงิน การลงทุน เรามีกูรูหลายพันคนหลายหมื่นคนในโลกออนไลน์   จนสังคมแยกไม่ออกแล้วว่า นักเขียนธรรมดา กับ Guru ทางธุรกิจมันต่างกันยังไง
วันนี้ใครเขียนอะไรที่ขายดีหน่อย ก็จะถูกเชิญไปบรรยายแก่นักศึกษา หรือ พนักงานฝึกหัดงานใหม่

เพราะสังคมไทยไม่มี filter มากรองคนพวกนี้

ผมแนะนำหลักการง่ายๆ แค่2ข้อ

1.ถ้าจะตัดสินจากงานเขียน งานเขียนนั้นต้องนำเสนอหลักการ และ ทฤษฏีใหม่ ซึ่งหาคนไทยยากมากที่จะเขียนอะไรทำนองนี้ แต่หาง่ายมากคือคนเล่าเรื่องสั้น  

2.ถ้าจะตัดสินจากการทำธุรกิจ ต้องดูสิ่งที่เขาทำ ว่าเขาสร้างหรือครีเอทอะไรใหม่ๆขึ้นมา หรือสร้างนวัตกรรมอะไรขึ้นมาใหม่
การออกแบบตลับใส่แป้ง และกล่องใส่สินค้าใหม่  เป็นเรื่องธรรมดามากๆ ไม่ใช่อะไรใหม่

ผมคงไม่เอาคุณรวิศไปเทียบกับคนทำธุรกิจที่สเกลใหญ่กว่าอย่างพวก คุณธนิน ซีพี หรือ เสี่ยเจริญเบียร์ช้าง
แต่ผมจะเทียบง่ายๆกับคนที่สเกลเท่าๆกับคุณรวิศ หรือ เล็กกว่าด้วยซ้ำ นั่นคือ คุณ ไพโรจน์ ร้อยแก้ว  เจ้าของตลาดนัดรถไฟ ผู้นำกลยุทธ์ Blue ocean มาใช้อย่างรู้ตัวหรือไม่รู้ตัวรึเปล่าไม่รู้  คนนี้สิ ที่มหาวิทยาลัย หรือ บริษัทเอกชน ควรเชิญไปบรรยาย

คุณรวิศ เกิดในครอบครัวร่ำรวย เรียนจบจากเมืองนอก กลับมาสานต่อธุรกิจที่ต้องบอกว่าการเงินแข็งแรงอยู่แล้ว พูดง่ายๆก็คือ คุณรวิศไม่ต้องต่อสู้อะไรเลย
พอคิดจะทำสปอตโฆษณาเป็นร้อยล้าน ก็สามารถมีเงินทำได้เลย ทุกอย่างเสกได้ดั่งใจ  

ในขณะที่คุณไพโรจน์ล้มลุกคลุกคลานเริ่มจากศูนย์เพราะพ่อแม่ตายตั้งแต่เด็ก แต่สามารถสร้างตลาดใหม่ๆ ขึ้นมาได้ กระบวนการคิดและทำของคุณไพโรจน์ ผมไม่ได้บอกว่าน่าตื่นเต้นหรือสดใหม่อะไรมากมายนะครับ แต่จะบอกว่ามันมีอะไรให้ศึกษา ให้เรียนรู้ และเป็นประโยชน์แก่คนทั่วๆไปมากกว่าของคุณรวิศ

กระทู้นี้ประเด็นหลักไม่ได้อยู่ที่การเปรียบเทียบ ผมต้องคอยย้ำเผื่อบางคนอ่านแล้วหลุดประเด็น

เนื้อหายังคงอยู่ที่เดิม นั่นก็คือ ประเทศไทยเรายกย่อง Guru ง่ายเกินไป

ถามว่าทำไมต้องเขียน เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นมันคือดาบสองคม

คนที่ไม่เคยต่อสู้กับอะไร และก็ไม่ได้ทำอะไรใหม่ อันนี้หมายถึง guru หลายๆคน ไม่ได้หมายถึงคุณรวิศคนเดียว
การนำ guru เหล่านี้มาบรรยายให้คนรุ่นใหม่ฟัง ผมก็ไม่รู้ว่าคนมาฟังจะได้อะไรกลับไปรึป่าว

ถ้าเวลาคือสิ่งมีค่า คนมาฟังก็ถือว่ามีต้นทุน คนจัดงานยิ่งมีต้นทุนเพราะต้องเสียเงินทั้งค่าตัวและค่าจัด
ก็สมควรที่จะเสียเวลาสักหน่อย ค้นหา Guru ตัวจริง ซึ่งมีไม่น้อยในแวดวงธุรกิจ

สำหรับผู้ชมทางบ้าน ที่คิดจะติดตามแนวความคิดของใคร หรือจะยกใครเป็นไอดอลทางธุรกิจ
ก็พิจารณากันดีๆ  

ยุคเมื่อ30ปีก่อน เป็นยุคแสวงหาข้อมูลข่าวสาร สิ่งที่คนยุคนั้นต้องทำคือ พยายามหาอะไรอ่าน หาอะไรฟังให้มากที่สุด
แต่ยุคนี้คือยุคที่ข้อมูลท่วมโลก สิ่งที่คุณต้องทำก็คือ เลือกว่าจะไม่อ่านอะไร เลือกว่าจะไม่ฟังใคร  

สวัสดี

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่