ผมมีความฝันที่อยากจะเปิดสำนักพิมพ์ แต่ดูสถานการณ์เศรษฐกิจแล้ว เลยเปลี่ยนจากเปิดกิจการเอาไปลงทุนสินทรัพย์อย่างอื่นดีกว่า

ผมมีความฝันตั้งแต่สมัยเด็กๆว่าอยากเปิดสำนักพิมพ์

ตอนนี้ก็เก็บเงินมีสิทธิ์เปิดได้แล้ว

มีความฝันอยากซื้อลิขสิทธิ์นิยายมาแปลไทย

ถึงขั้นคิด concept สำนักพิมพ์ไว้แล้ว

คิดโครงสร้างธุรกิจไว้แล้ว

เมื่อก่อนไม่ได้ทำเพราะไม่มีเงินทุนถึงด้วย

แต่ปัจจุบันผมมีเงินทุน แต่ลังเลใจ

ผมมีความรู้สึกว่าเราไม่ควรก้าวลง

ไปเล่นในตลาดสิ่งพิมพ์ตอนนี้

แม้ตลอดมาวงการสิ่งพิมพ์ตอนนี้จะคึกคัก

ตัวเลข GDP ไม่ได้แย่เลย​เงินสะพัดอยู่

ทุกงานสัปดาห์หนังสือยังมีหนอนหนังสือ

นักอ่านทุกท่านแวะเวียนมาซื้ออยู่เสมอ



เนื่องจากตอนนี้มีปัญหาดังนี้  (ตาม​ความคิดผม)

1.ราคาหนังสือที่สวนกับค่าแรง

ผู้อ่านไม่มีงบประมาณที่จะซื้อ​บ่อยนัก



2.มีผู้ผลิตเยอะ แยกส่วนแบ่งทางการตลาดกันเอง
มีสำนักพิมพ์หน้าใหม่และหน้าเก่า  

ถ้าจะก่อตั้งสำนักพิมพ์หน้าใหม่จะต้องดีดตัวให้เป็นที่รู้จักโดยเร็ว

เพราะสำนักพิมพ์หน้าเก่าครองพื้นที่อยู่

และครอง margin ส่วนแบ่งทางการตลาดไปมากพอสมควร


มันจะมีการแข่งขันกันสูงในขณะที่กำลังซื้อของคนอ่านน้อยลง  คือคนยังอ่านหนังสืออยู่แทบทุกหมวด

แต่กำลังการซื้อเล่มต่อเล่มของ 1 คนอาจจะลดลง

1 เล่มอาจจะแชร์กัน มากขึ้น

ทำให้สำนักพิมพ์หน้าใหม่จะต้องแย่งฐานคนอ่านเพื่อ
ต่อสู้กับสำนักพิมพ์หน้าเก่าที่ครองตลาดให้ได้




3.จริงๆแล้วสำนักพิมพ์มีต้นทุนซับซ้อนในการผลิตหนังสือเล่มหนึ่งออกวางจำหน่ายสู่ตลาด

มีค่าลิขสิทธิ์ต้นฉบับ / ค่าแปลไทย / ค่าจัดรูปเล่ม

ค่าจัดจำหน่าย / ค่าพิสูจน์อักษร

/ ค่าวางแผนการตลาด / ค่าอีกจิปาถะ ฯลฯ

สำหรับผมแล้วสำนักพิมพ์ที่ดีควรจะเป็นที่รู้จักของนักอ่านให้เร็วที่สุด เพราะฉะนั้นจะต้องเร่งผลิตหนังสือออกมา ตรงจุดนี้กว่าหนังสือจะคืนทุนอย่างต่ำต้อง 3 ปีกำไรจากการผลิตหนังสือทุกเล่มถึงจะทำให้สำนักพิมพ์มีรายได้  


มันต้องมีกระแสเงินสดสำรองไว้จำนวนหนึ่งเลย

พูดง่ายๆสำหรับผมถ้าจะก่อตั้งสำนักพิมพ์ให้อยู่ได้เงินลงทุน 1 ล้านไม่น่าพอ

เพราะต้องไปแข่งขันในการตลาดอีกคู่แข่งก็เยอะ

#ที่สำคัญผมมีความรู้สึกว่าเดี๋ยวนี้ มีอะไรคนก็ไปถาม AI เวลามีปัญหาชีวิต

เมื่อก่อนปกติคนจะอ่านหนังสือ how to จิตวิทยาพัฒนาตัวเองเพื่อแก้ปัญหาชีวิตหรือปรับใช้กับชีวิตตัวเอง  

ผมว่าต่อไปหนังสือหมวดจิตวิทยาพัฒนาตัวเองแบบ how to มันอาจจะลดลงหรืออาจจะหายไป

เพราะคนมันไปถาม AI แถม AI ตอบได้ทุกปัญหา

แล้วอย่างนี้เราจะมีหนังสือจิตวิทยาพัฒนาตัวเองไปทำไม


มาเข้าเรื่องกันนะครับ


ผมเลยคิดว่าจะเอาเงินเก็บออมที่ทำงานมาครึ่งชีวิต
ตอนแรกว่าจะเป็นทุนเปิดสำนักพิมพ์เป็นของตัวเอง

แต่สุดท้ายเปลี่ยนใจดีกว่าผมเอาเงินนี้ไปลงทุนสินทรัพย์ทางเลือกอื่น

เช่น

ในหุ้นปันผล + กับซื้อพันธบัตรรัฐบาลดีกว่า + ซื้อกองทุนรวมเอาไว้ลดหย่อนภาษี

ซื้อสลากออมสินเอาไว้ชิงโชคและอาจจะถูกรางวัลเป็นเงินเล็กๆน้อยๆปันผล


ไปเก็บเงินไว้เป็นเกษียณดีกว่า


ถ้าจะถามว่าถ้าผมทำสำนักพิมพ์ผมก็ไม่หวังพึ่งเงินเพราะว่าเงินที่เป็นรายได้ปัจจุบันมันเป็น passive income ให้ผมแล้ว


แต่เวลาผมมองเพื่อนรอบข้างที่เขาได้ทำสำนักพิมพ์เพื่อนที่รู้จักกันเขาได้ทำตามความฝันผมรู้สึกอิจฉาเขาอยู่

อิจฉาในที่นี้ไม่ได้อิจฉาแบบมุ่งอาฆาตมาดร้าย แต่รู้สึกดีใจกับเขาที่เขามีโอกาสได้ทำตามความฝัน

ในขณะที่เราไม่มีวันได้ทำ

ได้แต่มองเข้าไปในสำนักพิมพ์ต่างๆ เมื่อก่อนเคยคิดอยากเป็นส่วนหนึ่ง  อยากเป็นเพื่อนร่วมงาน

หรือไม่ก็เป็นคู่ค้าทางธุรกิจกันไป

สุดท้ายมันจะเป็นแค่ความฝันที่อยู่แค่ความฝันต่อไป


สุดท้ายแล้ว ผมมันก็เลือกการวางแผนทางการเงิน

เซฟตัวเองไม่ให้เป็นหนี้จากการทำกิจการสำนักพิมพ์

ที่อาจจะมีโอกาสล้มได้ (การทำธุรกิจมัน 50/ 50)

มันอาจจะประสบความสำเร็จหรืออาจจะล้มเหลวก็ได้

แต่ถ้าผมเลือกละทิ้งความฝันผมก็จะปลอดจากการเป็นหนี้จากการทำธุรกิจสำนักพิมพ์

สาเหตุที่ผมเลือกทางนี้
เพราะว่าผมก็มีอนาคตที่อยากจะไปเรียนต่อต่างประเทศ


ถ้ามีโอกาสได้เรียนต่อต่างประเทศผมคงไม่มีเวลามาทำงานในสำนักพิมพ์ของตัวเอง


และอีกอย่างอีกไม่กี่ปีผมก็อยากจะเกษียณแล้ว



ทุกคนว่าผมเลือกทางนี้มันถูกต้องแล้วไหม

มันเป็นการวางแผนทางการเงินที่ดีสำหรับผมแล้วใช่ไหม


#ขออธิบายเพิ่มเติมครับเผื่อบางคนสับสน

ผมอธิบายว่าเงิน 1 ล้านไม่พอในการทำสำนักพิมพ์ครับ ไม่ได้หมายถึงว่าผมเอาเงินแค่ 1 ล้านไปลงทุนทั้งหมดครับ อย่าเข้าใจผิด


การลงทุนของผมมีดังนี้

ซื้อหุ้นปันผล ทั้งหุ้นไทย (ธนาคาร2ตัว)
หุ้นต่างประเทศ
กองทุนรวมทั้งสะสมมูลค่า ทั้งปันผล
สลากออมสิน
พันธบัตรรัฐบาล
ทองคำ แน่นอนว่าผมซื้อครับ

แล้วใช่ครับผมลงทุนเงินไม่ได้แค่ 1 ล้าน
เหมือนที่ผมบอกผมมี passive income จากปัจจุบันทางอื่นของตัวเองแล้ว เพราะฉะนั้นผมไม่ลงทุนแค่ 1 ล้านแน่


(อย่างที่ทุกท่าน บอกว่าเบสิคธรรมดาทั่วไป

แต่สำหรับผมมันเป็นการเซฟการไม่เสียหายมากจนเกินไป ผมจะลงทุนในตลาดหลักทรัพย์เท่าที่ผมเข้าใจในสิ่งนั้น

เช่น คริปโตหรือ bitcoin ผมก็ไม่ได้ซื้อเลยเพราะผมไม่มีความรู้ในมัน)

แต่ก็ลงทุนอย่างมีสติไม่ได้ทุ่มหมดหน้าตัก

อีกอย่างผมก็มีการลงทุนที่เป็นกิจการหอพัก
และมีการเก็บค่าเช่าที่ดินที่เป็นมรดกของครอบครัวอยู่
(ที่ดินผมไม่เคยซื้อเลยเพราะว่ามีตกทอดมาจากบรรพบุรุษ)


ขอบคุณทุกคนสำหรับคำตอบล่วงหน้านะครับ
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่