วันก่อนผมมีโอกาสไปดูโรงงานของบริษัทรีดเหล็กร้อนอันดับต้นๆของประเทศไทยและได้สอบถามศึกษาเรื่องอุตสาหกรรม มีโอกาสได้สนทนากับคณะผู้จัดการที่นั้นและได้สอบถามทิศทางของอุตสาหกรรมไทย และผมคิดว่าได้แง่คิดที่น่าสนใจกลับมาพอสมควร
อันดับแรกขอพูดถึงการย้ำอยู่กับที่ของเศรษฐกิจโลกก่อนนะครับ ผมมองว่าหลายปีที่ผ่านมาอุตสาหกรรมของโลกที่บริโภคน้ำมันนั้นได้เข้าสู่วิกฤติเสียแล้ว ไม่ใช่ว่าน้ำมันที่เป็นอุปโภคหลักกำลังจะหายไปหรืออย่างไรนะครับแต่เพราะว่าผลกระทบจากการใช้นำมันนั้นเริ่มเข้าสู่ห้วงเวลาที่ว่า "ต้องการการเปลี่ยนแปลง" กล่าวคือหลายปีที่ผ่านมาหน่วยงานอิสระหลายหน่วยได้เกิดกลุ่มอนุรักษ์ซึ่งชี้ชัดว่าปัจจุบันผลกระทบจากพลังงานของซากฟอสซิลนั้นส่งผลกระทบต่อโลกค่อนข้างมาก และชี้ให้เห็นว่ามาตราการลดอัตราการใช้น้ำมันไม่ได้ช่วยลดหรือแก้ไขปัญหานี้ได้เลยแต่ตรงกันข้ามกับเป็นข้อต่อรองของประเทศมหาอำนาจในการกดขี่ข่มเหงประเทศที่กำลังพัฒนาเสียมากกว่า นอกจากปัญหาโลกร้อนที่เราคนปกติไม่คิดว่ามันส่งผลต่อแนวทางการเปลี่ยนแปลงเศรษฐกิจแล้วยังมีปัญหาการขัดแย้งที่รุนแรงอย่างเงียบๆอยู่อีก อย่างไร ?
ผมขอขยายภาพปัญหาโลกร้อนก่อนนะครับ เมื่อโลกร้อนและเกิดการเปลี่ยนแปลงในระดับมหภาคให้เห็นอย่างชัดเจนจนทำให้โลกเห็นถึงผลกระทบของพลังงานที่ไม่สะอาดจึงเกิดการควบคุมของการใช้เกิดขึ้น ซึ่งนำมาสู่มาตราการป้องกันการใช้พลังงาน การสนับสนุนพลังงานรูปแบบอื่น แม้ว่าแนวโน้มที่จะหันไปใปใช้พลังงานสะอาดมากขึ้นเป็นสิ่งที่ดี แต่ช่วงที่จะมีการเปลี่ยนแปลงนั้นอำนาจเก่าจะมีอำนาจมากและจะใช้ขุมกำลังเดิมเพื่อดำรงไว้ซึ่งอำนาจต่อรองอย่างมากที่สุดให้นานที่สุด ประเทศที่มีแหล่งพลังงานจึงสามารถขึ้นราคาเพื่อเป็นหนึ่งในกลไกการลดการใช้งาน แต่ใช่ครับอย่างไรก็ตามน้ำมันนั้นก็ยังขึ้นอยู่กับความต้องการอยู่ดีเราจึงมองไม่เห็นในจุดนี้ นอกจากนี้แล้วเมื่อเกิดความขัดแย้งของกลุ่มประเทศที่มีพลังงานกับประเทศอื่น ประเทศที่มีพลังงานสำรองมากมายจะสามารถใช้โอกาสที่มูลค้าของน้ำมันนั้นกดดันให้ต่างชาติหรือชาติพันธมิตรช่วยเหลือได้อย่างง่ายดาย ถือว่าเป็นสื่อช่วยในการกดดันอีกหนทางหนึ่ง สงครามการพลักดันราคาน้ำมันจึงเกิดขึ้นให้เราเห็นบ่อยๆ ทั้งเย็นและร้อน
แล้วสงคราม ? เราต่างรู้ว่าสงครามนั้นถือเป็นหนึ่งในกลไกโลกที่สร้างความก้าวหน้ามาตั้งแต่ยุคก่อนๆ อย่างไรก็ตามในปัจจุบันนั้นสงครามที่จะเกิดเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ยาก แต่ก็ว่าจะเป็นไปไม่ได้เลยก็ไม่ใช่ ด้วยเหตุนี้กลไกดังกล่าวจึงมาอยู่ในรูปของการก่อการร้ายและแน่นอนว่าสิ่งเหล่านี้ก็มีส่วนขับเคลื่อนเป็นเงินทุนมหาศาลและมูลค่าของการก่อการร้ายแน่นอนว่าถูกตีขึ้นด้วยทรัพยากรธรรมชาตินั้นเอง (พลังงานและ ฯลฯ) แต่คุณอย่ามองข้ามอะไรไปนะครับ การเปลี่ยนแปลงกำลังจะเกิดขึ้นใช่หรือปล่าว ? ผมกล้าตอบว่า ใช่ ครับ (เป็นการคิดวิเคราะห์ส่วนตัว) ยังไงนะหรือ ผมคาดการว่า ณ ปัจจุบันนั้นเทคโนโลยีได้ก้าวกระโดดไปมากมายแล้วและคาดว่าเหลือจิ๊กซอเพียงไม่กี่ตัวเท่านั้นที่จะทำให้วงการณ์วิทยาศาสตร์สมบูรณ์พอที่จะเข้ามากำหนดทิศทางเศรษฐกิจโลก
คือถ้ามองง่ายๆก็คือ เราอยู่ใกล้มันมากเกินไปครับ เราสัมผัสมันทุกวัน ทุกวันจนเกิดอาการที่เรียกว่า "ไม่รับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลง" แต่หากเราถอยออกมามองจริงๆผมคิดว่าเราจะมองเห็นในทิศทางที่ควรจะเป็นไป ง่ายๆก็เช่น คุณสัมผัสไม่ได้หรอกว่าเพื่อนของคุณแฟนเก่าของคุณสวยขึ้นทุกวันผอมลงทุกวันเมื่อคุณอยู่กับคนเหล่านี้ทุกวัน แต่หากคุณห่างกัน สาม สี่ เดือน คุณอาจกลับมาแล้วแอบสงสัยว่า แฟนเก่าคุณนั้นสวยขึ้นจนนึกเสียดาย ก็ประมาณนี้แหละครับ
ผมจะขอเล่าทีละเรื่องๆนะครับ อันดับแรกเรามองดูสภาพสังคมที่กำลังจะเปลี่ยนไปเสียก่อน หลายปีที่ผ่านมานั้นโลกเข้าสู่ช่วงไหลปลายของวงการ IT ในส่วนนี้เรามาพูดถึงโซเชียลเป็นอันดับแรกก่อน เนื่องด้วยปัจจุบันการสื่อสารพัฒนาไปไกลและขยับเข้ามาในตัวของพวกเรามากขึ้นจึงไม่แปลกที่ว่าธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับมวลชนจึงเป็นสิ่งที่มีมูลค่ามากขึ้นและฉับไวเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก หากคุณสังเกตุทุกวันนี้ช่อง TV นั้นมีมูลค่าการตลาดที่ต่ำลงอย่างมาก ผมหมายถึงช่องเกิดใหม่นะครับ เพราะพฤติกรรมเรามนุษย์มักจะไม่ชอบการเปลี่ยนแปลงดังนั้นการที่ช่องเกิดใหม่จะมามีอิทธิพลต่อการดู TV ของเรานั้นถือว่าน้อยมาก โฆษณาเองก็ปรับเปลี่ยนยุทธวิธีโดยการเข้าไปอยู่ในสื่ออื่นมากกว่าหน้าหนังสือพิมพ์และโทรทัศน์ แม้รายการ TV ข่าวก็ยังนำอัพโหลดขึ้นสื่อออนไลน์เป็นหนึ่งในหนทางรับงานโฆษณาเพิ่ม บางทีเราอาจไม่รู้ตัวว่าเราเสพข่าว(ทั้งข่าวและบันเทิง)มากขึ้น ลองนึกดูสิครับข่าวข่มขืนฆาตกรรม ครั้งอดีตเรื่องพวกนี้คุณรับรู้มากเท่าไหร่ ส่วนมากเมื่อก่อนเด็กก็ยังอยู่กับช่องการ์ตูนมากกว่ารายการข่าวช่วงหัวค่ำซะอีก แต่ปัจจุบันนั้นเรารับรู้ได้เร็วขึ้นมากขึ้นปริมาณมากขึ้นโดยไม่รู้ตัว ดันนั้นส่งผลให้พฤติกรรมของคนส่วนใหญ่ไปในทิศทางอื่นทั้งดีและร้าย(ผมไม่ขอพูดถึง) แม้แต่การค้าคุณก็เห็นว่าปัจจุบันก็ใช้สื่อเป็นตัวช่วยเช่นเดียวกันยังมีเรื่องการเมืองและกระแสสังคมอีกมากมาย หลายเรื่องครับพูดไปทั้งวันคงไม่หมด แต่บางทีเราอาจได้ยินได้ฟังมาอีกเช่นการแพทย์ ในอนาคตผมคิดว่าการให้คำปรึกษาแบบรายเดือนรายปีเป็นสมาชิกทางการแพทย์กับเวปโรงบาลชั้นนำและมิประสิทธิภาพจะเกิดขึ้นและเห็นชัดมากกว่านี้ (ทุกวันนี้มีงานวิจัยโรบอทที่สั่งการระยะไกล คุณลองคิดดูว่าจะมีหุ่นยนต์วัดค่าต่างๆจากตัวคุณให้คุณอ้าปากถ่างปากปริ้นตาแล้วใช้กล้องความละเอียดสูงส่งภาพไปให้แพทย์วินิจฉัยจะเป็นเรื่องปกติในอนาคต) หรือแม้แต่งานวิจัยโลกเสมือนของ google และ facebook ผ่านแว่นตาสี่มิติก็เริ่มเป็นรูปเป็นร่าง ไม่แน่นะครับคุณอาจวิ่งบนลู่วิ่งออกแบบพิเศษที่บ้านแต่ได้ทิวทัศของสะพานสวยๆที่ต่างประเทศ
มาเข้าเรื่องพลังงานและอุตสาหกรรมหลักกัน เริ่มจากนำมันกันก่อน ผมเดาว่ามีไม่กี่คนที่ได้รับข่าวสารแล้วว่าปัจจุบันเทคโนโลยีสารประกอบและโพลีเมอร์นั้นได้ก้าวกระโดดไปไกลมาก ซึ่งแม้จิ๊กซอจะยังไม่ครบแต่ก็เป็นรูปเป็นร่างแล้ว ถ้าผมจะบอกว่า "มีโอกาสที่ในอนาคตจะเกิดปั้ม ไฮโดรเจนแทนนี้จะมีใครด่าผมว่าบ้าไหม ?" จากความรู้ที่เรารู้คือ H มีโมเลกุลขนาดเล็กมากไม่สามารถบีบอัดเป็นของเหลวที่อุณหภูมิห้องได้โดยง่าย หากแม้นทำก็จะมีแรงอัดมหาศาลจนยากที่จะมี material ที่มีประสิทธิภาพเพียงพอมาใช้ในอุตสาหกรรมครัวเรือน นอกจากนี้มันอันตราย แต่ในปัจจุบัน (จากการเปิดเผยข้อมูลงานวิจัยของ TOYOTA ศึกษาเพิ่มเติมเองนะครับ) เราสามารถทำการผสม H ในรูปแบบของเกลือได้เรียบร้อยแล้ว และยังมีประสิทธิภาพมากอีกด้วย โดยเกลือตัว ง่ายๆคือมันก็ถูกกักเก็บในรูปแบบของไหลนั้นแหละครับและจะมี สปริน คล้ายๆ เอ่อยังไงดีละเปรียบเทียบง่ายๆคล้ายๆแผ่นเซลที่ใช้ในอุตสาหกรรมเคมีที่ยอมให้ e ผ่านนั้นแหละครับ แต่สปรินตัวนี้จะทำให้เกลือคลาย H ออกมาเพื่อนำไปสันดาปเกิดพลังงานงาน และแน่นอนว่า ขณะที่อยู่ในรูปของไหลนั้น ไม่เกิดอันตรายจากประกายไฟแต่อย่างใด (สงสัยเพิ่มเติมหาอ่านเองครับเรื่องทางเทคนิคทั้งหลาย)
เนื่องจากพลังงานรูปแบบใหม่นี้ มีประสิทธิภาพไม่ต่างจาก น้ำมันเลยแถมของเสียคือน้ำ เท่าที่ผมจำได้คือ เติมเต็มถึง วิ่งได้ 400 กว่า km ให้กำลังได้ถึง 155 แรงม้า และเร่งความเร็ว 0-100 ใน 9 วินาที (ไม่ยืนยันนะครับ ศึกษาเอง) แล้วมันจะมาเป็นพลังงานใหม่แทนน้ำมันได้จริงหรือ ? ผมขอเพิ่มข้อมูลก่อนนึดหนึ่งนะครับ พลังงานที่เข้ามาอยู่ในรูปเกลือนี้ ก็ต้องมีการใช้พลังงานอื่นมาแปรรูปอยู่เหมือนกัน ปัจจุบัน ลิตรละ 15 บาทครับ แล้วมันจะแตกต่างจากการเอาพลังงานอื่นมาแปรรูปยังไง สู้น้ำมันเพียวๆเลยไม่ได้หรือ ? ผมคาดการว่าในอนาคตนั้น เราจะสามารถหาพลังงานในรูปแบบไฟฟ้าได้มากกว่าปัจจุบัน ทั้งจากเซลหรือแม้แต่พลังงานนิวเคลียร์ น้ำหนักที่ผมให้มากที่สุดคือพลังงานนิวเคลียร์ครับ โดยคาดการว่า โรงไฟฟ้านิวเคลียร์จะเกิดขึ้นอีกและมีประสิทธิภาพมากขึ้น และพลังงานไฟฟ้าเหล่านั้นส่วนหนึ่งจะถูกนำมาสร้างพลังงาน H ตัวนี้ เพราะอะไรนะหรือ ความคล้ายครับ คุณอาจมองถึงปั้มไฟฟ้าของรถไฟฟ้าแต่มันมีข้อเสียเปรียบที่ อัตราการชาต รอบชาต เวลา และการเดินกระแสแรงดันมาสู่ปั้มไฟฟ้าเหล่านั้น แต่ข้อได้เปรียบของปั้ม H คือมันเป็นของเหลวคล้ายน้ำมัน ทุกอย่างคล้ายคลึงกันอย่างมากแตกต่างที่เครื่องที่เอาไปสันดาปพลังงาน ดังนั้นไม่แปลกที่ในอนาคตมันจะถูกใช้แทนน้ำมันแน่ๆ โดยไม่ต้องรอให้น้ำมันหมดโลกหรอกครับ
สิ่งที่ตามมาคือ พวกตะวันออกกลางจะไม่ได้มีอำนาจในอุตสาหกรรมพลังงานโลกอีกต่อไป แต่จะเป็นใครผมไม่กล้าฟันธงหรอกนะครับ อาจจะไทยก็ได้ ? สิ่งที่ตามมาคือ ขั้วการก่อการร้ายจะถูกควบคุมมากขึ้น และปัญหา ISIS แน่นอนว่าจะค่อยๆหายไป (แต่ไม่ใช่ว่าจะหมดไป) สิ่งที่ตามมาคือเทคการอัดอั้นของเทคโนโลยีจะระเบิด เทคโนโลยีใหม่ๆจะเปิดตัวกันวันเว้นวันกันเลยทีเดียว โลก จะเข้าสู่ช่วงประติวัติเทคโนโลยี บทบาทของสหประชาชาติจะเพิ่มมากขึ้น ข้อมูลทางเทคโนโลยีจะเกิดเป็นชนวนสงครามเย็นครั้งใหม่ และผมคาดว่าผู้ที่ได้เปรียบในเขตเอเชีย หนึ่งในนั้นเป็นไทยแน่นอน (ทำไมผมถึงมีแนวคิดแบบนี้ จะขอเล่าในครั้งต่อไปนะครับ)
จะมาพูดถึงอุตสาหกรรมอื่นๆ จากที่บอกกล่าวเทคโนโลยีเปิดตัวใหม่ๆมากขึ้นนั้นหมายถึงเทคโนโลยีทางด้านวัสดุทดแทนอีกด้วย ในอนาคตอุตสาหกรรมเหล็กจะเริ่มรวมเป็นอุตสาหกรรมเดียวกันและมีราคาต่ำลง ส่วนวัสดุที่จะถูกนำมาทดแทนจะเป็น polymer มากกว่า นอกจากนี้แล้ว ในอีก 100-200 ปีถัดไปเป็นไปได้ว่า โลหะจะกลับมาเป็นอุตสาหกรรมหลักอีกครั้ง แต่นั้นหมายถึงทรัพยากรณ์จากอวกาศแล้ว (ซึ่งไกลไปนะครับอยู่กับความจริงกันก่อน (จริงๆมันก็มาไกลแล้วแต่เรายังพอนึกถึงได้ ยังยอมรับการเปลี่ยนแปลงได้อยู่จึงขอขีดเส้นไว้ก่อน) ) เข้าเรื่องต่อ หลังจากที่โลกเข้าสู่การอุปโภควัสดุทดแทนมากขึ้น เราจะมีการสร้างอณาจักรเทคโนโลยีครับ การทหารจะถูกโอนถ่ายไปสำแดงกันอยู่ในทะเลแทน แน่นอนว่า เทคโนโลยีอวกาศที่แข่งขันรุนแรงขึ้นจะส่งผลให้ภาคพื้นทะเลเองจะมีประสิทธิภาพสูงขึ้นไม่ต่างกัน พื้นดินจะกลายเป็นที่อยู่อาศัยเกือบ 95 % และปัญหาการเกษตรจะกลายเป็นข้อถกเถียงของโลก แอฟฟริกาจะเริ่มมีบทบาทสำคัญในอนาคต
มีหลายสิ่งจะเกิดการเปลี่ยนแปลงในไม่ช้านี้ครับ (ผมมองและวิเคราะห์ได้เช่นนี้จริงๆ) และมันน่าเป็นห่วงที่ว่าประเทศของเราจะปรับตัวได้อีกครั้งหรือไม่ แน่นอนว่าประวัติศาสตร์ของเราทำได้ดีมาโดยตลอด แต่คราวนี้โลกจะไม่ได้แข่งขันกันเหมือนก่อน แต่จะเริ่มเข้าสู่เฟสที่ว่าหล่อหลอมรวมกันมากขึ้นซึ่งในต่อไป โลกนี้จะเป็นปึกแผ่น รัฐเดียวกันแน่นอนแต่คงอีกนานแสนนาน ถึงอย่างไรก้าวต่อไปก็สำคัญ ดังนั้นไทยควร ไม่ใช่ มันต้องเป็น จำเป็นต้องใส่ใจในการเป็นประเทศผู้นำทางเทคโนโลยี มากกว่านี้ เช่น JP และ SK ที่มาถูกทาง ไม่ใช่เป็นแค่ฐานผลิตที่คิดอะไรไม่เป็น
เรามีการเกษตรที่เข้มแข็งแล้ว เหตุใดคนไทยถึงเผิดเฉยต่อกระแสเทคโนโลยีที่เราขาดไป ไม่ต้องเกรงใจกันหรอกครับ สงครามมันไม่ได้เกิดง่ายๆ ถ้าเราอยากลงแข่งในอุตสาหกรรมเทคโนโลยี เราก็ควร ปฏิวัติเปลี่ยนแปลงตัวเราเองมากกว่านี้ ก่อนที่จะเป็นชนชั้นแรงงานในอนาคต
นี้เป็น คหสต.ของเจ้าของกระทู้ และเป็นหลักความคิดที่อยากเล่าสู่กันฟัง ขอบคุณที่อ่านมาถึงตรงนี้ครับ
คุณคิดว่าโลกในอนาคตจะมุ่งไปในทิศทางไหน ทั้งเศรษฐกิจและการปกครองรวมถึงเทคโนโลยี
อันดับแรกขอพูดถึงการย้ำอยู่กับที่ของเศรษฐกิจโลกก่อนนะครับ ผมมองว่าหลายปีที่ผ่านมาอุตสาหกรรมของโลกที่บริโภคน้ำมันนั้นได้เข้าสู่วิกฤติเสียแล้ว ไม่ใช่ว่าน้ำมันที่เป็นอุปโภคหลักกำลังจะหายไปหรืออย่างไรนะครับแต่เพราะว่าผลกระทบจากการใช้นำมันนั้นเริ่มเข้าสู่ห้วงเวลาที่ว่า "ต้องการการเปลี่ยนแปลง" กล่าวคือหลายปีที่ผ่านมาหน่วยงานอิสระหลายหน่วยได้เกิดกลุ่มอนุรักษ์ซึ่งชี้ชัดว่าปัจจุบันผลกระทบจากพลังงานของซากฟอสซิลนั้นส่งผลกระทบต่อโลกค่อนข้างมาก และชี้ให้เห็นว่ามาตราการลดอัตราการใช้น้ำมันไม่ได้ช่วยลดหรือแก้ไขปัญหานี้ได้เลยแต่ตรงกันข้ามกับเป็นข้อต่อรองของประเทศมหาอำนาจในการกดขี่ข่มเหงประเทศที่กำลังพัฒนาเสียมากกว่า นอกจากปัญหาโลกร้อนที่เราคนปกติไม่คิดว่ามันส่งผลต่อแนวทางการเปลี่ยนแปลงเศรษฐกิจแล้วยังมีปัญหาการขัดแย้งที่รุนแรงอย่างเงียบๆอยู่อีก อย่างไร ?
ผมขอขยายภาพปัญหาโลกร้อนก่อนนะครับ เมื่อโลกร้อนและเกิดการเปลี่ยนแปลงในระดับมหภาคให้เห็นอย่างชัดเจนจนทำให้โลกเห็นถึงผลกระทบของพลังงานที่ไม่สะอาดจึงเกิดการควบคุมของการใช้เกิดขึ้น ซึ่งนำมาสู่มาตราการป้องกันการใช้พลังงาน การสนับสนุนพลังงานรูปแบบอื่น แม้ว่าแนวโน้มที่จะหันไปใปใช้พลังงานสะอาดมากขึ้นเป็นสิ่งที่ดี แต่ช่วงที่จะมีการเปลี่ยนแปลงนั้นอำนาจเก่าจะมีอำนาจมากและจะใช้ขุมกำลังเดิมเพื่อดำรงไว้ซึ่งอำนาจต่อรองอย่างมากที่สุดให้นานที่สุด ประเทศที่มีแหล่งพลังงานจึงสามารถขึ้นราคาเพื่อเป็นหนึ่งในกลไกการลดการใช้งาน แต่ใช่ครับอย่างไรก็ตามน้ำมันนั้นก็ยังขึ้นอยู่กับความต้องการอยู่ดีเราจึงมองไม่เห็นในจุดนี้ นอกจากนี้แล้วเมื่อเกิดความขัดแย้งของกลุ่มประเทศที่มีพลังงานกับประเทศอื่น ประเทศที่มีพลังงานสำรองมากมายจะสามารถใช้โอกาสที่มูลค้าของน้ำมันนั้นกดดันให้ต่างชาติหรือชาติพันธมิตรช่วยเหลือได้อย่างง่ายดาย ถือว่าเป็นสื่อช่วยในการกดดันอีกหนทางหนึ่ง สงครามการพลักดันราคาน้ำมันจึงเกิดขึ้นให้เราเห็นบ่อยๆ ทั้งเย็นและร้อน
แล้วสงคราม ? เราต่างรู้ว่าสงครามนั้นถือเป็นหนึ่งในกลไกโลกที่สร้างความก้าวหน้ามาตั้งแต่ยุคก่อนๆ อย่างไรก็ตามในปัจจุบันนั้นสงครามที่จะเกิดเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ยาก แต่ก็ว่าจะเป็นไปไม่ได้เลยก็ไม่ใช่ ด้วยเหตุนี้กลไกดังกล่าวจึงมาอยู่ในรูปของการก่อการร้ายและแน่นอนว่าสิ่งเหล่านี้ก็มีส่วนขับเคลื่อนเป็นเงินทุนมหาศาลและมูลค่าของการก่อการร้ายแน่นอนว่าถูกตีขึ้นด้วยทรัพยากรธรรมชาตินั้นเอง (พลังงานและ ฯลฯ) แต่คุณอย่ามองข้ามอะไรไปนะครับ การเปลี่ยนแปลงกำลังจะเกิดขึ้นใช่หรือปล่าว ? ผมกล้าตอบว่า ใช่ ครับ (เป็นการคิดวิเคราะห์ส่วนตัว) ยังไงนะหรือ ผมคาดการว่า ณ ปัจจุบันนั้นเทคโนโลยีได้ก้าวกระโดดไปมากมายแล้วและคาดว่าเหลือจิ๊กซอเพียงไม่กี่ตัวเท่านั้นที่จะทำให้วงการณ์วิทยาศาสตร์สมบูรณ์พอที่จะเข้ามากำหนดทิศทางเศรษฐกิจโลก
คือถ้ามองง่ายๆก็คือ เราอยู่ใกล้มันมากเกินไปครับ เราสัมผัสมันทุกวัน ทุกวันจนเกิดอาการที่เรียกว่า "ไม่รับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลง" แต่หากเราถอยออกมามองจริงๆผมคิดว่าเราจะมองเห็นในทิศทางที่ควรจะเป็นไป ง่ายๆก็เช่น คุณสัมผัสไม่ได้หรอกว่าเพื่อนของคุณแฟนเก่าของคุณสวยขึ้นทุกวันผอมลงทุกวันเมื่อคุณอยู่กับคนเหล่านี้ทุกวัน แต่หากคุณห่างกัน สาม สี่ เดือน คุณอาจกลับมาแล้วแอบสงสัยว่า แฟนเก่าคุณนั้นสวยขึ้นจนนึกเสียดาย ก็ประมาณนี้แหละครับ
ผมจะขอเล่าทีละเรื่องๆนะครับ อันดับแรกเรามองดูสภาพสังคมที่กำลังจะเปลี่ยนไปเสียก่อน หลายปีที่ผ่านมานั้นโลกเข้าสู่ช่วงไหลปลายของวงการ IT ในส่วนนี้เรามาพูดถึงโซเชียลเป็นอันดับแรกก่อน เนื่องด้วยปัจจุบันการสื่อสารพัฒนาไปไกลและขยับเข้ามาในตัวของพวกเรามากขึ้นจึงไม่แปลกที่ว่าธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับมวลชนจึงเป็นสิ่งที่มีมูลค่ามากขึ้นและฉับไวเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก หากคุณสังเกตุทุกวันนี้ช่อง TV นั้นมีมูลค่าการตลาดที่ต่ำลงอย่างมาก ผมหมายถึงช่องเกิดใหม่นะครับ เพราะพฤติกรรมเรามนุษย์มักจะไม่ชอบการเปลี่ยนแปลงดังนั้นการที่ช่องเกิดใหม่จะมามีอิทธิพลต่อการดู TV ของเรานั้นถือว่าน้อยมาก โฆษณาเองก็ปรับเปลี่ยนยุทธวิธีโดยการเข้าไปอยู่ในสื่ออื่นมากกว่าหน้าหนังสือพิมพ์และโทรทัศน์ แม้รายการ TV ข่าวก็ยังนำอัพโหลดขึ้นสื่อออนไลน์เป็นหนึ่งในหนทางรับงานโฆษณาเพิ่ม บางทีเราอาจไม่รู้ตัวว่าเราเสพข่าว(ทั้งข่าวและบันเทิง)มากขึ้น ลองนึกดูสิครับข่าวข่มขืนฆาตกรรม ครั้งอดีตเรื่องพวกนี้คุณรับรู้มากเท่าไหร่ ส่วนมากเมื่อก่อนเด็กก็ยังอยู่กับช่องการ์ตูนมากกว่ารายการข่าวช่วงหัวค่ำซะอีก แต่ปัจจุบันนั้นเรารับรู้ได้เร็วขึ้นมากขึ้นปริมาณมากขึ้นโดยไม่รู้ตัว ดันนั้นส่งผลให้พฤติกรรมของคนส่วนใหญ่ไปในทิศทางอื่นทั้งดีและร้าย(ผมไม่ขอพูดถึง) แม้แต่การค้าคุณก็เห็นว่าปัจจุบันก็ใช้สื่อเป็นตัวช่วยเช่นเดียวกันยังมีเรื่องการเมืองและกระแสสังคมอีกมากมาย หลายเรื่องครับพูดไปทั้งวันคงไม่หมด แต่บางทีเราอาจได้ยินได้ฟังมาอีกเช่นการแพทย์ ในอนาคตผมคิดว่าการให้คำปรึกษาแบบรายเดือนรายปีเป็นสมาชิกทางการแพทย์กับเวปโรงบาลชั้นนำและมิประสิทธิภาพจะเกิดขึ้นและเห็นชัดมากกว่านี้ (ทุกวันนี้มีงานวิจัยโรบอทที่สั่งการระยะไกล คุณลองคิดดูว่าจะมีหุ่นยนต์วัดค่าต่างๆจากตัวคุณให้คุณอ้าปากถ่างปากปริ้นตาแล้วใช้กล้องความละเอียดสูงส่งภาพไปให้แพทย์วินิจฉัยจะเป็นเรื่องปกติในอนาคต) หรือแม้แต่งานวิจัยโลกเสมือนของ google และ facebook ผ่านแว่นตาสี่มิติก็เริ่มเป็นรูปเป็นร่าง ไม่แน่นะครับคุณอาจวิ่งบนลู่วิ่งออกแบบพิเศษที่บ้านแต่ได้ทิวทัศของสะพานสวยๆที่ต่างประเทศ
มาเข้าเรื่องพลังงานและอุตสาหกรรมหลักกัน เริ่มจากนำมันกันก่อน ผมเดาว่ามีไม่กี่คนที่ได้รับข่าวสารแล้วว่าปัจจุบันเทคโนโลยีสารประกอบและโพลีเมอร์นั้นได้ก้าวกระโดดไปไกลมาก ซึ่งแม้จิ๊กซอจะยังไม่ครบแต่ก็เป็นรูปเป็นร่างแล้ว ถ้าผมจะบอกว่า "มีโอกาสที่ในอนาคตจะเกิดปั้ม ไฮโดรเจนแทนนี้จะมีใครด่าผมว่าบ้าไหม ?" จากความรู้ที่เรารู้คือ H มีโมเลกุลขนาดเล็กมากไม่สามารถบีบอัดเป็นของเหลวที่อุณหภูมิห้องได้โดยง่าย หากแม้นทำก็จะมีแรงอัดมหาศาลจนยากที่จะมี material ที่มีประสิทธิภาพเพียงพอมาใช้ในอุตสาหกรรมครัวเรือน นอกจากนี้มันอันตราย แต่ในปัจจุบัน (จากการเปิดเผยข้อมูลงานวิจัยของ TOYOTA ศึกษาเพิ่มเติมเองนะครับ) เราสามารถทำการผสม H ในรูปแบบของเกลือได้เรียบร้อยแล้ว และยังมีประสิทธิภาพมากอีกด้วย โดยเกลือตัว ง่ายๆคือมันก็ถูกกักเก็บในรูปแบบของไหลนั้นแหละครับและจะมี สปริน คล้ายๆ เอ่อยังไงดีละเปรียบเทียบง่ายๆคล้ายๆแผ่นเซลที่ใช้ในอุตสาหกรรมเคมีที่ยอมให้ e ผ่านนั้นแหละครับ แต่สปรินตัวนี้จะทำให้เกลือคลาย H ออกมาเพื่อนำไปสันดาปเกิดพลังงานงาน และแน่นอนว่า ขณะที่อยู่ในรูปของไหลนั้น ไม่เกิดอันตรายจากประกายไฟแต่อย่างใด (สงสัยเพิ่มเติมหาอ่านเองครับเรื่องทางเทคนิคทั้งหลาย)
เนื่องจากพลังงานรูปแบบใหม่นี้ มีประสิทธิภาพไม่ต่างจาก น้ำมันเลยแถมของเสียคือน้ำ เท่าที่ผมจำได้คือ เติมเต็มถึง วิ่งได้ 400 กว่า km ให้กำลังได้ถึง 155 แรงม้า และเร่งความเร็ว 0-100 ใน 9 วินาที (ไม่ยืนยันนะครับ ศึกษาเอง) แล้วมันจะมาเป็นพลังงานใหม่แทนน้ำมันได้จริงหรือ ? ผมขอเพิ่มข้อมูลก่อนนึดหนึ่งนะครับ พลังงานที่เข้ามาอยู่ในรูปเกลือนี้ ก็ต้องมีการใช้พลังงานอื่นมาแปรรูปอยู่เหมือนกัน ปัจจุบัน ลิตรละ 15 บาทครับ แล้วมันจะแตกต่างจากการเอาพลังงานอื่นมาแปรรูปยังไง สู้น้ำมันเพียวๆเลยไม่ได้หรือ ? ผมคาดการว่าในอนาคตนั้น เราจะสามารถหาพลังงานในรูปแบบไฟฟ้าได้มากกว่าปัจจุบัน ทั้งจากเซลหรือแม้แต่พลังงานนิวเคลียร์ น้ำหนักที่ผมให้มากที่สุดคือพลังงานนิวเคลียร์ครับ โดยคาดการว่า โรงไฟฟ้านิวเคลียร์จะเกิดขึ้นอีกและมีประสิทธิภาพมากขึ้น และพลังงานไฟฟ้าเหล่านั้นส่วนหนึ่งจะถูกนำมาสร้างพลังงาน H ตัวนี้ เพราะอะไรนะหรือ ความคล้ายครับ คุณอาจมองถึงปั้มไฟฟ้าของรถไฟฟ้าแต่มันมีข้อเสียเปรียบที่ อัตราการชาต รอบชาต เวลา และการเดินกระแสแรงดันมาสู่ปั้มไฟฟ้าเหล่านั้น แต่ข้อได้เปรียบของปั้ม H คือมันเป็นของเหลวคล้ายน้ำมัน ทุกอย่างคล้ายคลึงกันอย่างมากแตกต่างที่เครื่องที่เอาไปสันดาปพลังงาน ดังนั้นไม่แปลกที่ในอนาคตมันจะถูกใช้แทนน้ำมันแน่ๆ โดยไม่ต้องรอให้น้ำมันหมดโลกหรอกครับ
สิ่งที่ตามมาคือ พวกตะวันออกกลางจะไม่ได้มีอำนาจในอุตสาหกรรมพลังงานโลกอีกต่อไป แต่จะเป็นใครผมไม่กล้าฟันธงหรอกนะครับ อาจจะไทยก็ได้ ? สิ่งที่ตามมาคือ ขั้วการก่อการร้ายจะถูกควบคุมมากขึ้น และปัญหา ISIS แน่นอนว่าจะค่อยๆหายไป (แต่ไม่ใช่ว่าจะหมดไป) สิ่งที่ตามมาคือเทคการอัดอั้นของเทคโนโลยีจะระเบิด เทคโนโลยีใหม่ๆจะเปิดตัวกันวันเว้นวันกันเลยทีเดียว โลก จะเข้าสู่ช่วงประติวัติเทคโนโลยี บทบาทของสหประชาชาติจะเพิ่มมากขึ้น ข้อมูลทางเทคโนโลยีจะเกิดเป็นชนวนสงครามเย็นครั้งใหม่ และผมคาดว่าผู้ที่ได้เปรียบในเขตเอเชีย หนึ่งในนั้นเป็นไทยแน่นอน (ทำไมผมถึงมีแนวคิดแบบนี้ จะขอเล่าในครั้งต่อไปนะครับ)
จะมาพูดถึงอุตสาหกรรมอื่นๆ จากที่บอกกล่าวเทคโนโลยีเปิดตัวใหม่ๆมากขึ้นนั้นหมายถึงเทคโนโลยีทางด้านวัสดุทดแทนอีกด้วย ในอนาคตอุตสาหกรรมเหล็กจะเริ่มรวมเป็นอุตสาหกรรมเดียวกันและมีราคาต่ำลง ส่วนวัสดุที่จะถูกนำมาทดแทนจะเป็น polymer มากกว่า นอกจากนี้แล้ว ในอีก 100-200 ปีถัดไปเป็นไปได้ว่า โลหะจะกลับมาเป็นอุตสาหกรรมหลักอีกครั้ง แต่นั้นหมายถึงทรัพยากรณ์จากอวกาศแล้ว (ซึ่งไกลไปนะครับอยู่กับความจริงกันก่อน (จริงๆมันก็มาไกลแล้วแต่เรายังพอนึกถึงได้ ยังยอมรับการเปลี่ยนแปลงได้อยู่จึงขอขีดเส้นไว้ก่อน) ) เข้าเรื่องต่อ หลังจากที่โลกเข้าสู่การอุปโภควัสดุทดแทนมากขึ้น เราจะมีการสร้างอณาจักรเทคโนโลยีครับ การทหารจะถูกโอนถ่ายไปสำแดงกันอยู่ในทะเลแทน แน่นอนว่า เทคโนโลยีอวกาศที่แข่งขันรุนแรงขึ้นจะส่งผลให้ภาคพื้นทะเลเองจะมีประสิทธิภาพสูงขึ้นไม่ต่างกัน พื้นดินจะกลายเป็นที่อยู่อาศัยเกือบ 95 % และปัญหาการเกษตรจะกลายเป็นข้อถกเถียงของโลก แอฟฟริกาจะเริ่มมีบทบาทสำคัญในอนาคต
มีหลายสิ่งจะเกิดการเปลี่ยนแปลงในไม่ช้านี้ครับ (ผมมองและวิเคราะห์ได้เช่นนี้จริงๆ) และมันน่าเป็นห่วงที่ว่าประเทศของเราจะปรับตัวได้อีกครั้งหรือไม่ แน่นอนว่าประวัติศาสตร์ของเราทำได้ดีมาโดยตลอด แต่คราวนี้โลกจะไม่ได้แข่งขันกันเหมือนก่อน แต่จะเริ่มเข้าสู่เฟสที่ว่าหล่อหลอมรวมกันมากขึ้นซึ่งในต่อไป โลกนี้จะเป็นปึกแผ่น รัฐเดียวกันแน่นอนแต่คงอีกนานแสนนาน ถึงอย่างไรก้าวต่อไปก็สำคัญ ดังนั้นไทยควร ไม่ใช่ มันต้องเป็น จำเป็นต้องใส่ใจในการเป็นประเทศผู้นำทางเทคโนโลยี มากกว่านี้ เช่น JP และ SK ที่มาถูกทาง ไม่ใช่เป็นแค่ฐานผลิตที่คิดอะไรไม่เป็น
เรามีการเกษตรที่เข้มแข็งแล้ว เหตุใดคนไทยถึงเผิดเฉยต่อกระแสเทคโนโลยีที่เราขาดไป ไม่ต้องเกรงใจกันหรอกครับ สงครามมันไม่ได้เกิดง่ายๆ ถ้าเราอยากลงแข่งในอุตสาหกรรมเทคโนโลยี เราก็ควร ปฏิวัติเปลี่ยนแปลงตัวเราเองมากกว่านี้ ก่อนที่จะเป็นชนชั้นแรงงานในอนาคต
นี้เป็น คหสต.ของเจ้าของกระทู้ และเป็นหลักความคิดที่อยากเล่าสู่กันฟัง ขอบคุณที่อ่านมาถึงตรงนี้ครับ