สวัสดีค่ะ กระทู้นี้เป็นกระทู้แรกที่เราอยากเขียนรีวิวประสบการณ์แบกเป้เที่ยวคนเดียวครั้งแรกที่สังขละบุรีเมื่อวันที่26-28 ส.ค.ที่ผ่านมา
ปกติเราเป็นคนชอบเที่ยวอยู่แล้ว ที่ไหนก็ได้ขอแค่ได้ก้าวขาออกจากบ้าน ลำบากยังไงก็ทนได้ขอแค่ได้ออกไปเที่ยว แต่ด้วยอายุที่เพิ่มขึ้น ภาระความรับผิดชอบก็เพิ่มขึ้นตามอายุและเวลาว่างที่มีอันน้อยนิด ช่วงหลังๆนี้ก็เลยไม่ค่อยได้ไปไหนสักเท่าไหร่
ก่อนหน้าที่จะเกิดทริปนี้ขึ้น เราเริ่มรู้สึกว่าชีวิตมันตึงกับงานมากเกินไปแล้ว ทำแต่งานเหมือนเดิมทุกวัน โค-ตะ-ระน่าเบื่อ ประกอบกับว่าเราไม่ใช่มนุษย์ประเภทบ้างานบ้าพลังทำงานเพื่อเก็บเงินแต่ไม่มีเวลาใช้ซะด้วยสิ่ ความเบื่อเริ่มสะสมขึ้นเรื่อยๆจนถึงจุดที่เรารู้สึกว่าไม่ไหว เราต้องพักความคิดพักร่างกายที่ไหนสักที่หนึ่ง searchหาข้อมูลในอินเตอร์เน็ตดูสถานที่ท่องเที่ยวที่ไม่ไกลจากกรุงเทพมากนัก ใช้เวลาเดินทาง+เที่ยวได้ภายใน3วัน2คืน กับงบประมาณไม่เกิน3000บาท ดูไปดูมาสุดท้ายก็มาตกลงปลงใจกับอ.สังขละบุรี จ.กาญจนบุรี
เอาล่ะตัดสินใจปุบปับไปเลย หาวิธีเดินทางไปที่นั่นก็มาสะดุดกับ"รถไฟฟรี" เราต้องไปขึ้นรถที่สถานีธนบุรี รถไฟออกเวลา7.50น.และไปลงที่สถานีสุดท้ายคือสถานีน้ำตก ว่าแต่สถานีธนบุรีอยู่ที่ไหน? หาข้อมูลไปเรื่อยๆก็อ๋อ อยู่หลังรพ.ศิริราชนี่เอง ได้ความแล้วก็ไปสิ่รออะไร เห็นเค้าว่ากันว่าระหว่างทางวิวสวยน่าดู ไม่ลองไม่รู้เนอะ ไปรถไฟฟรีนี่ล่ะ let's go!
วันที่1 วันเดินทาง : Along the track
เริ่มต้นวันใหม่ด้วยความตื่นเต้นปนง่วงเล็กๆ เราตื่นตั้งแต่ตี5ครึ่ง อาบน้ำแต่งตัวเช็คของที่จะต้องเตรียมไป ที่จริงแล้วบ้านเราอยู่ไกลจากสถานีรถไฟธนบุรีพอสมควร แต่เราขอมานอนค้างคืนกับพี่สาวเราซึ่งที่พักเค้าค่อนข้างใกล้กับสถานีรถไฟธนบุรี ประหยัดเวลาเดินทางได้อีกเยอะเลย
เราไปถึงสถานีตั้งแต่6.50ก่อนเวลาตั้ง1ชม.แหน่ะ ก็คนมันตื่นเต้นนี่นา พอไปถึงก็ไปที่ช่องขายตั๋วบอกพี่เจ้าหน้าที่คนสวยว่า"ไปสถานีน้ำตกค่ะ"พร้อมยื่นบัตรประชาชน แค่นี้ก็ได้ตั๋วฟรีมาแล้วววว
ว่าแต่...ทำไมตั๋วมันยับขนาดนี้เนี่ย ฮ่าๆๆ
7.40 รถไฟขบวนที่เราจะไปก็มาจอดเทียบชานชลา เราไม่รอช้ารีบเข้าห้องน้ำที่สถานีให้เรียบร้อยเพราะรู้กิตติศัพท์ร่ำลือของห้องน้ำบนรถไฟเลยไม่ขอใช้บริการจะดีกว่า 555
ขึ้นมาบนรถไฟหาที่นั่งเหมาะๆและต้องเป็นฝั่งซ้ายเท่านั้นนะ เหตุผลที่ต้องเป็นฝั่งซ้ายเพราะวิวฝั่งนี้สวยมากค่ะ ยิ่งถึงตรงทางรถไฟสายมรณะขอบอกว่ามองเพลินจนอาจจะลืมถ่ายรูปเลย ใครที่มีแพลนจะมาสังขละบุรีด้วยรถไฟฟรีอย่าลืมนะ ฝั่งซ้ายคือดีค่ะ 555
7.50 รถไฟออกตรงเวลาเป๊ะๆ กิจกรรมต่อไปของเราคือหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเสียบหูฟังเปิดเพลงดังๆ enjoy sight seeing กันไปยาวๆ ระหว่างทางก็มีแม่ค้าขึ้นมาขายของเรื่อยๆทั้งน้ำดื่ม ขนม กับข้าว เยอะแยะไปหมด
ช่วงกรุงเทพถึงบ้านโป่งจ.ราชบุรีก็ไม่มีอะไรมากค่ะ แต่พอเข้าจ.กาญจนบุรีเราจะรู้สึกได้ถึงความชะอุ่ม สีเขียวของต้นไม้ ผืชผักไร่นาระหว่างทาง ภูเขาและทิวหมอก โอ้ยยยย ฟินที่สุดฟินจนลืมง่วงไปแล้วอ่ะเธอ เรานั่งคนเดียวมาตลอดทางไม่ได้เพื่อนบนขบวนรถไฟเลย คนค่อนข้างน้อยเป็นเพราะเราไปวันธรรมดาแถมหน้าฝนอีกต่างหาก ก็เลยต้องนั่งเงียบๆคนเดียวไป
ไร่ข้าวโพดกำลังออกดอกเลย สวยเนอะ

นั่งดูวิวไปเรื่อยๆเวลาผ่านไปไวจริงๆ แล้วเราก็มาถึงจุดพีคของรถไฟสายนี้ค่ะ ช่วงทางรถไฟสายมรณะที่ขึ้นชื่อว่าเป็นทางรถไฟที่มีวิวสวยมากที่สุดในประเทศไทย กล้องพร้อมคนพร้อม ทุกคนในขบวนรถไฟพร้อมใจมากระจุกกันอยู่ทางฝั่งซ้ายของขบวน และยื่นมือออกไปถ่ายรูปกันยกใหญ่ เรานี่ลุกขึ้นยืนเลยค่ะถ่ายรูปเพลินมาก พี่คนขับรถไฟก็เหมือนรู้ใจ ขบวนรถไฟเคลื่อนตัวช้าสุดๆช้าจนถึงขนาดที่คนเดินยังเร็วกว่า 555 แต่ก็ดีค่ะขอบคุณมากๆเลย เราเก็บภาพสวยๆตรงนี้ไว้ได้ทันหลายภาพเลยด้วย อวดๆนี่แหน่ะ
แถมอีกรูป
ขณะที่เรากำลังตื่นตาตื่นใจกับบรรยากาศอยู่ดีๆสายตาก็มาหยุดอยู่ที่คุณยายคนนี้ แกยืนอยู่ตรงช่องสำหรับให้คนเข้าไปหลบรถไฟ สีหน้าแววตาแกดูเครียดแบบบอกไม่ถูก ในขณะที่เรากำลังมีความสุขยังมีอีกหลายคนกำลังทุกข์ใจ ยังไงก็สู้ๆนะคะคุณยายหนูเป็นกำลังใจให้ พักโหมดดราม่ามาเที่ยวกันต่อเนอะ...
ในตั๋วบอกว่าเราจะไปถึงสถานีน้ำตกเวลา12.35น.แต่เอาเข้าจริงช้าจากเดิมไปอีก1ชม.ค่ะ ประมาณบ่ายโมงครึ่งเราถึงสถานีน้ำตก ลงมาจากรถไฟจะเห็นรถสองแถวจอดอยู่เต็มไปหมด ขึ้นเลยค่ะเค้าจะพาเราไปส่งหน้าน้ำตกไทรโยคน้อยเพื่อต่อรถเข้าสังขละบุรี ค่ารถคนละซาวบาท ก็20บาทนั่นแหละจ้า
เจ้าตัวเล็กนี่หลับมาบนรถไฟตลอดทาง โดนแม่ปลุกมาขึ้นรถสองแถวหน้าตายังงัวเงียอยู่เลย
นั่งมาประมาณ10นาทีก็ถึงแล้วค่ะ เราเลือกวิธีเดินทางเข้าสังขละบุรีโดยการนั่งรถแดง จริงๆมีรถตู้เข้าสังขละบุรีด้วยนะขับไวกว่าประมาณชม.ครึ่งเลยแต่เราอยากเสพธรรมชาติเลยยอมเมื่อยก้นนั่งรถแดงดีกว่า รถแดงจะออกทุกๆ30นาที ระหว่างรอรถเราก็มาหาข้าวมื้อแรกกินเพิ่มพลังไว้แบกกระเป๋าต่อ
อาหารมื้อแรกของเรา... ผัดซีอิ๊วหมูววววว อิอิ
เราไปรอรถแดงตรงใต้ต้นไม้ใหญ่ๆมุมบนซ้ายของรูปค่ะ สังเกตุง่ายเพราะต้นไม้ใหญ่มากกกกก
กินข้าวเสร็จสักพักก็มานั่งรอรถใต้ต้นไม้ใหญ่หน้า7-11ฝั่งตรงข้ามน้ำตกค่ะ นั่งรอสักพักรถก็มาทำเวลาได้ดีจริงๆ เราขึ้นรถตอนประมาณ 14.15น.น่าจะได้ ค่ารถแดงจากหน้าน้ำตกไปสังขละบุรีเป็นเงิน130บาทค่ะ จ่ายเงินเสร็จก็เพลิดเพลินกับธรรมชาติระหว่างทางกันต่อ รถวิ่งขึ้นเขาลงเขาตลอดทาง เราโชคดีไม่เมารถเลยและยังคงถ่ายรูปไปเรื่อยๆเก็บภาพทันบ้างไม่ทันบ้างก็หยวนๆกันไป เพราะยังไงเราก็เก็บภาพไว้ในmemoryสมองหมดแล้ว
รถแดงหน้าตาเป็นแบบนี้ ถ่ายไว้ได้ทันตอนรถสวนกันพอดี
นั่งหน้าเลย กระเป๋าหนักจะได้ขึ้นง่ายลงง่าย

ตั้งแต่กรุงเทพจนถึงน้ำตกไทรโยคน้อยเราไม่เจอฝนเลยสักเม็ด แต่พอเริ่มเข้าทองผาภูมิก็เริ่มเจอฝนบ้าง รถวิ่งไปสักพักใหญ่ๆเราต้องลงจากรถคันเดิมเพื่อเปลี่ยนรถไปอีกคัน ตรงนี้ไม่ต้องเสียเงินเพิ่มนะคะแค่เปลี่ยนรถเฉยๆเหมือนเค้าส่งช่วงต่อกันค่ะ
รอบแรกนั่งหน้าพอเปลี่ยนรถขอนั่งหลังแล้วกันที่กว้างดีจะได้เหยียดขาด้วย
หลังจากเปลี่ยนขึ้นรถอีกคันฝนก็เริ่มตกปรอยๆ จากตกปรอยๆก็เริ่มเทลงมา นึกภาพตามนะคะนั่งไปน้ำก็รั่วไป คนเริ่มเยอะเพราะน้องๆนักเรียนก็ใช้บริการรถแดงในการเดินทางกลับบ้าน ที่นั่งเต็มเกือบทุกที่จะเปลี่ยนที่นั่งก็ไม่ได้ จะลุกยืนระยะทางก็ไกลเชียวเมื่อยแน่ๆ เลยจำใจต้องนั่งต่อไป ระหว่างนั้นนั่งไปก็เอามือเช็ดน้ำไปด้วย สนุกดีเหมือนกันค่ะ 555 เอาเป็นว่าชื้นไปตลอดทางเพราะฝนตกตลอดไม่หยุดเลย เดี๋ยวแรงเดี๋ยวเบา
ระหว่างทางไปสังขละบุรี
เราไม่ได้เตรียมร่มกับรองเท้าแตะมา ลืมสนิทเลย ดูระยะทางจากหลักกิโลใกล้ถึงสังขละแล้ว ในใจก็ภาวนาให้ฝนหยุดตกสักทีเถอะจะถึงอยู่แล้ว เดี๋ยวต้องไปหาที่พักอีกยังไม่รู้ว่าอยู่ตรงไหนเลยสิ่งศักดิ์สิทธิ์ช่วยลูกด้วย 555 เรื่องจริงเลยค่ะอธิษฐานแบบนี้จริงๆคือมันไม่มีวี่แววว่าฝนจะหยุดตกเลย ตอนนั้นเรากังวลมากกลัวของเปียกที่สำคัญเลยคือกล้องถ้ากล้องพังทริปนี้คือจบไม่มีรูปเลย แต่แล้วทุกอย่างก็เป็นใจให้เรา เราถึงสังขละบุรีแบบไม่มีฝน ฮ่าๆยิ้มออกละ เวลาตอนนั้นประมาณ6โมงนิดๆ รวมระยะเวลาเดินทางบนรถแดงประมาณ4ชม. ในที่สุดก้อมาถึงจนได้
สังขละ-หน้าฝน-คนจร (26-28 ส.ค. 2558)
สวัสดีค่ะ กระทู้นี้เป็นกระทู้แรกที่เราอยากเขียนรีวิวประสบการณ์แบกเป้เที่ยวคนเดียวครั้งแรกที่สังขละบุรีเมื่อวันที่26-28 ส.ค.ที่ผ่านมา
ปกติเราเป็นคนชอบเที่ยวอยู่แล้ว ที่ไหนก็ได้ขอแค่ได้ก้าวขาออกจากบ้าน ลำบากยังไงก็ทนได้ขอแค่ได้ออกไปเที่ยว แต่ด้วยอายุที่เพิ่มขึ้น ภาระความรับผิดชอบก็เพิ่มขึ้นตามอายุและเวลาว่างที่มีอันน้อยนิด ช่วงหลังๆนี้ก็เลยไม่ค่อยได้ไปไหนสักเท่าไหร่
ก่อนหน้าที่จะเกิดทริปนี้ขึ้น เราเริ่มรู้สึกว่าชีวิตมันตึงกับงานมากเกินไปแล้ว ทำแต่งานเหมือนเดิมทุกวัน โค-ตะ-ระน่าเบื่อ ประกอบกับว่าเราไม่ใช่มนุษย์ประเภทบ้างานบ้าพลังทำงานเพื่อเก็บเงินแต่ไม่มีเวลาใช้ซะด้วยสิ่ ความเบื่อเริ่มสะสมขึ้นเรื่อยๆจนถึงจุดที่เรารู้สึกว่าไม่ไหว เราต้องพักความคิดพักร่างกายที่ไหนสักที่หนึ่ง searchหาข้อมูลในอินเตอร์เน็ตดูสถานที่ท่องเที่ยวที่ไม่ไกลจากกรุงเทพมากนัก ใช้เวลาเดินทาง+เที่ยวได้ภายใน3วัน2คืน กับงบประมาณไม่เกิน3000บาท ดูไปดูมาสุดท้ายก็มาตกลงปลงใจกับอ.สังขละบุรี จ.กาญจนบุรี
เอาล่ะตัดสินใจปุบปับไปเลย หาวิธีเดินทางไปที่นั่นก็มาสะดุดกับ"รถไฟฟรี" เราต้องไปขึ้นรถที่สถานีธนบุรี รถไฟออกเวลา7.50น.และไปลงที่สถานีสุดท้ายคือสถานีน้ำตก ว่าแต่สถานีธนบุรีอยู่ที่ไหน? หาข้อมูลไปเรื่อยๆก็อ๋อ อยู่หลังรพ.ศิริราชนี่เอง ได้ความแล้วก็ไปสิ่รออะไร เห็นเค้าว่ากันว่าระหว่างทางวิวสวยน่าดู ไม่ลองไม่รู้เนอะ ไปรถไฟฟรีนี่ล่ะ let's go!
วันที่1 วันเดินทาง : Along the track
เริ่มต้นวันใหม่ด้วยความตื่นเต้นปนง่วงเล็กๆ เราตื่นตั้งแต่ตี5ครึ่ง อาบน้ำแต่งตัวเช็คของที่จะต้องเตรียมไป ที่จริงแล้วบ้านเราอยู่ไกลจากสถานีรถไฟธนบุรีพอสมควร แต่เราขอมานอนค้างคืนกับพี่สาวเราซึ่งที่พักเค้าค่อนข้างใกล้กับสถานีรถไฟธนบุรี ประหยัดเวลาเดินทางได้อีกเยอะเลย
เราไปถึงสถานีตั้งแต่6.50ก่อนเวลาตั้ง1ชม.แหน่ะ ก็คนมันตื่นเต้นนี่นา พอไปถึงก็ไปที่ช่องขายตั๋วบอกพี่เจ้าหน้าที่คนสวยว่า"ไปสถานีน้ำตกค่ะ"พร้อมยื่นบัตรประชาชน แค่นี้ก็ได้ตั๋วฟรีมาแล้วววว
7.40 รถไฟขบวนที่เราจะไปก็มาจอดเทียบชานชลา เราไม่รอช้ารีบเข้าห้องน้ำที่สถานีให้เรียบร้อยเพราะรู้กิตติศัพท์ร่ำลือของห้องน้ำบนรถไฟเลยไม่ขอใช้บริการจะดีกว่า 555
ขึ้นมาบนรถไฟหาที่นั่งเหมาะๆและต้องเป็นฝั่งซ้ายเท่านั้นนะ เหตุผลที่ต้องเป็นฝั่งซ้ายเพราะวิวฝั่งนี้สวยมากค่ะ ยิ่งถึงตรงทางรถไฟสายมรณะขอบอกว่ามองเพลินจนอาจจะลืมถ่ายรูปเลย ใครที่มีแพลนจะมาสังขละบุรีด้วยรถไฟฟรีอย่าลืมนะ ฝั่งซ้ายคือดีค่ะ 555
7.50 รถไฟออกตรงเวลาเป๊ะๆ กิจกรรมต่อไปของเราคือหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเสียบหูฟังเปิดเพลงดังๆ enjoy sight seeing กันไปยาวๆ ระหว่างทางก็มีแม่ค้าขึ้นมาขายของเรื่อยๆทั้งน้ำดื่ม ขนม กับข้าว เยอะแยะไปหมด
ช่วงกรุงเทพถึงบ้านโป่งจ.ราชบุรีก็ไม่มีอะไรมากค่ะ แต่พอเข้าจ.กาญจนบุรีเราจะรู้สึกได้ถึงความชะอุ่ม สีเขียวของต้นไม้ ผืชผักไร่นาระหว่างทาง ภูเขาและทิวหมอก โอ้ยยยย ฟินที่สุดฟินจนลืมง่วงไปแล้วอ่ะเธอ เรานั่งคนเดียวมาตลอดทางไม่ได้เพื่อนบนขบวนรถไฟเลย คนค่อนข้างน้อยเป็นเพราะเราไปวันธรรมดาแถมหน้าฝนอีกต่างหาก ก็เลยต้องนั่งเงียบๆคนเดียวไป
นั่งดูวิวไปเรื่อยๆเวลาผ่านไปไวจริงๆ แล้วเราก็มาถึงจุดพีคของรถไฟสายนี้ค่ะ ช่วงทางรถไฟสายมรณะที่ขึ้นชื่อว่าเป็นทางรถไฟที่มีวิวสวยมากที่สุดในประเทศไทย กล้องพร้อมคนพร้อม ทุกคนในขบวนรถไฟพร้อมใจมากระจุกกันอยู่ทางฝั่งซ้ายของขบวน และยื่นมือออกไปถ่ายรูปกันยกใหญ่ เรานี่ลุกขึ้นยืนเลยค่ะถ่ายรูปเพลินมาก พี่คนขับรถไฟก็เหมือนรู้ใจ ขบวนรถไฟเคลื่อนตัวช้าสุดๆช้าจนถึงขนาดที่คนเดินยังเร็วกว่า 555 แต่ก็ดีค่ะขอบคุณมากๆเลย เราเก็บภาพสวยๆตรงนี้ไว้ได้ทันหลายภาพเลยด้วย อวดๆนี่แหน่ะ
ขณะที่เรากำลังตื่นตาตื่นใจกับบรรยากาศอยู่ดีๆสายตาก็มาหยุดอยู่ที่คุณยายคนนี้ แกยืนอยู่ตรงช่องสำหรับให้คนเข้าไปหลบรถไฟ สีหน้าแววตาแกดูเครียดแบบบอกไม่ถูก ในขณะที่เรากำลังมีความสุขยังมีอีกหลายคนกำลังทุกข์ใจ ยังไงก็สู้ๆนะคะคุณยายหนูเป็นกำลังใจให้ พักโหมดดราม่ามาเที่ยวกันต่อเนอะ...
ในตั๋วบอกว่าเราจะไปถึงสถานีน้ำตกเวลา12.35น.แต่เอาเข้าจริงช้าจากเดิมไปอีก1ชม.ค่ะ ประมาณบ่ายโมงครึ่งเราถึงสถานีน้ำตก ลงมาจากรถไฟจะเห็นรถสองแถวจอดอยู่เต็มไปหมด ขึ้นเลยค่ะเค้าจะพาเราไปส่งหน้าน้ำตกไทรโยคน้อยเพื่อต่อรถเข้าสังขละบุรี ค่ารถคนละซาวบาท ก็20บาทนั่นแหละจ้า
นั่งมาประมาณ10นาทีก็ถึงแล้วค่ะ เราเลือกวิธีเดินทางเข้าสังขละบุรีโดยการนั่งรถแดง จริงๆมีรถตู้เข้าสังขละบุรีด้วยนะขับไวกว่าประมาณชม.ครึ่งเลยแต่เราอยากเสพธรรมชาติเลยยอมเมื่อยก้นนั่งรถแดงดีกว่า รถแดงจะออกทุกๆ30นาที ระหว่างรอรถเราก็มาหาข้าวมื้อแรกกินเพิ่มพลังไว้แบกกระเป๋าต่อ
กินข้าวเสร็จสักพักก็มานั่งรอรถใต้ต้นไม้ใหญ่หน้า7-11ฝั่งตรงข้ามน้ำตกค่ะ นั่งรอสักพักรถก็มาทำเวลาได้ดีจริงๆ เราขึ้นรถตอนประมาณ 14.15น.น่าจะได้ ค่ารถแดงจากหน้าน้ำตกไปสังขละบุรีเป็นเงิน130บาทค่ะ จ่ายเงินเสร็จก็เพลิดเพลินกับธรรมชาติระหว่างทางกันต่อ รถวิ่งขึ้นเขาลงเขาตลอดทาง เราโชคดีไม่เมารถเลยและยังคงถ่ายรูปไปเรื่อยๆเก็บภาพทันบ้างไม่ทันบ้างก็หยวนๆกันไป เพราะยังไงเราก็เก็บภาพไว้ในmemoryสมองหมดแล้ว
ตั้งแต่กรุงเทพจนถึงน้ำตกไทรโยคน้อยเราไม่เจอฝนเลยสักเม็ด แต่พอเริ่มเข้าทองผาภูมิก็เริ่มเจอฝนบ้าง รถวิ่งไปสักพักใหญ่ๆเราต้องลงจากรถคันเดิมเพื่อเปลี่ยนรถไปอีกคัน ตรงนี้ไม่ต้องเสียเงินเพิ่มนะคะแค่เปลี่ยนรถเฉยๆเหมือนเค้าส่งช่วงต่อกันค่ะ
หลังจากเปลี่ยนขึ้นรถอีกคันฝนก็เริ่มตกปรอยๆ จากตกปรอยๆก็เริ่มเทลงมา นึกภาพตามนะคะนั่งไปน้ำก็รั่วไป คนเริ่มเยอะเพราะน้องๆนักเรียนก็ใช้บริการรถแดงในการเดินทางกลับบ้าน ที่นั่งเต็มเกือบทุกที่จะเปลี่ยนที่นั่งก็ไม่ได้ จะลุกยืนระยะทางก็ไกลเชียวเมื่อยแน่ๆ เลยจำใจต้องนั่งต่อไป ระหว่างนั้นนั่งไปก็เอามือเช็ดน้ำไปด้วย สนุกดีเหมือนกันค่ะ 555 เอาเป็นว่าชื้นไปตลอดทางเพราะฝนตกตลอดไม่หยุดเลย เดี๋ยวแรงเดี๋ยวเบา
เราไม่ได้เตรียมร่มกับรองเท้าแตะมา ลืมสนิทเลย ดูระยะทางจากหลักกิโลใกล้ถึงสังขละแล้ว ในใจก็ภาวนาให้ฝนหยุดตกสักทีเถอะจะถึงอยู่แล้ว เดี๋ยวต้องไปหาที่พักอีกยังไม่รู้ว่าอยู่ตรงไหนเลยสิ่งศักดิ์สิทธิ์ช่วยลูกด้วย 555 เรื่องจริงเลยค่ะอธิษฐานแบบนี้จริงๆคือมันไม่มีวี่แววว่าฝนจะหยุดตกเลย ตอนนั้นเรากังวลมากกลัวของเปียกที่สำคัญเลยคือกล้องถ้ากล้องพังทริปนี้คือจบไม่มีรูปเลย แต่แล้วทุกอย่างก็เป็นใจให้เรา เราถึงสังขละบุรีแบบไม่มีฝน ฮ่าๆยิ้มออกละ เวลาตอนนั้นประมาณ6โมงนิดๆ รวมระยะเวลาเดินทางบนรถแดงประมาณ4ชม. ในที่สุดก้อมาถึงจนได้