จุดเริ่มต้น
เคยคิดไว้เมื่อประมาณ 5 ปีก่อนว่า อยากจะเขียนบอกเล่าเรื่องราวที่มาใช้ชีวิตอยู่ออสเตรเลียตั้งแต่เรียนปริญญาโทจนถึงทำงานที่นี่ เผื่อว่าเป็นการจุดประกายไอเดียหรือเริ่มต้นการวางแผนให้คนอื่นตั้งแต่เนิ่นๆ จากประสบการณ์ตรงของตัวเราเองแล้วอาจจะนำมาปรับให้สอดคล้องกับการดำเนินชีวิตของคนอื่นๆเผื่อเป็นประโยชน์ได้บ้าง
แต่ทีนี้ก็มานั่งนึกย้อนไปมาว่า ตัวเองก็ไม่ได้ถึงขั้นประสบความสำเร็จก้าวหน้าอะไรมากมายที่จะมาบอกเล่าเรื่องราวตัวเองให้คนอื่นๆฟังเพื่อเป็นประโยชน์ได้ เราเองเป็นแค่พนักงานออฟฟิศธรรมดาคนนึงในออสเตรเลีย ใช้ชีวิตทุกวันเหมือนคนอื่นๆทั่วไป จึงเป็นจุดให้บอกกับตัวเองว่า “อย่าเลยดีกว่า” “จะดีเหรอ” ไว้วันนึงถ้าเราประสบความสำเร็จจริงๆแล้ว ค่อยมาบอกเล่าน่าจะดีกว่านะ
ย้อนไปซักประมาณเดือนก่อน ตอนที่คุยกับเพื่อนสนิทที่อยู่ไทย นางบอกว่าทำไมแกไม่เขียนบล็อคบอกเล่าเรื่องราวแกวะ? เชื่อว่าอาจจะมีคนอื่นๆสนใจ หรืออยากรู้แนวคิดการวางแผนชีวิตหนักหน่วงของแก ลองดูสิ ถ้าไม่เริ่มหรือรอแกประสบความสำเร็จ ก็ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะได้ฤกษ์มาเขียน ดีไม่ดี จะได้เป็นการจุดประกายไอเดียให้คนอื่นๆซ่ะตั้งแต่ตอนนี้เผื่อเป็นประโยชน์ด้วย
เออว่ะ ... นางพูดก็มีส่วนถูก และเป็นแรงบันดาลใจส่วนนึงให้ตัวเรา เลยเป็นที่มาของของการบอกเล่าเรื่องราวครั้งนี้ ขอใช้คำว่าบอกเล่าละกันนะ เพราะตัวเองยังไม่ได้ก้าวไปถึงจุดที่คิดว่าประสบความสำเร็จมากมายที่จะใช้คำว่าถ่ายทอดได้ คำว่าบอกเล่า เหมือนเป็นกันเล่าเรื่องให้เพื่อนๆฟัง (ถ้ามีคนอยากฟังนะ)
ปูพื้นเรื่องราว
ขอเริ่มต้นจากเรื่องราวชีวิตก่อนนะ ตัวเราเองเกิดและโตที่ภาคใต้ อยู่กับพ่อแม่มาตลอด จนเป็นลูกแหง่ ทำอะไรด้วยตัวเองไม่เป็นเลย ไม่มีความกล้าหรือความมั่นใจในตัวเองเลย พ่อแม่ทำให้ตลอดทุกสิ่ง ดูจากลุคเหมือนเด็กหัวดี เรียนเก่ง ซึ่งนั่นมันคือตอนอนุบาลเท่าที่จำความได้เพราะสอบได้เลขตัวเดียวไม่เกินที่ห้ามาตลอด
จนพอเข้าประถมก็เรียนกลางๆอีก ได้ที่สิบกว่าจากเด็กสี่สิบคน รู้ตัวเองว่าถนัดภาษาอังกฤษ เพราะจำได้ว่าตอน ป.3 อ่านประโยคยาวๆภาษาอังกฤษ ได้หมด จนเพื่อนๆในห้องประหลาดใจ อันนี้ต้องยกความดีให้กับครูและโรงเรียนสมัยอนุบาลจนถึงป.2 ที่ปลูกฝังภาษาอังกฤษมาจนไม่รู้ตัว แต่ก็ไม่ชอบวิชาเลข ที่จุดเริ่มต้นตอน ป.1 ครูให้ตัดกระดาษเป็นเหรียญบาท เหรียญห้า เหรียญสิบ แล้วให้ออกไปซื้อของทอนเงิน จ่ายเงินหน้าห้อง ตอนนั้นจำได้แม่นฝังใจเลยว่า ทอนเงินผิด แล้วคุณครูดุ ในขณะที่เพื่อนๆ ทอนตังค์ถูกกันส่วนใหญ่ เลยเป็นเหตุฝังใจมาตลอดว่าไม่ชอบเลข
พอจบ ม.6 รู้ตัวเองเลยว่า อ่านหนังสือและเตรียมตัวสอบเข้ามหาวิทยาลัยแบบผิดวิธิ ไม่มีคุณภาพ คะแนนเลยได้ไม่ดีมาก ภาษาอังกฤษยังเอาตัวรอดได้ดี คะแนนสูงสุด ส่วนเลขคือตราบาปในชีวิต ได้ไม่กี่สิบคะแนนจากเต็มร้อย ผลประกาศออกมาว่าสอบเข้าได้มหาวิทยาลัยแห่งนึงในภาคใต้ ตอนนั้นไม่อยากไปเรียนเลย อยากเข้าอินเตอร์ซักแห่ง รบเร้าพ่อแม่ให้พาไปสมัครเอแบค จนพวกเค้ายอม สุดท้ายพ่อแม่ก็มากล่อมว่า ที่เอ็นท์ติดก็น่าเรียนดีนะ มีประโยชน์กับตัวเราด้วย เลยได้ยอมตัดใจไปเรียนที่นั่น
ตอนนั้นคิดในหัวแบบความคิดเด็กๆเอาเองว่า เราเรียนแค่มหาวิทยาลัยต่างจังหวัด จะมีใครยอมรับมั้ยนะ ถ้าเรียนจบแล้วต้องไปหางานทำ จึงบอกตัวเองว่าชั้นต้องขยัน อย่างน้อยๆ ถ้าได้เกรดสวยมา ยังพอเอาไปสู้กับคนอื่นๆได้ เทอมแรกเลยตั้งใจมาก คะแนนออกมาได้ 3.80 ภูมิใจมาก พ่อแม่ก็คอยปลาบปลื่มว่ามันคงมาถูกทางแล้วล่ะ แต่พอหลังจากนั้นเริ่มมีเพื่อน เริ่มสนุกกับชีวิตอิสระด้วยตัวเอง ไม่มีพ่อแม่บังคับ ก็จะมีช่วงไม่ตั้งใจบ้าง ขี้เกียจบ้าง แต่สรุปสุดท้ายก็บอกตัวเองให้ประคองๆ ให้ได้เกรดสามกว่ามาละกัน
ฝึกงานเพิ่มโอกาสให้ตัวเอง
พอเรียนจบ ตอนนั้นเรียนภาษาอยู่ที่เมืองจีน มีความคิดไม่อยากกลับไทย อยากลองหางาน หาอะไรทำที่จีนซัก 3 เดือน เผื่อว่าเป็นประโยชน์กับการทำงานจริงในอนาคต ดีว่าค่าครองชีพไม่สูงมากถึงแม้จะอยู่เซี่ยงไฮ้ พ่อแม่ก็สนับสนุนบ้าจี้ตามลูก ช่วงนั้นหางานไม่ได้เลย เราไม่มีวีซ่า ภาษาจีนก็ได้ไม่ถึงขั้นที่จะทำงานกับองค์กรจีนได้ วีซ่าตอนหลังก็ไปดิ้นรนทำเอาเองจนได้มา แล้วอาศัยคอนเนคชั่นผู้ใหญ่แนะนำงานให้ 2 แห่ง
เข้าไปคุยกับเสนอตัวเองว่าอยากขอฝึกงานไม่รับเงินเดือนก็ได้ เพราะอยากได้ประสบการณ์และใบผ่านการฝึกงานแค่นั้น ที่แรกเป็นบริษัทคนไทยด้านการเกษตรชื่อดังของภาคใต้ เดินทางไกลมาก ต่อรถเมล์หลายต่อ คิดว่าไม่ไหวแน่ๆ เลยบอกคุณอาคนไทยที่เป็นผู้จัดการไปว่าคงไม่สะดวกจริงๆ ส่วนที่ที่สองเป็น retailer ชื่อดังที่ไทยเป็นเจ้าของ อันนี้เดินทางพอไหว องค์กรดูดี และน่าจะเป็นประโยชน์
ใช้เวลาฝึกงานประมาณสองเดือนครึ่ง ได้ทำงานจริง ได้คุยกับคนจีนในแผนกจริงๆ และก็ได้รับใบฝึกงานมา ยังบอกกับตัวเองว่า ที่นี่เป็นจุดเริ่มต้นให้เราเรียนรู้ชีวิตการทำงานจริงๆ ว่าต้องมีความรับผิดชอบ และการวางตัวกับคนอื่นๆ ยังไง ไม่เสียใจที่ไม่ได้เงินเลย แต่ประสบการ์ณที่ได้มาคุ้มค่ากว่าเงินอีก (จริงๆปลอบใจตัวเองไปด้วยส่วนนึง 55)
งานแรกในชีวิต
กลับมาเมืองไทย ลุยลองหางาน ส่งเรซูเม่ไปตามบริษัทที่สนใจอยากทำ ใช้เวลาไม่นานก็มีองค์กรใหญ่ๆเรียกตัวเข้าไปสัมภาษณ์ ที่แรกยังจำได้แม่นจนถึงวันนี้ เป็นองค์กรใหญ่ของไทยและเป็นส่วนนึงของบริษัทที่เราเคยฝึกงานที่จีนมาก่อน ไม่ได้เตรียมตัวมากเท่าที่ควร แค่อ่านคร่าวๆว่าบริษัทเค้าทำอะไรบ้าง เผื่อเค้าถามจะได้ตอบถูก งานที่สมัครต้องทำอะไร เตรียมไปแค่นั้นจบ HR เรียกเราเข้าไปให้สัมภาษณ์ 3 ภาษา คือ เค้าถามมาเป็นภาษาไทย ให้เราตอบคำตอบนั้นๆ 3 ภาษา คือ ไทย จีน และอังกฤษ รู้ตัวเลยว่าตอบไม่ดี ไม่เป๊ะ ไม่มีการเตรียมตัวมา จน HR คนนั้นถามว่าวันนี้หนูรู้สึกยังไงบ้าง ก็บอกไปตรงๆว่า รู้สึกว่าถึงแม้จะตอบไว ดูเหมือนคล่อง แต่จริงๆยังตอบคำถามไม่ดี ไม่เฉลียว แล้วพี่เค้าก็แนะนำมาประมาณนึงว่าคราวหน้าเตรียมตัวมาให้ดีอีกนิดนะคะ แล้วน้องจะเพอร์เฟ็คเลยค่ะ
ต้องขอบคุณองค์กรนี้มาก ที่นี่คือที่แรกที่สอนให้เราคิดได้ว่า การตอบคำถามเราต้องตอบให้ฉลาด มีไหวพริบ ดูมีชั้นเชิง แต่ก็ต้องมีความเป็นตัวของตัวเอง จบจากที่แรกไปไม่นานก็มีองค์กรใหญ่อีกแห่งโทรมาเรียกเข้าไปสอบ Attitude test ก็ทำๆ ไปไม่ยากอะไร คำถามวนๆ ซ้ำเดิม จนงงว่า ก่อนหน้านี้เราตอบอะไรไป มาถามอีกเอ๊ะ เราตอบเหมือนตอนแรก รึเปล่านะ? แล้วก็มีสกรีนถามคร่าวๆ จากพี่ HR คนที่โทรมา ว่าทำอะไรมาบ้าง, เกรดเท่าไหร่, มีประสบการณ์อะไรมา, ทำไมถึงอยากทำที่นี่ บลา บลา
รอบแรกผ่านไปไม่คาดหวัง พี่เค้าก็โทรกลับมาเรียนไปสัมภาษณ์รอบสอง รอบนี้ต้องคุยกับผู้บริหารใหญ่ 3 ท่าน คนมารอสัมภาษณ์เยอะมาก จำได้เลยว่ามีคนมาถาม จุฬารุ่นไหนคะ? พอบอกว่าไม่ได้จบจากจุฬา นางก็ถามต่อจบจากที่ไหนมาคะ? พอตอบไปว่าจบจากที่นี่ เค้าบอกไม่รู้จักเลยค่ะ มีด้วยเหรอคะ? ใจแป้วมากตอนนั้น เพราะส่วนมากคนที่มาสัมภาษณ์มาจาก จุฬา แล้วมีรุ่นพี่หรือเพื่อนที่ทำงานอยู่แล้วมาทักทายกันสนุกสนาน เราได้นั่งเจียมตัวในมุมเล็กๆ รอคิวเรียกสัมภาษณ์ต่อไป คนที่เข้าไปคุยแล้วก็ออกมาบอกว่าคุยอะไรบ้าง เค้าถามอะไรบ้าง แต่ไม่หนักใจเท่า คนนึงที่เค้าเรียกให้ไปแก้เคสๆนึง ใช้เวลาร่วมชั่วโมงกว่า
รอนานมากจนเบื่อ พอถึงคิวเรา ก็เข้าไปสวัสดีกรรมการทั้ง 3 ท่าน เค้าก็แนะนำว่าเป็นใคร ตำแหน่งใหญ่โตมากเลยทีเดียว พูดคุยกันโอเค กรรมการท่านนึงเค้าชอบตรงที่เราได้ภาษาอังกฤษและจีน และเคยฝึกงานจากจีนมา แล้วที่ทำงานก็ไม่ไกลจากบ้าน เค้าเลยบอกว่า ที่นี่เริ่มงานเช้านะ บางทีกลับดึก จะไหวมั้ย? ก็ต้องตอบว่าไหว ด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม ปะ ในเมื่ออยากได้งานเนาะ แต่ก็ไม่สะดุดเท่าคำถามๆนึง ที่กรรมการอีกท่านนึงถามว่า เข้าวัดล่าสุดเมื่อไหร่? แทบไปต่อไม่ถูก จำได้ว่าตอนนั้นไปวัดมาจริงๆ ก่อนหน้าไม่นานเลยตอบเอาตัวรอดไปได้สุดท้ายตอนเย็นวันนั้น ก็โทรมาบอกว่าได้งาน ดีใจสุดๆ กับงานแรกจริงจังในชีวิต และองค์กรที่ใครๆก็อยากเข้ามาทำงาน มานั่งย้อนมองวันนี้ อย่ากลัวเลยว่าเราจะจบจากที่ไหนมา ถ้าเรามีความสามารถ มี attitude ที่ดี และมีความมุ่งมั่น เราก็จะทำมันได้แน่นอน
ทำงานที่นี่ ดีมาก องค์กรดี เพื่อนดีมาก งานอาจจะมีเบื่อๆบ้างแต่ก็คืองาน เจ้านายใหญ่เคี่ยวมาก ตอนนั้นเราไม่เข้าใจ ว่าทำไม แต่วันนี้ต้องขอบคุณที่เคี่ยวชั้นจนเป็นชั้นวันนี้ ว่าทำงานอะไรต้องเป๊ะ มีแพลนเอ แพลนบี แพลนซี ตลอด แรกๆสมัยเข้าไปประชุม กลวงสุดๆ จนพี่ๆที่ทำงานต้องคอยบอก หลังๆมาเวลานายเรียกอะไร ขออะไร อยากเห็นผลงานตรงไหน ชั้นมีให้ดูพร้อมทันที เรียกว่าต้องพร้อมตลอดเวลา ที่นี่เป็นจุดเริ่มต้นให้เราทำงานด้านเอกสาร การนำเสนอผู้ใหญ่ และการดีลกับคนอื่นๆทั้งในและต่างประเทศแบบมืออาชีพอย่างที่ควรจะเป็น เลยติดตัวมาจนถึงทุกวันนี้
To be continued
บอกเล่าเรื่องราวคนไทยธรรมดาคนนึง ที่ได้มาเรียนต่อ, อยู่และทำงานที่ออสเตรเลีย
เคยคิดไว้เมื่อประมาณ 5 ปีก่อนว่า อยากจะเขียนบอกเล่าเรื่องราวที่มาใช้ชีวิตอยู่ออสเตรเลียตั้งแต่เรียนปริญญาโทจนถึงทำงานที่นี่ เผื่อว่าเป็นการจุดประกายไอเดียหรือเริ่มต้นการวางแผนให้คนอื่นตั้งแต่เนิ่นๆ จากประสบการณ์ตรงของตัวเราเองแล้วอาจจะนำมาปรับให้สอดคล้องกับการดำเนินชีวิตของคนอื่นๆเผื่อเป็นประโยชน์ได้บ้าง
แต่ทีนี้ก็มานั่งนึกย้อนไปมาว่า ตัวเองก็ไม่ได้ถึงขั้นประสบความสำเร็จก้าวหน้าอะไรมากมายที่จะมาบอกเล่าเรื่องราวตัวเองให้คนอื่นๆฟังเพื่อเป็นประโยชน์ได้ เราเองเป็นแค่พนักงานออฟฟิศธรรมดาคนนึงในออสเตรเลีย ใช้ชีวิตทุกวันเหมือนคนอื่นๆทั่วไป จึงเป็นจุดให้บอกกับตัวเองว่า “อย่าเลยดีกว่า” “จะดีเหรอ” ไว้วันนึงถ้าเราประสบความสำเร็จจริงๆแล้ว ค่อยมาบอกเล่าน่าจะดีกว่านะ
ย้อนไปซักประมาณเดือนก่อน ตอนที่คุยกับเพื่อนสนิทที่อยู่ไทย นางบอกว่าทำไมแกไม่เขียนบล็อคบอกเล่าเรื่องราวแกวะ? เชื่อว่าอาจจะมีคนอื่นๆสนใจ หรืออยากรู้แนวคิดการวางแผนชีวิตหนักหน่วงของแก ลองดูสิ ถ้าไม่เริ่มหรือรอแกประสบความสำเร็จ ก็ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะได้ฤกษ์มาเขียน ดีไม่ดี จะได้เป็นการจุดประกายไอเดียให้คนอื่นๆซ่ะตั้งแต่ตอนนี้เผื่อเป็นประโยชน์ด้วย
เออว่ะ ... นางพูดก็มีส่วนถูก และเป็นแรงบันดาลใจส่วนนึงให้ตัวเรา เลยเป็นที่มาของของการบอกเล่าเรื่องราวครั้งนี้ ขอใช้คำว่าบอกเล่าละกันนะ เพราะตัวเองยังไม่ได้ก้าวไปถึงจุดที่คิดว่าประสบความสำเร็จมากมายที่จะใช้คำว่าถ่ายทอดได้ คำว่าบอกเล่า เหมือนเป็นกันเล่าเรื่องให้เพื่อนๆฟัง (ถ้ามีคนอยากฟังนะ)
ปูพื้นเรื่องราว
ขอเริ่มต้นจากเรื่องราวชีวิตก่อนนะ ตัวเราเองเกิดและโตที่ภาคใต้ อยู่กับพ่อแม่มาตลอด จนเป็นลูกแหง่ ทำอะไรด้วยตัวเองไม่เป็นเลย ไม่มีความกล้าหรือความมั่นใจในตัวเองเลย พ่อแม่ทำให้ตลอดทุกสิ่ง ดูจากลุคเหมือนเด็กหัวดี เรียนเก่ง ซึ่งนั่นมันคือตอนอนุบาลเท่าที่จำความได้เพราะสอบได้เลขตัวเดียวไม่เกินที่ห้ามาตลอด
จนพอเข้าประถมก็เรียนกลางๆอีก ได้ที่สิบกว่าจากเด็กสี่สิบคน รู้ตัวเองว่าถนัดภาษาอังกฤษ เพราะจำได้ว่าตอน ป.3 อ่านประโยคยาวๆภาษาอังกฤษ ได้หมด จนเพื่อนๆในห้องประหลาดใจ อันนี้ต้องยกความดีให้กับครูและโรงเรียนสมัยอนุบาลจนถึงป.2 ที่ปลูกฝังภาษาอังกฤษมาจนไม่รู้ตัว แต่ก็ไม่ชอบวิชาเลข ที่จุดเริ่มต้นตอน ป.1 ครูให้ตัดกระดาษเป็นเหรียญบาท เหรียญห้า เหรียญสิบ แล้วให้ออกไปซื้อของทอนเงิน จ่ายเงินหน้าห้อง ตอนนั้นจำได้แม่นฝังใจเลยว่า ทอนเงินผิด แล้วคุณครูดุ ในขณะที่เพื่อนๆ ทอนตังค์ถูกกันส่วนใหญ่ เลยเป็นเหตุฝังใจมาตลอดว่าไม่ชอบเลข
พอจบ ม.6 รู้ตัวเองเลยว่า อ่านหนังสือและเตรียมตัวสอบเข้ามหาวิทยาลัยแบบผิดวิธิ ไม่มีคุณภาพ คะแนนเลยได้ไม่ดีมาก ภาษาอังกฤษยังเอาตัวรอดได้ดี คะแนนสูงสุด ส่วนเลขคือตราบาปในชีวิต ได้ไม่กี่สิบคะแนนจากเต็มร้อย ผลประกาศออกมาว่าสอบเข้าได้มหาวิทยาลัยแห่งนึงในภาคใต้ ตอนนั้นไม่อยากไปเรียนเลย อยากเข้าอินเตอร์ซักแห่ง รบเร้าพ่อแม่ให้พาไปสมัครเอแบค จนพวกเค้ายอม สุดท้ายพ่อแม่ก็มากล่อมว่า ที่เอ็นท์ติดก็น่าเรียนดีนะ มีประโยชน์กับตัวเราด้วย เลยได้ยอมตัดใจไปเรียนที่นั่น
ตอนนั้นคิดในหัวแบบความคิดเด็กๆเอาเองว่า เราเรียนแค่มหาวิทยาลัยต่างจังหวัด จะมีใครยอมรับมั้ยนะ ถ้าเรียนจบแล้วต้องไปหางานทำ จึงบอกตัวเองว่าชั้นต้องขยัน อย่างน้อยๆ ถ้าได้เกรดสวยมา ยังพอเอาไปสู้กับคนอื่นๆได้ เทอมแรกเลยตั้งใจมาก คะแนนออกมาได้ 3.80 ภูมิใจมาก พ่อแม่ก็คอยปลาบปลื่มว่ามันคงมาถูกทางแล้วล่ะ แต่พอหลังจากนั้นเริ่มมีเพื่อน เริ่มสนุกกับชีวิตอิสระด้วยตัวเอง ไม่มีพ่อแม่บังคับ ก็จะมีช่วงไม่ตั้งใจบ้าง ขี้เกียจบ้าง แต่สรุปสุดท้ายก็บอกตัวเองให้ประคองๆ ให้ได้เกรดสามกว่ามาละกัน
ฝึกงานเพิ่มโอกาสให้ตัวเอง
พอเรียนจบ ตอนนั้นเรียนภาษาอยู่ที่เมืองจีน มีความคิดไม่อยากกลับไทย อยากลองหางาน หาอะไรทำที่จีนซัก 3 เดือน เผื่อว่าเป็นประโยชน์กับการทำงานจริงในอนาคต ดีว่าค่าครองชีพไม่สูงมากถึงแม้จะอยู่เซี่ยงไฮ้ พ่อแม่ก็สนับสนุนบ้าจี้ตามลูก ช่วงนั้นหางานไม่ได้เลย เราไม่มีวีซ่า ภาษาจีนก็ได้ไม่ถึงขั้นที่จะทำงานกับองค์กรจีนได้ วีซ่าตอนหลังก็ไปดิ้นรนทำเอาเองจนได้มา แล้วอาศัยคอนเนคชั่นผู้ใหญ่แนะนำงานให้ 2 แห่ง
เข้าไปคุยกับเสนอตัวเองว่าอยากขอฝึกงานไม่รับเงินเดือนก็ได้ เพราะอยากได้ประสบการณ์และใบผ่านการฝึกงานแค่นั้น ที่แรกเป็นบริษัทคนไทยด้านการเกษตรชื่อดังของภาคใต้ เดินทางไกลมาก ต่อรถเมล์หลายต่อ คิดว่าไม่ไหวแน่ๆ เลยบอกคุณอาคนไทยที่เป็นผู้จัดการไปว่าคงไม่สะดวกจริงๆ ส่วนที่ที่สองเป็น retailer ชื่อดังที่ไทยเป็นเจ้าของ อันนี้เดินทางพอไหว องค์กรดูดี และน่าจะเป็นประโยชน์
ใช้เวลาฝึกงานประมาณสองเดือนครึ่ง ได้ทำงานจริง ได้คุยกับคนจีนในแผนกจริงๆ และก็ได้รับใบฝึกงานมา ยังบอกกับตัวเองว่า ที่นี่เป็นจุดเริ่มต้นให้เราเรียนรู้ชีวิตการทำงานจริงๆ ว่าต้องมีความรับผิดชอบ และการวางตัวกับคนอื่นๆ ยังไง ไม่เสียใจที่ไม่ได้เงินเลย แต่ประสบการ์ณที่ได้มาคุ้มค่ากว่าเงินอีก (จริงๆปลอบใจตัวเองไปด้วยส่วนนึง 55)
งานแรกในชีวิต
กลับมาเมืองไทย ลุยลองหางาน ส่งเรซูเม่ไปตามบริษัทที่สนใจอยากทำ ใช้เวลาไม่นานก็มีองค์กรใหญ่ๆเรียกตัวเข้าไปสัมภาษณ์ ที่แรกยังจำได้แม่นจนถึงวันนี้ เป็นองค์กรใหญ่ของไทยและเป็นส่วนนึงของบริษัทที่เราเคยฝึกงานที่จีนมาก่อน ไม่ได้เตรียมตัวมากเท่าที่ควร แค่อ่านคร่าวๆว่าบริษัทเค้าทำอะไรบ้าง เผื่อเค้าถามจะได้ตอบถูก งานที่สมัครต้องทำอะไร เตรียมไปแค่นั้นจบ HR เรียกเราเข้าไปให้สัมภาษณ์ 3 ภาษา คือ เค้าถามมาเป็นภาษาไทย ให้เราตอบคำตอบนั้นๆ 3 ภาษา คือ ไทย จีน และอังกฤษ รู้ตัวเลยว่าตอบไม่ดี ไม่เป๊ะ ไม่มีการเตรียมตัวมา จน HR คนนั้นถามว่าวันนี้หนูรู้สึกยังไงบ้าง ก็บอกไปตรงๆว่า รู้สึกว่าถึงแม้จะตอบไว ดูเหมือนคล่อง แต่จริงๆยังตอบคำถามไม่ดี ไม่เฉลียว แล้วพี่เค้าก็แนะนำมาประมาณนึงว่าคราวหน้าเตรียมตัวมาให้ดีอีกนิดนะคะ แล้วน้องจะเพอร์เฟ็คเลยค่ะ
ต้องขอบคุณองค์กรนี้มาก ที่นี่คือที่แรกที่สอนให้เราคิดได้ว่า การตอบคำถามเราต้องตอบให้ฉลาด มีไหวพริบ ดูมีชั้นเชิง แต่ก็ต้องมีความเป็นตัวของตัวเอง จบจากที่แรกไปไม่นานก็มีองค์กรใหญ่อีกแห่งโทรมาเรียกเข้าไปสอบ Attitude test ก็ทำๆ ไปไม่ยากอะไร คำถามวนๆ ซ้ำเดิม จนงงว่า ก่อนหน้านี้เราตอบอะไรไป มาถามอีกเอ๊ะ เราตอบเหมือนตอนแรก รึเปล่านะ? แล้วก็มีสกรีนถามคร่าวๆ จากพี่ HR คนที่โทรมา ว่าทำอะไรมาบ้าง, เกรดเท่าไหร่, มีประสบการณ์อะไรมา, ทำไมถึงอยากทำที่นี่ บลา บลา
รอบแรกผ่านไปไม่คาดหวัง พี่เค้าก็โทรกลับมาเรียนไปสัมภาษณ์รอบสอง รอบนี้ต้องคุยกับผู้บริหารใหญ่ 3 ท่าน คนมารอสัมภาษณ์เยอะมาก จำได้เลยว่ามีคนมาถาม จุฬารุ่นไหนคะ? พอบอกว่าไม่ได้จบจากจุฬา นางก็ถามต่อจบจากที่ไหนมาคะ? พอตอบไปว่าจบจากที่นี่ เค้าบอกไม่รู้จักเลยค่ะ มีด้วยเหรอคะ? ใจแป้วมากตอนนั้น เพราะส่วนมากคนที่มาสัมภาษณ์มาจาก จุฬา แล้วมีรุ่นพี่หรือเพื่อนที่ทำงานอยู่แล้วมาทักทายกันสนุกสนาน เราได้นั่งเจียมตัวในมุมเล็กๆ รอคิวเรียกสัมภาษณ์ต่อไป คนที่เข้าไปคุยแล้วก็ออกมาบอกว่าคุยอะไรบ้าง เค้าถามอะไรบ้าง แต่ไม่หนักใจเท่า คนนึงที่เค้าเรียกให้ไปแก้เคสๆนึง ใช้เวลาร่วมชั่วโมงกว่า
รอนานมากจนเบื่อ พอถึงคิวเรา ก็เข้าไปสวัสดีกรรมการทั้ง 3 ท่าน เค้าก็แนะนำว่าเป็นใคร ตำแหน่งใหญ่โตมากเลยทีเดียว พูดคุยกันโอเค กรรมการท่านนึงเค้าชอบตรงที่เราได้ภาษาอังกฤษและจีน และเคยฝึกงานจากจีนมา แล้วที่ทำงานก็ไม่ไกลจากบ้าน เค้าเลยบอกว่า ที่นี่เริ่มงานเช้านะ บางทีกลับดึก จะไหวมั้ย? ก็ต้องตอบว่าไหว ด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม ปะ ในเมื่ออยากได้งานเนาะ แต่ก็ไม่สะดุดเท่าคำถามๆนึง ที่กรรมการอีกท่านนึงถามว่า เข้าวัดล่าสุดเมื่อไหร่? แทบไปต่อไม่ถูก จำได้ว่าตอนนั้นไปวัดมาจริงๆ ก่อนหน้าไม่นานเลยตอบเอาตัวรอดไปได้สุดท้ายตอนเย็นวันนั้น ก็โทรมาบอกว่าได้งาน ดีใจสุดๆ กับงานแรกจริงจังในชีวิต และองค์กรที่ใครๆก็อยากเข้ามาทำงาน มานั่งย้อนมองวันนี้ อย่ากลัวเลยว่าเราจะจบจากที่ไหนมา ถ้าเรามีความสามารถ มี attitude ที่ดี และมีความมุ่งมั่น เราก็จะทำมันได้แน่นอน
ทำงานที่นี่ ดีมาก องค์กรดี เพื่อนดีมาก งานอาจจะมีเบื่อๆบ้างแต่ก็คืองาน เจ้านายใหญ่เคี่ยวมาก ตอนนั้นเราไม่เข้าใจ ว่าทำไม แต่วันนี้ต้องขอบคุณที่เคี่ยวชั้นจนเป็นชั้นวันนี้ ว่าทำงานอะไรต้องเป๊ะ มีแพลนเอ แพลนบี แพลนซี ตลอด แรกๆสมัยเข้าไปประชุม กลวงสุดๆ จนพี่ๆที่ทำงานต้องคอยบอก หลังๆมาเวลานายเรียกอะไร ขออะไร อยากเห็นผลงานตรงไหน ชั้นมีให้ดูพร้อมทันที เรียกว่าต้องพร้อมตลอดเวลา ที่นี่เป็นจุดเริ่มต้นให้เราทำงานด้านเอกสาร การนำเสนอผู้ใหญ่ และการดีลกับคนอื่นๆทั้งในและต่างประเทศแบบมืออาชีพอย่างที่ควรจะเป็น เลยติดตัวมาจนถึงทุกวันนี้
To be continued