https://www.bangkokbiznews.com/tech/1202402
KEY POINTS
• เจฟฟ์ เบโซส์ แนะคนรุ่นใหม่ว่าอย่าเพิ่งรีบก่อตั้งบริษัท แต่ควรหาประสบการณ์ทำงานในองค์กรที่มีมาตรฐานสูงเพื่อเรียนรู้พื้นฐานทางธุรกิจก่อน
• เขาเชื่อว่าการทำงานในองค์กรจะช่วยให้เข้าใจหลักการบริหารที่สำคัญ เช่น การสัมภาษณ์งาน การบริหารทีม ซึ่งจะเพิ่มโอกาสความสำเร็จในการทำธุรกิจของตัวเอง
• เบโซส์ชี้ว่ากรณีของผู้ประกอบการที่ลาออกจากมหาวิทยาลัยแล้วประสบความสำเร็จอย่าง มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก หรือ บิล เกตส์ ถือเป็นข้อยกเว้น และไม่ใช่แนวทางที่เหมาะกับทุกคน
เจฟฟ์ เบโซส์ (Jeff Bezos) ผู้ก่อตั้งบริษัทอีคอมเมิร์ซระดับโลกอย่าง Amazon ออกมาแนะนำคนรุ่นใหม่ โดยเฉพาะกลุ่ม Gen Z ว่า “อย่ารีบร้อนลาออกจากมหาวิทยาลัยหรือเปิดบริษัทตั้งแต่ยังไม่มีประสบการณ์”
เพราะแม้จะมีตัวอย่างความสำเร็จของผู้ประกอบการที่เป็นอดีตนักศึกษาลาออกกลางคันอย่าง มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก (Mark Zuckerberg) จาก Facebook หรือ บิล เกตส์ (Bill Gates) จาก Microsoft แต่คนเหล่านี้ถือเป็น “ข้อยกเว้น” ไม่ใช่แบบอย่างที่เกิดขึ้นได้ทั่วไป
เบโซส์ให้สัมภาษณ์ระหว่างร่วมงาน Italian Tech Week โดยกล่าวว่า การเป็นผู้ประกอบการตั้งแต่อายุ 18-20 ปี “เป็นไปได้” แต่ไม่ใช่เส้นทางที่เหมาะกับทุกคน เพราะสิ่งสำคัญคือการเรียนรู้พื้นฐานจากบริษัทที่มีระบบการทำงานที่ดี ซึ่งจะช่วยให้เข้าใจหลักการบริหารจริง เช่น วิธีการสัมภาษณ์คนเข้าทำงาน การบริหารทีม หรือกระบวนการทำงานแบบมืออาชีพ
“ผมมักบอกกับคนหนุ่มสาวว่า ให้ไปทำงานกับบริษัทที่มีมาตรฐานสูง เพราะคุณจะได้เรียนรู้หลายอย่างที่เป็นพื้นฐานสำคัญของธุรกิจ เช่น วิธีการจ้างงานหรือสัมภาษณ์คน เมื่อคุณซึมซับสิ่งเหล่านี้แล้ว ยังมีเวลาอีกมากในการเริ่มต้นบริษัทของตัวเอง” เบโซส์ ให้มุมมอง
เขาเสริมว่า การทำงานในองค์กรก่อนเริ่มต้นธุรกิจช่วยเพิ่มโอกาสที่จะประสบความสำเร็จได้มากกว่า และชี้ว่าประสบการณ์ 10 ปีก่อนที่เขาจะเริ่มต้น Amazon เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้บริษัทสามารถเติบโตได้อย่างมั่นคง
เบโซส์เริ่มก่อตั้ง Amazon ตอนอายุ 30 หลังจากผ่านงานในภาคการเงินและเทคโนโลยีมาก่อนเกือบสิบปี เขามองว่านี่คือข้อได้เปรียบสำคัญที่ช่วยให้เข้าใจตลาดและระบบธุรกิจจริง ซึ่งแตกต่างจากบิล เกตส์ และมาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก ที่เริ่มต้นตั้งแต่ยังเรียนไม่จบในวัยเพียง 19 ปี
ปัจจุบัน เบโซส์เป็นมหาเศรษฐีอันดับ 5 ของโลก มีทรัพย์สินสุทธิราว 234,000 ล้านดอลลาร์ ขณะที่ซักเคอร์เบิร์กมีทรัพย์สิน 250,000 ล้านดอลลาร์ และเกตส์มี 121,000 ล้านดอลลาร์
อย่างไรก็ตาม แม้ทั้งสามคนจะประสบความสำเร็จสูง แต่เบโซส์เชื่อว่า ช่วงเวลาที่ใช้ในการเรียนรู้ก่อนลงมือทำ คือสิ่งที่ทำให้ Amazon มีรากฐานมั่นคงจนมีมูลค่าตลาดกว่า 2.33 ล้านล้านดอลลาร์ในปัจจุบัน
การศึกษายังเป็นสิ่งที่สำคัญ
ชีวิตของเบโซส์ต่างจากภาพจำของผู้ก่อตั้งบริษัทเทคโนโลยีจำนวนมากที่มักประสบความสำเร็จจากการ “ลาออกกลางคัน” เบโซส์กลับเลือกเส้นทางที่ต่างออกไป เขาให้ความสำคัญกับ “พื้นฐานทางวิชาการ” และการฝึกฝนเชิงลึกในรั้วมหาวิทยาลัย ซึ่งกลายเป็นรากฐานสำคัญของแนวคิดการบริหารและนวัตกรรมในเวลาต่อมา
เขาจบการศึกษาจาก มหาวิทยาลัยพรินซ์ตัน หนึ่งในสถาบันชั้นนำของสหรัฐ ด้วยเกียรตินิยมสูงสุด ในปี 1986 สาขาวิศวกรรมไฟฟ้าและวิทยาการคอมพิวเตอร์ ซึ่งในยุคนั้นถือเป็นสาขาที่ใหม่และท้าทาย
การเรียนสาขานี้ทำให้เบโซส์มีความเข้าใจทั้งด้านตรรกะการเขียนโปรแกรมและการคิดเชิงระบบ ซึ่งต่อมากลายเป็นหัวใจของโมเดลธุรกิจ Amazon
ระหว่างเรียน เขาได้รับเลือกเป็นสมาชิกของสมาคมเกียรติทางวิชาการ Phi Beta Kappa (สำหรับนักเรียนที่มีผลงานโดดเด่นด้านศิลปศาสตร์และวิทยาศาสตร์) และ Tau Beta Pi (สมาคมเกียรติด้านวิศวกรรมศาสตร์)
นอกจากความโดดเด่นด้านวิชาการแล้ว เบโซส์ยังแสดงให้เห็นถึงความสนใจในการสำรวจอนาคตตั้งแต่ยังเรียนอยู่ เขาเคยดำรงตำแหน่งประธานชมรม Students for the Exploration and Development of Space (SEDS) ซึ่งเป็นองค์กรนักศึกษาที่ส่งเสริมแนวคิดการพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อการสำรวจอวกาศ
แนวคิดนี้เองที่ฝังอยู่ในใจของเขาและต่อมากลายเป็นแรงบันดาลใจให้ก่อตั้งบริษัท Blue Origin ในปี 2000
Blue Origin เป็นบริษัทเทคโนโลยีด้านอวกาศที่มุ่งพัฒนาเทคโนโลยีการเดินทางและขนส่งในอวกาศอย่างยั่งยืน ภายใต้เป้าหมายระยะยาวคือ ทำให้อวกาศเป็นพื้นที่ที่ทุกคนสามารถเข้าถึงได้
เบโซส์เคยกล่าวว่า Blue Origin เป็นงานที่สำคัญที่สุดในชีวิตของเขา เพราะเกี่ยวข้องกับอนาคตของมนุษยชาติ ไม่ใช่แค่เรื่องธุรกิจ เขายังเคยบอกว่า หากมองในระยะยาว Blue Origin อาจมีศักยภาพเติบโตจนมีมูลค่ามากกว่า Amazon ด้วยซ้ำ เพราะเป็นธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับอนาคตของการเดินทางและเศรษฐกิจนอกโลก ซึ่งเขามองว่าเป็นบทต่อไปของอารยธรรมมนุษย์
“ผมเรียนจบและมีความสุขกับการเรียนรู้ในมหาวิทยาลัย มันเป็นประโยชน์กับผมมาก” เบโซส์กล่าว
คำถามใหม่ของคนรุ่นใหม่: ปริญญายังคุ้มค่าหรือไม่?
แม้เบโซส์จะยังมองว่าการเรียนรู้ในระบบเป็นเรื่องสำคัญ แต่ในอีกด้านหนึ่ง คนรุ่นใหม่จำนวนมากเริ่มตั้งคำถามกับความคุ้มค่าของการศึกษาระดับมหาวิทยาลัย เมื่อค่าเล่าเรียนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ขณะที่โอกาสงานสำหรับบัณฑิตใหม่กลับลดลง
จิม ฟาร์ลีย์ (Jim Farley) ซีอีโอของฟอร์ด ก็ออกมาให้ความเห็นในงานสัมมนาของบริษัทว่า การเรียนมหาวิทยาลัยควรเป็นเรื่องที่เราต้องถกเถียงกัน ไม่ใช่สิ่งที่ทุกคนต้องทำตามโดยไม่ตั้งคำถาม
ขณะที่ไมค์ โรว์ (Mike Rowe) นักเคลื่อนไหวด้านอาชีวศึกษา กล่าวว่า “ไม่มีสิ่งใดในประวัติศาสตร์ของโลกตะวันตกที่มีราคาพุ่งขึ้นเร็วเท่ากับการศึกษาระดับปริญญา 4 ปี” เขาชี้ว่า แม้พลังงาน อาหาร อสังหาริมทรัพย์ หรือแม้แต่ค่ารักษาพยาบาลจะขึ้นราคาเร็ว แต่ก็ยังไม่เท่ากับต้นทุนของการศึกษาระดับอุดมศึกษาในปัจจุบัน
คำแนะนำของเจฟฟ์ เบโซส์สะท้อนมุมมองที่ต่างจากกระแส “ลาออกมาทำสตาร์ตอัป” ที่ได้รับความนิยมในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เขาชี้ให้เห็นว่าความสำเร็จของผู้ประกอบการชื่อดังที่ไม่ได้เรียนจบนั้นเกิดขึ้นได้ยาก และไม่ควรนำมาเป็นสูตรสำเร็จสำหรับทุกคน
สำหรับเบโซส์ ประสบการณ์ทำงานคือห้องเรียนสำคัญที่ช่วยให้เข้าใจโลกธุรกิจจริง ก่อนจะก้าวสู่การสร้างนวัตกรรมของตนเอง และนั่นอาจเป็นเหตุผลว่าทำไม Amazon ถึงเติบโตจากร้านหนังสือออนไลน์เล็กๆ กลายเป็นบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ระดับโลกในวันนี้
อ้างอิง:
Fortune
เจฟฟ์ เบโซส์ แนะคนรุ่นใหม่ อย่ารีบเป็นผู้ประกอบการ ก่อนเรียนรู้โลกการทำงาน
https://www.bangkokbiznews.com/tech/1202402
KEY POINTS
• เจฟฟ์ เบโซส์ แนะคนรุ่นใหม่ว่าอย่าเพิ่งรีบก่อตั้งบริษัท แต่ควรหาประสบการณ์ทำงานในองค์กรที่มีมาตรฐานสูงเพื่อเรียนรู้พื้นฐานทางธุรกิจก่อน
• เขาเชื่อว่าการทำงานในองค์กรจะช่วยให้เข้าใจหลักการบริหารที่สำคัญ เช่น การสัมภาษณ์งาน การบริหารทีม ซึ่งจะเพิ่มโอกาสความสำเร็จในการทำธุรกิจของตัวเอง
• เบโซส์ชี้ว่ากรณีของผู้ประกอบการที่ลาออกจากมหาวิทยาลัยแล้วประสบความสำเร็จอย่าง มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก หรือ บิล เกตส์ ถือเป็นข้อยกเว้น และไม่ใช่แนวทางที่เหมาะกับทุกคน
เจฟฟ์ เบโซส์ (Jeff Bezos) ผู้ก่อตั้งบริษัทอีคอมเมิร์ซระดับโลกอย่าง Amazon ออกมาแนะนำคนรุ่นใหม่ โดยเฉพาะกลุ่ม Gen Z ว่า “อย่ารีบร้อนลาออกจากมหาวิทยาลัยหรือเปิดบริษัทตั้งแต่ยังไม่มีประสบการณ์”
เพราะแม้จะมีตัวอย่างความสำเร็จของผู้ประกอบการที่เป็นอดีตนักศึกษาลาออกกลางคันอย่าง มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก (Mark Zuckerberg) จาก Facebook หรือ บิล เกตส์ (Bill Gates) จาก Microsoft แต่คนเหล่านี้ถือเป็น “ข้อยกเว้น” ไม่ใช่แบบอย่างที่เกิดขึ้นได้ทั่วไป
เบโซส์ให้สัมภาษณ์ระหว่างร่วมงาน Italian Tech Week โดยกล่าวว่า การเป็นผู้ประกอบการตั้งแต่อายุ 18-20 ปี “เป็นไปได้” แต่ไม่ใช่เส้นทางที่เหมาะกับทุกคน เพราะสิ่งสำคัญคือการเรียนรู้พื้นฐานจากบริษัทที่มีระบบการทำงานที่ดี ซึ่งจะช่วยให้เข้าใจหลักการบริหารจริง เช่น วิธีการสัมภาษณ์คนเข้าทำงาน การบริหารทีม หรือกระบวนการทำงานแบบมืออาชีพ
“ผมมักบอกกับคนหนุ่มสาวว่า ให้ไปทำงานกับบริษัทที่มีมาตรฐานสูง เพราะคุณจะได้เรียนรู้หลายอย่างที่เป็นพื้นฐานสำคัญของธุรกิจ เช่น วิธีการจ้างงานหรือสัมภาษณ์คน เมื่อคุณซึมซับสิ่งเหล่านี้แล้ว ยังมีเวลาอีกมากในการเริ่มต้นบริษัทของตัวเอง” เบโซส์ ให้มุมมอง
เขาเสริมว่า การทำงานในองค์กรก่อนเริ่มต้นธุรกิจช่วยเพิ่มโอกาสที่จะประสบความสำเร็จได้มากกว่า และชี้ว่าประสบการณ์ 10 ปีก่อนที่เขาจะเริ่มต้น Amazon เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้บริษัทสามารถเติบโตได้อย่างมั่นคง
เบโซส์เริ่มก่อตั้ง Amazon ตอนอายุ 30 หลังจากผ่านงานในภาคการเงินและเทคโนโลยีมาก่อนเกือบสิบปี เขามองว่านี่คือข้อได้เปรียบสำคัญที่ช่วยให้เข้าใจตลาดและระบบธุรกิจจริง ซึ่งแตกต่างจากบิล เกตส์ และมาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก ที่เริ่มต้นตั้งแต่ยังเรียนไม่จบในวัยเพียง 19 ปี
ปัจจุบัน เบโซส์เป็นมหาเศรษฐีอันดับ 5 ของโลก มีทรัพย์สินสุทธิราว 234,000 ล้านดอลลาร์ ขณะที่ซักเคอร์เบิร์กมีทรัพย์สิน 250,000 ล้านดอลลาร์ และเกตส์มี 121,000 ล้านดอลลาร์
อย่างไรก็ตาม แม้ทั้งสามคนจะประสบความสำเร็จสูง แต่เบโซส์เชื่อว่า ช่วงเวลาที่ใช้ในการเรียนรู้ก่อนลงมือทำ คือสิ่งที่ทำให้ Amazon มีรากฐานมั่นคงจนมีมูลค่าตลาดกว่า 2.33 ล้านล้านดอลลาร์ในปัจจุบัน
การศึกษายังเป็นสิ่งที่สำคัญ
ชีวิตของเบโซส์ต่างจากภาพจำของผู้ก่อตั้งบริษัทเทคโนโลยีจำนวนมากที่มักประสบความสำเร็จจากการ “ลาออกกลางคัน” เบโซส์กลับเลือกเส้นทางที่ต่างออกไป เขาให้ความสำคัญกับ “พื้นฐานทางวิชาการ” และการฝึกฝนเชิงลึกในรั้วมหาวิทยาลัย ซึ่งกลายเป็นรากฐานสำคัญของแนวคิดการบริหารและนวัตกรรมในเวลาต่อมา
เขาจบการศึกษาจาก มหาวิทยาลัยพรินซ์ตัน หนึ่งในสถาบันชั้นนำของสหรัฐ ด้วยเกียรตินิยมสูงสุด ในปี 1986 สาขาวิศวกรรมไฟฟ้าและวิทยาการคอมพิวเตอร์ ซึ่งในยุคนั้นถือเป็นสาขาที่ใหม่และท้าทาย
การเรียนสาขานี้ทำให้เบโซส์มีความเข้าใจทั้งด้านตรรกะการเขียนโปรแกรมและการคิดเชิงระบบ ซึ่งต่อมากลายเป็นหัวใจของโมเดลธุรกิจ Amazon
ระหว่างเรียน เขาได้รับเลือกเป็นสมาชิกของสมาคมเกียรติทางวิชาการ Phi Beta Kappa (สำหรับนักเรียนที่มีผลงานโดดเด่นด้านศิลปศาสตร์และวิทยาศาสตร์) และ Tau Beta Pi (สมาคมเกียรติด้านวิศวกรรมศาสตร์)
นอกจากความโดดเด่นด้านวิชาการแล้ว เบโซส์ยังแสดงให้เห็นถึงความสนใจในการสำรวจอนาคตตั้งแต่ยังเรียนอยู่ เขาเคยดำรงตำแหน่งประธานชมรม Students for the Exploration and Development of Space (SEDS) ซึ่งเป็นองค์กรนักศึกษาที่ส่งเสริมแนวคิดการพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อการสำรวจอวกาศ
แนวคิดนี้เองที่ฝังอยู่ในใจของเขาและต่อมากลายเป็นแรงบันดาลใจให้ก่อตั้งบริษัท Blue Origin ในปี 2000
Blue Origin เป็นบริษัทเทคโนโลยีด้านอวกาศที่มุ่งพัฒนาเทคโนโลยีการเดินทางและขนส่งในอวกาศอย่างยั่งยืน ภายใต้เป้าหมายระยะยาวคือ ทำให้อวกาศเป็นพื้นที่ที่ทุกคนสามารถเข้าถึงได้
เบโซส์เคยกล่าวว่า Blue Origin เป็นงานที่สำคัญที่สุดในชีวิตของเขา เพราะเกี่ยวข้องกับอนาคตของมนุษยชาติ ไม่ใช่แค่เรื่องธุรกิจ เขายังเคยบอกว่า หากมองในระยะยาว Blue Origin อาจมีศักยภาพเติบโตจนมีมูลค่ามากกว่า Amazon ด้วยซ้ำ เพราะเป็นธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับอนาคตของการเดินทางและเศรษฐกิจนอกโลก ซึ่งเขามองว่าเป็นบทต่อไปของอารยธรรมมนุษย์
“ผมเรียนจบและมีความสุขกับการเรียนรู้ในมหาวิทยาลัย มันเป็นประโยชน์กับผมมาก” เบโซส์กล่าว
คำถามใหม่ของคนรุ่นใหม่: ปริญญายังคุ้มค่าหรือไม่?
แม้เบโซส์จะยังมองว่าการเรียนรู้ในระบบเป็นเรื่องสำคัญ แต่ในอีกด้านหนึ่ง คนรุ่นใหม่จำนวนมากเริ่มตั้งคำถามกับความคุ้มค่าของการศึกษาระดับมหาวิทยาลัย เมื่อค่าเล่าเรียนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ขณะที่โอกาสงานสำหรับบัณฑิตใหม่กลับลดลง
จิม ฟาร์ลีย์ (Jim Farley) ซีอีโอของฟอร์ด ก็ออกมาให้ความเห็นในงานสัมมนาของบริษัทว่า การเรียนมหาวิทยาลัยควรเป็นเรื่องที่เราต้องถกเถียงกัน ไม่ใช่สิ่งที่ทุกคนต้องทำตามโดยไม่ตั้งคำถาม
ขณะที่ไมค์ โรว์ (Mike Rowe) นักเคลื่อนไหวด้านอาชีวศึกษา กล่าวว่า “ไม่มีสิ่งใดในประวัติศาสตร์ของโลกตะวันตกที่มีราคาพุ่งขึ้นเร็วเท่ากับการศึกษาระดับปริญญา 4 ปี” เขาชี้ว่า แม้พลังงาน อาหาร อสังหาริมทรัพย์ หรือแม้แต่ค่ารักษาพยาบาลจะขึ้นราคาเร็ว แต่ก็ยังไม่เท่ากับต้นทุนของการศึกษาระดับอุดมศึกษาในปัจจุบัน
คำแนะนำของเจฟฟ์ เบโซส์สะท้อนมุมมองที่ต่างจากกระแส “ลาออกมาทำสตาร์ตอัป” ที่ได้รับความนิยมในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เขาชี้ให้เห็นว่าความสำเร็จของผู้ประกอบการชื่อดังที่ไม่ได้เรียนจบนั้นเกิดขึ้นได้ยาก และไม่ควรนำมาเป็นสูตรสำเร็จสำหรับทุกคน
สำหรับเบโซส์ ประสบการณ์ทำงานคือห้องเรียนสำคัญที่ช่วยให้เข้าใจโลกธุรกิจจริง ก่อนจะก้าวสู่การสร้างนวัตกรรมของตนเอง และนั่นอาจเป็นเหตุผลว่าทำไม Amazon ถึงเติบโตจากร้านหนังสือออนไลน์เล็กๆ กลายเป็นบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ระดับโลกในวันนี้
อ้างอิง: Fortune