ทันทีที่ก้าวเท้าเข้ามาในบริเวณบ้านเก่าของสิตาที่อัมพวา เหมือนผมถูกหลอมรวมเข้ากับทุกสรรพสิ่งที่อยู่ที่นี่ สิตาเดินนำหน้าผมไปราวสองสามก้าว เมื่อเธอเข้าไปยืนหุบร่มคันสีสดใสที่ใต้ชายคาบ้านทรงไทยหลังใหญ่รอผม ผมเหมือนถูกทิ้งให้ยืนอยู่เพียงลำพังและไม่ได้ยินเสียงหรือเห็นเธอยืนอยู่ตรงนั้นอีก อากาศรอบกายที่ร้อนด้วยแดดสายก็กลับเย็นสบาย พระอาทิตย์หลบเข้ากลุ่มเมฆฝนที่เคลื่อนตัวเข้ามาโอบคลุมผืนฟ้าเบื้องบน เงาต้นกระท้อนใหญ่ที่เคยทาบอยู่เบื้องหน้าและเงาจั่วบ้านก็หายไป เหมือนฉากที่ถูกเปลี่ยนด้วยการแสดงของนักมามายากลชั้นยอด ลมเบาๆ หอบกลิ่นจำปีมาจาง ๆ
ผมเดินตามบางอย่างที่รู้สึกได้ว่าให้ผมทำตามเถอะ เดินเข้าไปจนมารู้ตัวอีกทีเมื่อยืนอยู่บนชานเรือนหลังนั้นแล้ว ตะโกดัดในกระถางกระเบื้องสีน้ำเงินขาวเรียงรายอยู่ซ้ายมือ ร่างสตรีในชุดไทยนางหนึ่งนั่งพับเพียบอยู่เบื้องหน้า รอยยิ้มที่เธอส่งมาคล้ายจะบอกว่าดีใจเหลือเกินที่ผมมาเยือนที่นี่ เธอยกมือไหว้ผมอย่างอ่อนช้อย ผมได้แต่ยิ้มให้ เร่งเดินเข้าไปนั่งห่างจากเธอราวสี่วา มั่นใจว่าทุกกริยาของผมถูกสายตาเธอมองมาไม่คลาด ตรงนี้มีเบาะผ้า ชุดกาน้ำชาและหมากพลูสามคำซึ่งเจียดแต่งอย่างสวยงามวางอยู่ สบตาเธออีกครั้งเมื่อเธอยกซออู้ขึ้นตั้งที่หน้าตัก ก้มมองกาน้ำชาก็พบว่ามันถูกเทใส่ถ้วยชารอไว้ตอนไหนไม่รู้
เมื่อผมยกน้ำชาขึ้นจิบ เพลงนางครวญจากซออู้ก็ดังขึ้น นิ้วเรียวงามของเธอขยับกดสายซอส่งเสียงไพเราะหากแต่หวานเศร้า เมื่อเพ่งมองใบหน้าของเธอยามนี้ก็ดูหม่นเศร้าเข้ากับเสียงดนตรีที่เธอสื่อสาร ผมหยิบหมากเข้าปาก มันช่างเอร็ดอร่อยยิ่งนัก รสปร่านั้นควรบอกผมถึงความหวานที่ปรารถนานั้นก็หาไม่ รสเฝื่อนกลับยั่วลิ้นให้บดเคี้ยว เสียงโหยหายามมืองามนั้นหน่วงคันชัก บอกเรื่องราวความรักที่ไม่สมหวังของหญิงสาว วันเวลาแสนขมขื่น ถูกไล่เสียงให้ต่ำสั่นเครือราวกับเสียงร้องไห้ของหญิงคนนั้น
ผมนั่งพิงเสาต้นใหญ่หลับตรงชานเรือนนั้นนานเท่าไหร่ก็ไม่รู้ ผมลุกลงมาจากเรือนนั้นเมื่อได้ยินเสียงเล็ก ๆ มาบอกว่าตื่นเถอะ ได้เวลากลับบ้านแล้ว ผมเดินลงไปพบสิตากำลังสนุกกับการเก็บลิ้นจี่ต้นใหญ่หลังบ้าน เธอชี้ให้ผมดูกระท้อนห่อหลายสิบลูกที่เธอบอกว่าผมช่วยเธอเก็บจนเหนื่อยขนาดต้องไปนอนหลับเอาแรงบนเรือน ก่อนกลับกรุงเทพเย็นวันนั้น สิตาไปแวะหาเพื่อนสมัยเรียนมหาวิทยาลัย หน้าร้านกาแฟที่ตลาดน้ำของเพื่อนสิตา มีเด็กมัธยมมาเล่นดนตรีไทยหาเงินเข้าชมรมดนตรีไทยของโรงเรียน เพลงสุดท้ายที่วงเล่นคือเพลงที่ผมได้ฟังเดี่ยวซอเมื่อกลางวัน
ใจผมคิดอะไรไปร้อยแปด ทั้งเรื่องแปลกที่เจอ เรื่องบังเอิญที่พบ ผมอุดหนุนซีดีมาหกแผ่นตั้งใจเอาไปฟังและแจกน้องที่ทำงาน เด็กผู้หญิงที่เล่นซอและขายซีดีหน้าคล้ายหญิงสาวที่ผมพบที่เรือนไทยไม่มีผิด ตลอดทางขับรถกลับกรุงเทพฯ ผมคิดถึงแต่คำพูดของเด็กผู้หญิงคนนั้น “ขอบคุณค่ะ สัญญานะคะ พี่จะกลับมาอีก” ผมไม่ได้รับปากเธอ ปากผมยังปร่าอยู่กับรสหมากคำนั้น น้ำตายังเอ่ออยู่ทั้งหัวตาและหัวใจ
ปล. ภาพถ่ายเอง แวะมาพูดคุย ติ ชม กันได้เหมือนเดิมครับ
สัญญา
ผมเดินตามบางอย่างที่รู้สึกได้ว่าให้ผมทำตามเถอะ เดินเข้าไปจนมารู้ตัวอีกทีเมื่อยืนอยู่บนชานเรือนหลังนั้นแล้ว ตะโกดัดในกระถางกระเบื้องสีน้ำเงินขาวเรียงรายอยู่ซ้ายมือ ร่างสตรีในชุดไทยนางหนึ่งนั่งพับเพียบอยู่เบื้องหน้า รอยยิ้มที่เธอส่งมาคล้ายจะบอกว่าดีใจเหลือเกินที่ผมมาเยือนที่นี่ เธอยกมือไหว้ผมอย่างอ่อนช้อย ผมได้แต่ยิ้มให้ เร่งเดินเข้าไปนั่งห่างจากเธอราวสี่วา มั่นใจว่าทุกกริยาของผมถูกสายตาเธอมองมาไม่คลาด ตรงนี้มีเบาะผ้า ชุดกาน้ำชาและหมากพลูสามคำซึ่งเจียดแต่งอย่างสวยงามวางอยู่ สบตาเธออีกครั้งเมื่อเธอยกซออู้ขึ้นตั้งที่หน้าตัก ก้มมองกาน้ำชาก็พบว่ามันถูกเทใส่ถ้วยชารอไว้ตอนไหนไม่รู้
เมื่อผมยกน้ำชาขึ้นจิบ เพลงนางครวญจากซออู้ก็ดังขึ้น นิ้วเรียวงามของเธอขยับกดสายซอส่งเสียงไพเราะหากแต่หวานเศร้า เมื่อเพ่งมองใบหน้าของเธอยามนี้ก็ดูหม่นเศร้าเข้ากับเสียงดนตรีที่เธอสื่อสาร ผมหยิบหมากเข้าปาก มันช่างเอร็ดอร่อยยิ่งนัก รสปร่านั้นควรบอกผมถึงความหวานที่ปรารถนานั้นก็หาไม่ รสเฝื่อนกลับยั่วลิ้นให้บดเคี้ยว เสียงโหยหายามมืองามนั้นหน่วงคันชัก บอกเรื่องราวความรักที่ไม่สมหวังของหญิงสาว วันเวลาแสนขมขื่น ถูกไล่เสียงให้ต่ำสั่นเครือราวกับเสียงร้องไห้ของหญิงคนนั้น
ผมนั่งพิงเสาต้นใหญ่หลับตรงชานเรือนนั้นนานเท่าไหร่ก็ไม่รู้ ผมลุกลงมาจากเรือนนั้นเมื่อได้ยินเสียงเล็ก ๆ มาบอกว่าตื่นเถอะ ได้เวลากลับบ้านแล้ว ผมเดินลงไปพบสิตากำลังสนุกกับการเก็บลิ้นจี่ต้นใหญ่หลังบ้าน เธอชี้ให้ผมดูกระท้อนห่อหลายสิบลูกที่เธอบอกว่าผมช่วยเธอเก็บจนเหนื่อยขนาดต้องไปนอนหลับเอาแรงบนเรือน ก่อนกลับกรุงเทพเย็นวันนั้น สิตาไปแวะหาเพื่อนสมัยเรียนมหาวิทยาลัย หน้าร้านกาแฟที่ตลาดน้ำของเพื่อนสิตา มีเด็กมัธยมมาเล่นดนตรีไทยหาเงินเข้าชมรมดนตรีไทยของโรงเรียน เพลงสุดท้ายที่วงเล่นคือเพลงที่ผมได้ฟังเดี่ยวซอเมื่อกลางวัน
ใจผมคิดอะไรไปร้อยแปด ทั้งเรื่องแปลกที่เจอ เรื่องบังเอิญที่พบ ผมอุดหนุนซีดีมาหกแผ่นตั้งใจเอาไปฟังและแจกน้องที่ทำงาน เด็กผู้หญิงที่เล่นซอและขายซีดีหน้าคล้ายหญิงสาวที่ผมพบที่เรือนไทยไม่มีผิด ตลอดทางขับรถกลับกรุงเทพฯ ผมคิดถึงแต่คำพูดของเด็กผู้หญิงคนนั้น “ขอบคุณค่ะ สัญญานะคะ พี่จะกลับมาอีก” ผมไม่ได้รับปากเธอ ปากผมยังปร่าอยู่กับรสหมากคำนั้น น้ำตายังเอ่ออยู่ทั้งหัวตาและหัวใจ
ปล. ภาพถ่ายเอง แวะมาพูดคุย ติ ชม กันได้เหมือนเดิมครับ