รัฐบาลปรองดองจำเป็นหรือ?

กระทู้คำถาม
จิตติพจน์ วิริยะโรจน์
อดีต ส.ว.ศรีสะเกษ


การ ตั้งรัฐบาลปรองดองไม่จำเป็นต้องเขียนไว้ในรัฐธรรมนูญหรือในบทเฉพาะกาล เพราะไม่ว่าจะเป็นช่วงเวลาใดก็สามารถทำได้ แต่มีข้อสงสัยว่าในช่วงเวลาขณะนี้จำเป็นที่ต้องมีรัฐบาลปรองดองหรือไม่


การ ให้มีรัฐบาลปรองดองอย่างน้อยต้องอยู่ในช่วงสถานการณ์พิเศษ หรือช่วงที่สังคมเกิดความขัดแย้งสูง อย่างเช่นก่อนหน้าที่จะทำรัฐประหารหรือภายหลังรัฐประหารเสร็จสิ้นใหม่ๆ ถ้าจะมีรัฐบาลปรองดองก็ไม่ใช่เรื่องแปลก อาจจะให้พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรี ส่วนคณะรัฐมนตรีก็มาจากพรรคการเมือง แบบนี้พอเข้าใจได้


แต่ ขณะนี้การยึดอำนาจผ่านเวลามาเกือบ 1 ปี และถือว่าเลยระยะเวลาตามโรดแม็ปที่กำหนดไว้แต่แรก คำถามคือช่วงเวลานี้จำเป็นที่ต้องมีรัฐบาลปรองดองหรือไม่


สถานการณ์ ยังอยู่ในระดับความขัดแย้งหรือไม่ที่ต้องนำเอารัฐบาลที่ยากแก่การตรวจสอบ หรือรัฐบาลที่ฝ่ายค้านจะทำงานไม่ได้มีคุณภาพเข้ามาทำงาน


ข้อ สังเกตคือเรื่องของกรรมและเจตนา รัฐบาลปรองดองหมายถึงเอาสองพรรคใหญ่มาร่วมจัดตั้งเป็นรัฐบาล ซึ่งเป็นที่แน่นอนว่านโยบายของสองพรรคนี้เป็นคนละขั้ว แต่ละพรรคยากจะยอมให้คนของอีกฝ่ายมาเป็นนายกฯ เมื่อเกิดปัญหาเช่นนั้นจึงเปิดทางให้มีนายกฯคนนอก


ประกอบกับข้อเสนอที่ให้มีคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อการปฏิรูปและการสร้างปรองดองฯ ที่ให้อำนาจมากกว่าคณะรัฐมนตรี


สอง ข้อเสนอนี้สอดคล้องกัน ในลักษณะนี้จะทำให้ได้ระบบการปกครองประชาธิปไตยที่ไม่เป็นธรรมชาติ กับการที่ให้มีองค์กรพิเศษมาเพิ่มการถ่วงดุลอำนาจมากกว่ารูปแบบประชาธิปไตย แบบสากล


ประชาธิปไตยแบบสากล คือปล่อยให้มีการเลือกตั้ง ให้มีฝ่ายบริหารและนิติบัญญัติมาทำงานตามปกติ ก็เป็นปัจจัยที่ช่วยลดความขัดแย้งได้เช่นกัน หรือถ้าเกิดปัญหาข้อขัดแย้งก็ควรให้การทำประชามติถามเสียงประชาชนไม่ใช่ เรื่องยากจนเกินไป


คำถามคือ เรายังคงต้องการประชาธิปไตยแบบปกติหรือสากลหรือไม่ ถ้าจะยึดหลักการนี้ก็ไม่จำเป็นต้องคิดอะไรที่พิเศษที่มักจะขาดๆ เกินๆ ตลอด


ที่จริงควรให้ระบบทำงานและปรับตัวของมันเอง



วิโรจน์ อาลี
อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์


รัฐบาล ปรองดองเป็นเรื่องที่มีการพูดถึงบ่อยครั้ง แต่การจะเกิดรัฐบาลปรองดองขึ้นได้เป็นเรื่องยากมาก เพราะลักษณะของรัฐบาลปรองดองที่เคยเกิดขึ้นเป็นสภาวะหลังสงครามถือว่าเป็น การยกเว้น ไม่ใช่ปัญหาที่เกิดจากปัญหาภายในทางการเมืองแต่เป็นความขัดแย้งภายนอก และต้องมีอำนาจภายนอกเข้ามาช่วยเหลือ


รัฐบาลปรองดองจะทำ หน้าที่บริหารประเทศในช่วงระยะเวลาสั้นๆ แต่สภาวการณ์ในไทยเราต้องพิจารณาว่าเราอยู่ในสภาพแบบนั้นหรือไม่ ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นเกิดจากปัจจัยภายนอก หรือความขัดแย้งภายในของเราเอง


คิด ว่าปัญหาของเราคือสถาบันการเมืองที่มีปัญหา รวมถึงส่วนอื่นประกอบด้วยที่เป็นสองมาตรฐาน และยังมีการเลือกปฏิบัติอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ยังมีสถาบันทหารมาแทรกแซงอีกด้วย ทำให้กลไกการแก้ปัญหาเกิดการต่อรองทางอำนาจ ที่สำคัญประชาชนแทบไม่มีส่วนร่วมในการตัดสินใจเลย


ดังนั้น การเสนอเรื่องรัฐบาลปรองดอง จึงเกิดคำถามว่าเมื่อรัฐบาลปรองดองเกิดขึ้นจะแก้ปัญหาได้จริงหรือไม่ กระบวนการเป็นอย่างไร ระบบเป็นแบบไหนไม่มีใครตอบได้ ที่สำคัญรัฐบาลปรองดองไม่สามารถทำให้ประชาชนเกิดการมีส่วนร่วมได้


ปัญหา สำคัญอีกประการ คือ รัฐบาลปรองดองต้องเอาพรรคการเมืองหลายพรรคมาทำงานร่วมกัน ทั้งที่ไม่ได้มีเป้าหมายเดียวกัน อีกทั้งยังมีนโยบายแตกต่างกัน


ปัจจุบัน เกิดการฉีกแยกของกรอบการบริหารจัดการ กลุ่มทุนเข้ามามีบทบาท การใช้นโยบายประชานิยมหรือมุมมองทางการเมืองก็แตกต่างกันสุดขั้ว จึงเชื่อว่ารัฐบาลปรองดองเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ เพราะพรรคการเมืองขนาดใหญ่คงจะรอระยะยาวได้เพื่อจะได้มีการเลือกตั้ง


เนื่อง จากพรรคการเมืองคำนึงถึงเสียงประชาชนมากกว่า และต้องการทำตามนโยบายของเขา หากนโยบายที่ให้ประชาชนไม่มีความเป็นอิสระ พรรคการเมืองไม่สามารถผลักดันนโยบายได้ ย่อมหมายถึงพรรคการเมืองฆ่าตัวตาย ดังนั้นคงไม่เสี่ยง จึงเป็นไปได้ยากที่จะเกิดรัฐบาลปรองดอง


ที่ คณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญเสนอเรื่องดังกล่าวขึ้นมา เพราะเขาเชื่อว่าปัญหาของประเทศในขณะนี้อาจทำให้ประเทศสิ้นสลาย เป็นปัญหาใหญ่ที่ไม่มีอะไรแก้ไขได้ จนนำมาสู่ข้อเสนอของการแก้ปัญหาแบบนี้


โดยไม่ดูสถานการณ์ความเป็นจริงที่ เกิดขึ้น



สมบัติ บุญงามอนงค์
บ.ก.ลายจุด


เชื่อ ว่าข้อเสนอให้ตั้งคำถามประชามติเรื่องรัฐบาลปรองดองของนายเอนก มีความจริงใจ หวังแก้โจทย์ความขัดแย้งที่มีมานานในสังคมไทย ด้วยการออกแบบเครื่องมือให้มีรัฐบาลปรองดองแห่งชาติ ซึ่งถือเป็นข้อเสนอที่ดีมาก


แต่ในแง่กระบวนการนำไปสู่การจัด ตั้งนั้นถือว่าเป็นไปได้ยาก ล่าสุด ผู้นำพรรคการเมืองจาก 2 พรรคใหญ่ ก็ออกมาปฏิเสธแล้ว และหากว่า สามารถจัดตั้งรัฐบาลปรองดองชุดนี้ได้ ก็จะทำให้เกิดคำถามตามมามากอีก ไม่ว่าใครจะเป็นนายกฯ


พรรคใหญ่ 2 พรรคไม่มีทางยอมกันแน่ หรือต่อให้พรรคเสียงข้างมากเองก็คงไม่ได้เป็นนายกฯ สถานการณ์จะกลายเป็นว่าไปเข้าล็อกนายกฯคนกลาง


ส่วน การกำหนดนโยบายตลอดจนถึงการผลักดันนโยบายก็จะมีปัญหา ใครจะเป็นคนกุมอำนาจนำในการผลักดัน เพราะพรรคใหญ่แต่ละพรรคต่างมีวิธีคิดกันแบบสุดโต่ง


รัฐบาล ปรองดองมีความต่างจากรัฐบาลผสมที่อย่างน้อยยังมีพรรคเสียงข้างมากในการกำหนด แนวทางดำเนินงาน แต่รัฐบาลปรองดองนี้คงจะเละเทะมาก เพราะไม่มีใครยอมใคร


จึง อยากเสนอให้รัฐบาลที่เหลือเวลาบริหารประเทศอีก 1 ปีเศษ หากอยากสร้างความปรองดองก็ให้นำผู้นำทางการเมืองทั้ง 2 ขั้ว มาใช้ชีวิตร่วมกันเพื่อละลายพฤติกรรม


ให้ทั้ง 2 ฝ่ายมีปฏิสัมพันธ์ร่วมกันมากขึ้น อาจทำคล้ายลักษณะค่ายลูกเสือก็ได้ พร้อมกันนั้นก็จัดกิจกรรม ถอดบทเรียนนำเสนอสู่สาธารณะต่อไป

http://www.khaosod.co.th/view_newsonline.php?newsid=1439978141

+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++


เรื่องของเรื่องคือ3ขั้วอยากมีอำนาจ 2ขั้วน่ะไม่ผิดเพราะมาจากประชาชน เอิ้กๆ เราขอเลือกเอง ไม่เอาลากนะครับ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่