คุณเคยท้อ,ทุกข์,คิดมากเพราะคำพูดของคนอื่นที่พูดถึงคุณไหม เคยโดนดูถูกไหม? ลองอ่านเรื่องราวของเรา และมันอาจจะเปลี่ยนความคิดคุณไปได้ : ) วิธีรับมือกับคำพูดคนเหล่านี้!! *แก้ไข(อ่านให้จบก่อนที่จะพูดว่ากระทู้อวยนะคะ^^ ไม่มีคำพูดใดชมตัวเองแม้เเต่น้อย เคยทุกข์มาเยอะ จนจัดการสติใหม่ได้)
“ ใส่กระโปรงยาวในมหาลัยเอกชน มีคนด่าว่าเป็นการี ขาพิการ ขนหน้าแข็งเยอะชัวร์ ,ได้เกรด3.9 โดนบอกว่าเอาตัวแลกเกรดกะอาจารย์,พ่อหน้าหนุ่มกว่าวัยมารับ ก็กลายเป็นมีเสี่ยเลี้ยง นี่คือคำเบาๆที่สารพัดจะโดน ทั้งๆที่เราไม่ได้ทำความผิดอะไร”
ขอย้อนเล่าเรื่องในสมัยที่เราอยู่ปี1ใหม่ๆ 7ปีที่แล้ว สมัยที่กระโปรงยาวยังไม่ฮิตแบบปัจจุบัน ยังไม่มีใครใส่กัน เราได้เข้ามหาวิทยาลัยเอกชนชื่อดังแห่งหนึ่ง เป็นมหาวิทยาลัยที่อยู่ไม่ไกลจากที่ทำงานพ่อกะแม่เรา (พ่อแม่เรารับส่งเรากับน้องสาวเช้าและเย็นตั้งแต่อนุบาล1-ปี4) นั่นคือเหตุผลที่เราเข้าที่นี่ด้วย เกรดเอนทรานซ์เราคะแนนไม่ถึงในมหาวิทลัยรัฐที่เราอยากเข้า เราเสียใจมากที่เราคงทำให้พ่อแม่ผิดหวัง เราเลยตั้งปณิธานกับตัวเองว่า เราจะตั้งใจเรียนอย่างขีดสุด จะไม่ให้มีโอกาสที่พ่อแม่ต้องผิดหวังกะเราอีกแล้ว
ในตอนนั้นมหาวิทยาลัยของเราทุกคนนุ่งกระโปรงสอบสั้นสวยๆหุ่นดีๆกันทั้งนั้น แต่เราชอบกระโปรงพีท เลยคิดว่าจะไปซื้อกระโปรงพีทประมาณยาวเท่าเข่ามาใส่ บังเอิญว่าย่าได้ยิน ย่าบอกว่า “ย่ามีกระโปรงพีท ไม่ต้องซื้อหรอก ย่าเคยใส่ตอนสาวๆ ตัวนี้ทำให้ปู่รักย่าเลย” เราก็ดีใจเพราะ ประหยัดค่าใช้จ่ายได้เยอะ อะไรประหยัดได้เราก็จะทำ เพราะว่าเราเข้าเอกชน ค่าใช้จ่ายมันมากกว่ามหาวิทยาลัยรัฐอยู่แล้ว แต่พอเห็นกระโปรงย่า เรานี่แทบเป็นลมแป๊ป เพราะมันเป็นทรงพีทยาวดำมันขลับแบบสมัยเต้นรำในงานสมัยก่อนกัน เป็นจีบถี่ๆ ซึ่งมันสามารถยกบานได้ข้างได้เป็นเหมือนใบพัด ต่างจากพีทปกติ เพราะพีทย่าเราถี่จีบๆติด อย่างพีทปกติหนึ่งจีบ กระโปรงย่าเรา สามจีบอะ ความถี่ของจีบมีมากกว่า ที่สำคัญยาวเกือบถึงตาตุ่มเรา!!!
เราบอกแม่กะย่าว่า “ไม่ใส่ได้ไหม มันต้องตลกแน่ๆ” แม่กะย่าบอกว่า แล้วยังไงไม่เห็นเกี่ยวใส่ไปเถอะ บอกว่าเรียบร้อยมันก็ดีนิ บลาๆๆๆ เราเลยโอเค เพราะเราไม่ใช่คนเรียบร้อยมาก และซุ่มซ่าม ถ้าใส่สั้นๆมันโป๊แน่ๆ แถมเวลากินส้มตำหรือไรก็ตาม นั่งยกขาชันเข่าได้สบายมาก ไม่เสี่ยงเห็นหวอ เราเลยตกลงเลือกกระโปรงย่ามาใส่ เหตุผลเรามีแค่นี้ ตามใจย่ากะแม่เป็นพอจบ ไม่ได้อยากเด่นบ้าบอคอแตกไรเลย
ที่มหาวิทยาลัยเรามีการรับน้องเกิดขึ้น เราอยู่คณะมนุษยศาสตร์สาขาภาษาญี่ปุ่น ในตอนนั้นรุ่นพี่หลายๆคนก็สันทนา ให้น้องเต้นท่าอุบาทว์ตลกสารพัด แต่ไม่ค่อยมีคนทำ เอาจริงๆเราเข้าใจพี่เค้านะ เราเลยเต้นตามที่พี่เค้าทำ เต้นน่าตาย เต้นไม่ยิ้ม เท่านั้นแหล่ะ รุ่นพี่ทุกคนเลยให้เราเต้นโชว์ต่อหน้าเพื่อนๆในกลุ่ม ตอนนั้นมีแค่ไม่ถึงร้อยคน เราก็เต้นตามๆให้มันจบ คือท่าที่เราเต้น มันไม่ได้สวยเซกซี่ มันอุบาทๆ เราก็เลยทำ เราเริ่มได้ยินคนพูดถึงกันแวบๆในกลุ่มว่า ไม่ใช่ผู้หญิงชัวร์ ผู้หญิงไม่เต้นแบบนี้แน่ๆ สมัยนั้น เฟสบุคยังไม่โด่งดังมาก ไม่ค่อยมีมีคลิปเต้นอุบาทๆ และก็มีการไปรวมตัวกับหลายๆคณะ เค้าให้ส่งตัวแทนแต่ละกลุ่มมาโชว์กัน ตอนนั้นเรานั่งเหมือนมึนหลับๆ และรุ่นพี่ก็บอกให้เราเต้นให้หน่อย เพื่อกลุ่ม เราก็ไม่เอาๆๆๆๆ จะบ้าหรอ คนหลายพันมาก หลายคณะด้วย

เพื่อนหลายคนก็บอกทำเถอะๆๆๆๆเพื่อกลุ่ม เราก็เลยต้องทำอีกครั้ง เอาจริงๆเราเฉยๆหมดอะ ให้แม่มจบๆไปที่คิด พอเรายืนทุกคนก็มองๆว่าไอเนี่ยนะ จะเต้น ปรากฏพอเพลงมาเราก็เต้นอุบาทว์น่าตายแบบที่เต้น คนก็ฮือฮา ให้เต้นหลายรอบ หลายคนช็อค จนพอเสร็จวันนั้น มีคนมาขอถ่ายรูป พร้อมกะคำถามล้านแปด “ไม่ใช่ผู้หญิงใช่ไหม” เราก็เริ่มแบบไรนักหนาวะ เริ่มหงุดหงิดนะ ทำให้ส่วนรวม แต่ทำไมถึงมีคนมายุ่งวุ่นวายถามมาก แต่ก็ตอบแบบยิ้มๆไม่ใช่ๆค่ะ รุ่นพี่สโมสรนักศึกษาหลายคนไม่เชื่อว่าเป็นผู้หญิง ไปค้นทะเบียนประวัติเรามาดู เอาเถอะ เอาที่สบายใจ! พออีกวันนึง มีการให้เขียนโนตบอกความในใจเพื่อนที่เราชอบ หรือรู้จัก เราก็เขียนไปให้เพื่อนสองคน และเราได้จดหมายมา11ฉบับ จากคณะอื่นๆด้วย มีหลายคนชมเรา เราก็เลยดีใจทั้งๆที่เราไม่รู้จักเค้าด้วยซ้ำ แต่ก็ไม่ได้อะไร จนกระทั่งเค้าให้ส่งตัวแทนขึ้นเวที ขอบคุณบลาๆๆ เราก็โดนส่งขึ้นไป ต้องแนะนำตัว แค่เราขึ้นเวทีไปคนก็ขำเราแล้ว เหมือนสโลแกนเต้นอุบาทมันอยู่ที่หน้าเราอะ หลังจากนั้นคนก็จำชื่อเราได้ รุ่นพี่รู้จักเราแทบทุกคน เพื่อนหลายคณะก็รู้จักเรา ตอนนั้นเราก็ดีใจมากๆนะ แต่เรามีเพื่อนที่สนิทอยู่ ที่สนิทแบบรู้ใจ แต่โชคร้าย ที่เรียนคนละกลุ่มตลอด ต้องเจอแค่ช่วงเที่ยงกะเย็นๆ
วันเปิดเทอมก็มาถึง เรานุ่งกระโปรงยาวมา คนมองทั้งมหาวิทยาลัย คือสมัยนั้น เรามั่นใจมากว่า ไม่มีใครนุ่งกระโปรงยาวแน่นอน(เราไปมรัฐบาลหลายที่ก็ยังไม่มี) เราเป็นคนเดียวในมหาวิทยาลัย นอกจากนักศึกษาหญิงอิสลาม เราไปไหนๆใครก็มองกระโปรงเรา มีรุ่นพี่ผู้ชายหลายคนมาขอซื้อกระโปรงเรา เค้าอยากให้แฟนเค้าใส่กัน มันเรียบร้อย เราไม่ขายหรอก มันเป็นของย่า ส่วนอาจารย์นี่ไม่ต้องพูดถึง ชอบกระโปรงเราทุกคน จากที่เราเคยจะอาย เรากลับรู้สึกภูมิใจในกระโปรงเรามาก มีบางนิตรสารและแม่ค้าหลายร้านมาสอบถามเรื่องกระโปรงจากเรา เพื่อจะเอาไปผลิตขายบ้าง แต่ก็มีเพื่อนหลายคนบอกให้ใส่โปรงสั้นดีกว่า เอาโปรงเราไปทิ้งเถอะ(ตอนหลังๆเพื่อนเราหลายคนก็ใส่กระโปรงยาวกันนะ เพราะแดดร้อนด้วย)
และนั่นก็เป็นสาเหตุที่ทำให้มีคนไม่ชอบรา เพราะเด่นเกินไง ของแบบนี้มันมันส์ปาก มันคงต้องด่า ต้องทำลายกัน เราสูง170กว่าๆ หนัก47 ยิ่งใส่กระโปรงยาวยิ่งดูสูงมาก เราจะใส่เอวสูงด้วย เพราะเดี๋ยวมันลากพื้นมากกว่านี้ แล้วชอบทำผมดังโงะไปมหาวิทยาลัย เพื่อนจะเรียกกันว่า หัวไม้ขีด ก้านไม่ขีด เพราะหุ่นเราดูเป็นแบบนั้นเลย คนเริ่มด่าก็พอได้ยินบ้าง เราก็เครียด แต่บางทีก็ลืมๆ จนกระทั่งมีการเลือกดาว เราเป็นตัวแทนดาวสาขาญี่ปุ่น รุ่นพี่หลายๆคนเลือก ตอนนั้นเราได้ยินรุ่นพี่หลายคนเถียงกัน บางคนบอกจะเอาเรา บางคนไม่เอา สุดท้ายมติเอามากกว่าไม่เอา ถามว่าเราดีใจไหม เราเฉยๆอยู่ เพราะเราไม่รู้ว่าดาวต้องทำไรมั่ง เราเรียนจันทร์ถึงศุกร์ทุกวัน ลงเรียน8.30-16.30เกือบทุกวัน สาขาเราเรียนค่อนข้างหนักมาก เราบ้านอยู่นนทบุรี ต้องตื่นตี5ทุกวัน มาถึงมหาวิทยาลัย หกโมงกว่าๆ มาอ่านบทเรียนก่อนล่วงหน้า ทุกเที่ยงหรือเย็นต้องเข้าห้องสมุดกับเพื่อน เกือบทุกวันเลย(ถึงหน้าตาไม่เรียนก็เถอะ) คือเรากลัวมันยากและเรียนไม่ทัน เลยอยากขยันๆๆ ก็มีบ้างเพื่อนหลายคณะชวนเที่ยว ดื่ม เราก็ปฏิเสธ เพราะเราดื่มไม่ได้เลยแอลกอฮอล์ไวน์เบียร์ทุกอย่าง พ่อเราแพ้ มันเป็นพันธุกรรมมาถึงเรา เคยแค่จิบไวน์ลิ้นจี่หน้าบวมแดงแขนขาบวมไป4ชม แต่ทุกคนไม่เชื่อ เพราะหน้าตาเราไม่เรียบร้อย หน้าเราดูเหมือนชอบเที่ยวๆ ไม่มีใครเลือกเกิดหน้าตาได้ไง เลือกได้ก็อยากหน้าเรียบร้อยล่ะ
พอเราเริ่มรู้และว่าการเป็นดาวต้องซ้อมหนักแค่ไหน เราเริ่มกังวลมากๆ กลัวเรียนไม่ทันเพื่อน เราไม่เคยขาดเรียนมาก่อนในชีวิต เพราะการขาดเรียนหรือโดดเรียนมันต้องมาอ่านและเรียนจดย้อนหลัง ขี้เกียจไง ไม่ใช่เด็กดีไรหรอก เราก็แบกหนังสือไปอ่านตอนซ้อมดาวเดือน เริ่มดึกๆมากขึ้น เลิกเรียนเสร็จ ซ้อมรวมกะสาขาอื่น หลังจากนั้นต้องซ้อมรำกับอาจารย์ญี่ปุ่น (การแสดงสาขา)สองสามทุ่ม พอเริ่มใกล้ๆงานเข้ามาก็ซ้อมถึงห้าทุ่ม พ่อเป็นคนขับรถมารับเราทุกครั้ง ที่เลิกซ้อม มีวันหนึ่งฝนตกด้วย พ่อกลางร่มวิ่งมารับเรา เราน้ำตาคลอเลย ถามว่า “พ่อเหนื่อยไหม” พ่อบอกเหนื่อยแต่ทำไงได้ พ่อขอไรได้ไหม การเรียนตกไม่ว่า แต่ขอให้ทุ่มเทด้วย อย่าเอาแต่กิจกรรม เรารับปากพ่อว่าได้
เราต้องมาอัดวีดีโอวันเสาร์อาทิตด้วย พ่อแม่ก็ต้องมารับส่งเราอีก เราโคตรเซ็ง แม่มเหมือนเป็นภาระคนในครอบครัว นับวันรอให้งานมันจบเร็วๆ ในระหว่างนั้น เราโดนทุกคำด่า เราร้องไห้ทุกวัน เน้นว่าเกือบทุกวัน เราไม่เล่าให้พ่อแม่ฟัง คือเราไม่คิดว่าการเป็นดาวเพื่อสาขา แม่มต้องกลายเป็นที่โจษจัน ขี้ปากชาวบ้าน มีเพื่อนสนิทเราคนเดียว ที่รู้ว่าเราทุกข์แค่ไหน เศร้าแค่ไหน แต่เราก็ยิ้มทุกครั้งให้คนอื่นเห็นว่าเราพร้อมเป็นดาวนะ และจะทำเต็มที่ คนที่ด่าเราไม่ใช่คนที่ซ้อมหรอก เป็นรุ่นพี่บ้าง คนอื่นๆบ้างที่เราไม่รู้จัก และด่าให้ได้ยินบ้าง เช่น อีแรด ใครเลือกมะรึงเป็นดาว เป็น

เปล่าวะ ทำเป็นใส่กระโปรงยาว มีหนักๆก็บอกว่าเราทำงานซ่อง !!!!
จนวันนึงเราไปร้องไห้บอกพี่คนดูแลดาวเดือนของคณะว่า หนูไม่เป็นแล้ว หนูรับไม่ไหว หนูทำไรผิด ใครๆก็เกลียดหนู เราพูดไปร้องไห้ไปเหมือนคนบ้า แต่รุ่นพี่ที่รู้จักเราจากการเต้นของเราหลายคนก็ให้กำลังใจเรา เราบอกโอเคเราจะทนให้มันๆจบไป จนวันนั้นตอนเย็นพ่อเรามารับเรา คือบ้านเรามีรถสามคัน แล้วพ่อเราเป็นคนหน้าเด็กมาก ห่างกะเรา25ปี พ่อจะมารับรถไม่ซ้ำคัน บางวันก็ใส่แว่น บางวันก็ไม่ใส่ พ่อจะเปิดหน้าต่างเรียกเราทุกครั้งให้เราขึ้นรถที่หน้ามหาวิทยาลัย หลายคนเลยคิดว่าพ่อเราเป็นเสี่ย เราโดนหลายคนเรียกว่าเด็กเสี่ย!!!! กรูผิดหรอ หน้าพ่อกรูเด็กเนี่ย มันไม่เจ็บหนักเท่าตอนที่มีเรื่องเรยาเข้ามา ที่เรื่องดอกส้มสีทอง ในเรื่องชมพู่ที่เป็นเมียน้อย เรียกสามีว่าพ่อๆ พอเราออกไปซื้อน้ำผลไม้ให้พ่อ พ่อลงมาเลือกด้วย เราบอกพ่อไม่ต้องลงมา เดี๋ยวจัดการเอง และก็มีนักศึกษาที่เราไม่รู้จักสามสี่คนชี้เรา และพูดว่านี่ก็ทำตามกระแสสินะ เรียกพ่ออีกคน ตอนนั้นเราไม่เก็ทอะ จนมีหลายคนมาถามเรื่องพ่อๆๆๆๆๆที่เราเรียกพ่อ เราโคตรเสียใจเลย คิดว่าแบบพวกมะรึงสมองมีแค่นี้หรา?

มีวันนึงพ่อมาส่งเราที่หอประชุมไปซ้อมดาว เราเลยเล่าให้พ่อกกะแม่ฟังว่า มีคนด่าเราเยอะมาก ทั้งที่เราไม่ทำไรผิด พ่อเราบอกว่าให้อย่าไปสนใจ ช่างหัวมัน สอนเราบลาๆๆๆๆ จนตอนนั้นพ่อเราผ่านหน้าหอประชุม มันมีที่นั่งอยู่ มีนศปีไรไม่รู้ ผู้หญิงหกเจ็ดคน พูดเสียงดังมาก ว่า “การีมากะผัวเสี่ยมันแล้วเว้ย” เราน้ำตาไหลหันไปมองหน้าพ่อ ตอนนั้นพ่อก็ได้ยิน พ่อเราโกรธมาก แทบจะไปฆ่ามันเลยอะ ยิ่งเรามีน้ำตาเพราะพวกปากแก๊งชังไรเกลิร์ลกรุปที่ไม่รู้จัก พ่อเรารีบเดินไปเลย เราบอกว่า “อย่า ช่างมัน เดี๋ยวคนอื่นมองพ่อไม่ดี ” เราเลยบอกพ่อว่าจะอดทนให้ได้มากกว่านี้ พอกลับไปบ้าน กำลังใจคือสี่งสำคัญมากจริงๆ พ่อแม่น้องได้พูดทุกอย่างจนเรา แบบโอเคมากๆแล้ว
วันประกวดดาวก็มาถึง ถึงคนเกลียดเราจะมี แต่คนชอบเราก็มีไม่น้อยเหมือนกัน ตอนเราออกมาบนเวที ก็มีคนเชียร์กรี๊ด หรือเพราะมันโดนรุ่นพี่บังคับให้เชียร์กันไม่รู้ ห้าๆๆๆ เราได้สองตำแหน่ง คือแสดงสร้างสรรค์(เรารำพัดญี่ปุ่นใส่กิโมโน)จริงๆเรารำผิดด้วยล่ะ แต่ไม่มีคนรู้ เพราะเรารำคนเดียว เลยเนียนนัวท่าไปเอง และอีกตำแหน่งกู๊ดลุคกิ้งบิวตี้ฟูลเกิร์ล สำหรับเราสองตำแหน่งก็มากพอแล้ว เราดีใจมากที่มันเป็นวันสุดท้ายที่ต้องเหนื่อย ตอนที่ประกาศรางวัล เราน้ำตาไหล เพราะเราตกใจมากที่พ่อกะแม่น้องสาวและพี่เลี้ยงเราแอบมาดู นั่งข้างหน้าเลย เราช็อคมาก เพราะเราบอกไม่ต้องมาๆๆ เสียเวลา มันดึกมากๆๆๆ เพราะอีกวันเรามีเรียนเช้า ไม่อยากให้มาส่งตอนเช้า
พอเราประกวดเสร็จเราบอกพ่อกะแม่ว่า ขอไปหน้าบอร์ดก่อนนะ จะไปเอาโปสเตอร์ เค้าถ่ายรูปหนูสวยมากเลย เป็นรูปเราใส่ชุดนักศึกษาที่บอร์ด ปรากฏว่า พอไปถึงโปสเตอร์เราเป็นคนเดียว จากดาวเดือนสิบคน ถูกดึงหายออกไป เราอึ้งมาก ไม่รู้คนดึงมันชอบ หรือมันเกลียด
พอมาอีกวันต้องเรียนเช้า เรามาเหมือนศพเลยสภาพเราอะ ง่วงโคตรๆ กลับบ้านเที่ยงคืน ตื่นตีห้าอีก แต่ถ้าเราคิดว่าเราเหนื่อย คนมาส่งเราคือพ่อแม่ต้องเหนื่อยกว่า เราเริ่มได้ยินคนทั้งชมทั้งด่าเราสารพัด เราพยายามเฉยๆไม่อยากสนใจ
พิมพ์ต่อ
คุณเคยท้อ,ทุกข์,คิดมากเพราะคำพูดของคนอื่นที่พูดถึงคุณไหม ? ลองอ่านเรื่องราวของเรา วิธีรับมือกับคำพูดคนเหล่านี้!!
“ ใส่กระโปรงยาวในมหาลัยเอกชน มีคนด่าว่าเป็นการี ขาพิการ ขนหน้าแข็งเยอะชัวร์ ,ได้เกรด3.9 โดนบอกว่าเอาตัวแลกเกรดกะอาจารย์,พ่อหน้าหนุ่มกว่าวัยมารับ ก็กลายเป็นมีเสี่ยเลี้ยง นี่คือคำเบาๆที่สารพัดจะโดน ทั้งๆที่เราไม่ได้ทำความผิดอะไร”
ขอย้อนเล่าเรื่องในสมัยที่เราอยู่ปี1ใหม่ๆ 7ปีที่แล้ว สมัยที่กระโปรงยาวยังไม่ฮิตแบบปัจจุบัน ยังไม่มีใครใส่กัน เราได้เข้ามหาวิทยาลัยเอกชนชื่อดังแห่งหนึ่ง เป็นมหาวิทยาลัยที่อยู่ไม่ไกลจากที่ทำงานพ่อกะแม่เรา (พ่อแม่เรารับส่งเรากับน้องสาวเช้าและเย็นตั้งแต่อนุบาล1-ปี4) นั่นคือเหตุผลที่เราเข้าที่นี่ด้วย เกรดเอนทรานซ์เราคะแนนไม่ถึงในมหาวิทลัยรัฐที่เราอยากเข้า เราเสียใจมากที่เราคงทำให้พ่อแม่ผิดหวัง เราเลยตั้งปณิธานกับตัวเองว่า เราจะตั้งใจเรียนอย่างขีดสุด จะไม่ให้มีโอกาสที่พ่อแม่ต้องผิดหวังกะเราอีกแล้ว
ในตอนนั้นมหาวิทยาลัยของเราทุกคนนุ่งกระโปรงสอบสั้นสวยๆหุ่นดีๆกันทั้งนั้น แต่เราชอบกระโปรงพีท เลยคิดว่าจะไปซื้อกระโปรงพีทประมาณยาวเท่าเข่ามาใส่ บังเอิญว่าย่าได้ยิน ย่าบอกว่า “ย่ามีกระโปรงพีท ไม่ต้องซื้อหรอก ย่าเคยใส่ตอนสาวๆ ตัวนี้ทำให้ปู่รักย่าเลย” เราก็ดีใจเพราะ ประหยัดค่าใช้จ่ายได้เยอะ อะไรประหยัดได้เราก็จะทำ เพราะว่าเราเข้าเอกชน ค่าใช้จ่ายมันมากกว่ามหาวิทยาลัยรัฐอยู่แล้ว แต่พอเห็นกระโปรงย่า เรานี่แทบเป็นลมแป๊ป เพราะมันเป็นทรงพีทยาวดำมันขลับแบบสมัยเต้นรำในงานสมัยก่อนกัน เป็นจีบถี่ๆ ซึ่งมันสามารถยกบานได้ข้างได้เป็นเหมือนใบพัด ต่างจากพีทปกติ เพราะพีทย่าเราถี่จีบๆติด อย่างพีทปกติหนึ่งจีบ กระโปรงย่าเรา สามจีบอะ ความถี่ของจีบมีมากกว่า ที่สำคัญยาวเกือบถึงตาตุ่มเรา!!!
เราบอกแม่กะย่าว่า “ไม่ใส่ได้ไหม มันต้องตลกแน่ๆ” แม่กะย่าบอกว่า แล้วยังไงไม่เห็นเกี่ยวใส่ไปเถอะ บอกว่าเรียบร้อยมันก็ดีนิ บลาๆๆๆ เราเลยโอเค เพราะเราไม่ใช่คนเรียบร้อยมาก และซุ่มซ่าม ถ้าใส่สั้นๆมันโป๊แน่ๆ แถมเวลากินส้มตำหรือไรก็ตาม นั่งยกขาชันเข่าได้สบายมาก ไม่เสี่ยงเห็นหวอ เราเลยตกลงเลือกกระโปรงย่ามาใส่ เหตุผลเรามีแค่นี้ ตามใจย่ากะแม่เป็นพอจบ ไม่ได้อยากเด่นบ้าบอคอแตกไรเลย
ที่มหาวิทยาลัยเรามีการรับน้องเกิดขึ้น เราอยู่คณะมนุษยศาสตร์สาขาภาษาญี่ปุ่น ในตอนนั้นรุ่นพี่หลายๆคนก็สันทนา ให้น้องเต้นท่าอุบาทว์ตลกสารพัด แต่ไม่ค่อยมีคนทำ เอาจริงๆเราเข้าใจพี่เค้านะ เราเลยเต้นตามที่พี่เค้าทำ เต้นน่าตาย เต้นไม่ยิ้ม เท่านั้นแหล่ะ รุ่นพี่ทุกคนเลยให้เราเต้นโชว์ต่อหน้าเพื่อนๆในกลุ่ม ตอนนั้นมีแค่ไม่ถึงร้อยคน เราก็เต้นตามๆให้มันจบ คือท่าที่เราเต้น มันไม่ได้สวยเซกซี่ มันอุบาทๆ เราก็เลยทำ เราเริ่มได้ยินคนพูดถึงกันแวบๆในกลุ่มว่า ไม่ใช่ผู้หญิงชัวร์ ผู้หญิงไม่เต้นแบบนี้แน่ๆ สมัยนั้น เฟสบุคยังไม่โด่งดังมาก ไม่ค่อยมีมีคลิปเต้นอุบาทๆ และก็มีการไปรวมตัวกับหลายๆคณะ เค้าให้ส่งตัวแทนแต่ละกลุ่มมาโชว์กัน ตอนนั้นเรานั่งเหมือนมึนหลับๆ และรุ่นพี่ก็บอกให้เราเต้นให้หน่อย เพื่อกลุ่ม เราก็ไม่เอาๆๆๆๆ จะบ้าหรอ คนหลายพันมาก หลายคณะด้วย
เพื่อนหลายคนก็บอกทำเถอะๆๆๆๆเพื่อกลุ่ม เราก็เลยต้องทำอีกครั้ง เอาจริงๆเราเฉยๆหมดอะ ให้แม่มจบๆไปที่คิด พอเรายืนทุกคนก็มองๆว่าไอเนี่ยนะ จะเต้น ปรากฏพอเพลงมาเราก็เต้นอุบาทว์น่าตายแบบที่เต้น คนก็ฮือฮา ให้เต้นหลายรอบ หลายคนช็อค จนพอเสร็จวันนั้น มีคนมาขอถ่ายรูป พร้อมกะคำถามล้านแปด “ไม่ใช่ผู้หญิงใช่ไหม” เราก็เริ่มแบบไรนักหนาวะ เริ่มหงุดหงิดนะ ทำให้ส่วนรวม แต่ทำไมถึงมีคนมายุ่งวุ่นวายถามมาก แต่ก็ตอบแบบยิ้มๆไม่ใช่ๆค่ะ รุ่นพี่สโมสรนักศึกษาหลายคนไม่เชื่อว่าเป็นผู้หญิง ไปค้นทะเบียนประวัติเรามาดู เอาเถอะ เอาที่สบายใจ! พออีกวันนึง มีการให้เขียนโนตบอกความในใจเพื่อนที่เราชอบ หรือรู้จัก เราก็เขียนไปให้เพื่อนสองคน และเราได้จดหมายมา11ฉบับ จากคณะอื่นๆด้วย มีหลายคนชมเรา เราก็เลยดีใจทั้งๆที่เราไม่รู้จักเค้าด้วยซ้ำ แต่ก็ไม่ได้อะไร จนกระทั่งเค้าให้ส่งตัวแทนขึ้นเวที ขอบคุณบลาๆๆ เราก็โดนส่งขึ้นไป ต้องแนะนำตัว แค่เราขึ้นเวทีไปคนก็ขำเราแล้ว เหมือนสโลแกนเต้นอุบาทมันอยู่ที่หน้าเราอะ หลังจากนั้นคนก็จำชื่อเราได้ รุ่นพี่รู้จักเราแทบทุกคน เพื่อนหลายคณะก็รู้จักเรา ตอนนั้นเราก็ดีใจมากๆนะ แต่เรามีเพื่อนที่สนิทอยู่ ที่สนิทแบบรู้ใจ แต่โชคร้าย ที่เรียนคนละกลุ่มตลอด ต้องเจอแค่ช่วงเที่ยงกะเย็นๆ
วันเปิดเทอมก็มาถึง เรานุ่งกระโปรงยาวมา คนมองทั้งมหาวิทยาลัย คือสมัยนั้น เรามั่นใจมากว่า ไม่มีใครนุ่งกระโปรงยาวแน่นอน(เราไปมรัฐบาลหลายที่ก็ยังไม่มี) เราเป็นคนเดียวในมหาวิทยาลัย นอกจากนักศึกษาหญิงอิสลาม เราไปไหนๆใครก็มองกระโปรงเรา มีรุ่นพี่ผู้ชายหลายคนมาขอซื้อกระโปรงเรา เค้าอยากให้แฟนเค้าใส่กัน มันเรียบร้อย เราไม่ขายหรอก มันเป็นของย่า ส่วนอาจารย์นี่ไม่ต้องพูดถึง ชอบกระโปรงเราทุกคน จากที่เราเคยจะอาย เรากลับรู้สึกภูมิใจในกระโปรงเรามาก มีบางนิตรสารและแม่ค้าหลายร้านมาสอบถามเรื่องกระโปรงจากเรา เพื่อจะเอาไปผลิตขายบ้าง แต่ก็มีเพื่อนหลายคนบอกให้ใส่โปรงสั้นดีกว่า เอาโปรงเราไปทิ้งเถอะ(ตอนหลังๆเพื่อนเราหลายคนก็ใส่กระโปรงยาวกันนะ เพราะแดดร้อนด้วย)
และนั่นก็เป็นสาเหตุที่ทำให้มีคนไม่ชอบรา เพราะเด่นเกินไง ของแบบนี้มันมันส์ปาก มันคงต้องด่า ต้องทำลายกัน เราสูง170กว่าๆ หนัก47 ยิ่งใส่กระโปรงยาวยิ่งดูสูงมาก เราจะใส่เอวสูงด้วย เพราะเดี๋ยวมันลากพื้นมากกว่านี้ แล้วชอบทำผมดังโงะไปมหาวิทยาลัย เพื่อนจะเรียกกันว่า หัวไม้ขีด ก้านไม่ขีด เพราะหุ่นเราดูเป็นแบบนั้นเลย คนเริ่มด่าก็พอได้ยินบ้าง เราก็เครียด แต่บางทีก็ลืมๆ จนกระทั่งมีการเลือกดาว เราเป็นตัวแทนดาวสาขาญี่ปุ่น รุ่นพี่หลายๆคนเลือก ตอนนั้นเราได้ยินรุ่นพี่หลายคนเถียงกัน บางคนบอกจะเอาเรา บางคนไม่เอา สุดท้ายมติเอามากกว่าไม่เอา ถามว่าเราดีใจไหม เราเฉยๆอยู่ เพราะเราไม่รู้ว่าดาวต้องทำไรมั่ง เราเรียนจันทร์ถึงศุกร์ทุกวัน ลงเรียน8.30-16.30เกือบทุกวัน สาขาเราเรียนค่อนข้างหนักมาก เราบ้านอยู่นนทบุรี ต้องตื่นตี5ทุกวัน มาถึงมหาวิทยาลัย หกโมงกว่าๆ มาอ่านบทเรียนก่อนล่วงหน้า ทุกเที่ยงหรือเย็นต้องเข้าห้องสมุดกับเพื่อน เกือบทุกวันเลย(ถึงหน้าตาไม่เรียนก็เถอะ) คือเรากลัวมันยากและเรียนไม่ทัน เลยอยากขยันๆๆ ก็มีบ้างเพื่อนหลายคณะชวนเที่ยว ดื่ม เราก็ปฏิเสธ เพราะเราดื่มไม่ได้เลยแอลกอฮอล์ไวน์เบียร์ทุกอย่าง พ่อเราแพ้ มันเป็นพันธุกรรมมาถึงเรา เคยแค่จิบไวน์ลิ้นจี่หน้าบวมแดงแขนขาบวมไป4ชม แต่ทุกคนไม่เชื่อ เพราะหน้าตาเราไม่เรียบร้อย หน้าเราดูเหมือนชอบเที่ยวๆ ไม่มีใครเลือกเกิดหน้าตาได้ไง เลือกได้ก็อยากหน้าเรียบร้อยล่ะ
พอเราเริ่มรู้และว่าการเป็นดาวต้องซ้อมหนักแค่ไหน เราเริ่มกังวลมากๆ กลัวเรียนไม่ทันเพื่อน เราไม่เคยขาดเรียนมาก่อนในชีวิต เพราะการขาดเรียนหรือโดดเรียนมันต้องมาอ่านและเรียนจดย้อนหลัง ขี้เกียจไง ไม่ใช่เด็กดีไรหรอก เราก็แบกหนังสือไปอ่านตอนซ้อมดาวเดือน เริ่มดึกๆมากขึ้น เลิกเรียนเสร็จ ซ้อมรวมกะสาขาอื่น หลังจากนั้นต้องซ้อมรำกับอาจารย์ญี่ปุ่น (การแสดงสาขา)สองสามทุ่ม พอเริ่มใกล้ๆงานเข้ามาก็ซ้อมถึงห้าทุ่ม พ่อเป็นคนขับรถมารับเราทุกครั้ง ที่เลิกซ้อม มีวันหนึ่งฝนตกด้วย พ่อกลางร่มวิ่งมารับเรา เราน้ำตาคลอเลย ถามว่า “พ่อเหนื่อยไหม” พ่อบอกเหนื่อยแต่ทำไงได้ พ่อขอไรได้ไหม การเรียนตกไม่ว่า แต่ขอให้ทุ่มเทด้วย อย่าเอาแต่กิจกรรม เรารับปากพ่อว่าได้
เราต้องมาอัดวีดีโอวันเสาร์อาทิตด้วย พ่อแม่ก็ต้องมารับส่งเราอีก เราโคตรเซ็ง แม่มเหมือนเป็นภาระคนในครอบครัว นับวันรอให้งานมันจบเร็วๆ ในระหว่างนั้น เราโดนทุกคำด่า เราร้องไห้ทุกวัน เน้นว่าเกือบทุกวัน เราไม่เล่าให้พ่อแม่ฟัง คือเราไม่คิดว่าการเป็นดาวเพื่อสาขา แม่มต้องกลายเป็นที่โจษจัน ขี้ปากชาวบ้าน มีเพื่อนสนิทเราคนเดียว ที่รู้ว่าเราทุกข์แค่ไหน เศร้าแค่ไหน แต่เราก็ยิ้มทุกครั้งให้คนอื่นเห็นว่าเราพร้อมเป็นดาวนะ และจะทำเต็มที่ คนที่ด่าเราไม่ใช่คนที่ซ้อมหรอก เป็นรุ่นพี่บ้าง คนอื่นๆบ้างที่เราไม่รู้จัก และด่าให้ได้ยินบ้าง เช่น อีแรด ใครเลือกมะรึงเป็นดาว เป็น
จนวันนึงเราไปร้องไห้บอกพี่คนดูแลดาวเดือนของคณะว่า หนูไม่เป็นแล้ว หนูรับไม่ไหว หนูทำไรผิด ใครๆก็เกลียดหนู เราพูดไปร้องไห้ไปเหมือนคนบ้า แต่รุ่นพี่ที่รู้จักเราจากการเต้นของเราหลายคนก็ให้กำลังใจเรา เราบอกโอเคเราจะทนให้มันๆจบไป จนวันนั้นตอนเย็นพ่อเรามารับเรา คือบ้านเรามีรถสามคัน แล้วพ่อเราเป็นคนหน้าเด็กมาก ห่างกะเรา25ปี พ่อจะมารับรถไม่ซ้ำคัน บางวันก็ใส่แว่น บางวันก็ไม่ใส่ พ่อจะเปิดหน้าต่างเรียกเราทุกครั้งให้เราขึ้นรถที่หน้ามหาวิทยาลัย หลายคนเลยคิดว่าพ่อเราเป็นเสี่ย เราโดนหลายคนเรียกว่าเด็กเสี่ย!!!! กรูผิดหรอ หน้าพ่อกรูเด็กเนี่ย มันไม่เจ็บหนักเท่าตอนที่มีเรื่องเรยาเข้ามา ที่เรื่องดอกส้มสีทอง ในเรื่องชมพู่ที่เป็นเมียน้อย เรียกสามีว่าพ่อๆ พอเราออกไปซื้อน้ำผลไม้ให้พ่อ พ่อลงมาเลือกด้วย เราบอกพ่อไม่ต้องลงมา เดี๋ยวจัดการเอง และก็มีนักศึกษาที่เราไม่รู้จักสามสี่คนชี้เรา และพูดว่านี่ก็ทำตามกระแสสินะ เรียกพ่ออีกคน ตอนนั้นเราไม่เก็ทอะ จนมีหลายคนมาถามเรื่องพ่อๆๆๆๆๆที่เราเรียกพ่อ เราโคตรเสียใจเลย คิดว่าแบบพวกมะรึงสมองมีแค่นี้หรา?
มีวันนึงพ่อมาส่งเราที่หอประชุมไปซ้อมดาว เราเลยเล่าให้พ่อกกะแม่ฟังว่า มีคนด่าเราเยอะมาก ทั้งที่เราไม่ทำไรผิด พ่อเราบอกว่าให้อย่าไปสนใจ ช่างหัวมัน สอนเราบลาๆๆๆๆ จนตอนนั้นพ่อเราผ่านหน้าหอประชุม มันมีที่นั่งอยู่ มีนศปีไรไม่รู้ ผู้หญิงหกเจ็ดคน พูดเสียงดังมาก ว่า “การีมากะผัวเสี่ยมันแล้วเว้ย” เราน้ำตาไหลหันไปมองหน้าพ่อ ตอนนั้นพ่อก็ได้ยิน พ่อเราโกรธมาก แทบจะไปฆ่ามันเลยอะ ยิ่งเรามีน้ำตาเพราะพวกปากแก๊งชังไรเกลิร์ลกรุปที่ไม่รู้จัก พ่อเรารีบเดินไปเลย เราบอกว่า “อย่า ช่างมัน เดี๋ยวคนอื่นมองพ่อไม่ดี ” เราเลยบอกพ่อว่าจะอดทนให้ได้มากกว่านี้ พอกลับไปบ้าน กำลังใจคือสี่งสำคัญมากจริงๆ พ่อแม่น้องได้พูดทุกอย่างจนเรา แบบโอเคมากๆแล้ว
วันประกวดดาวก็มาถึง ถึงคนเกลียดเราจะมี แต่คนชอบเราก็มีไม่น้อยเหมือนกัน ตอนเราออกมาบนเวที ก็มีคนเชียร์กรี๊ด หรือเพราะมันโดนรุ่นพี่บังคับให้เชียร์กันไม่รู้ ห้าๆๆๆ เราได้สองตำแหน่ง คือแสดงสร้างสรรค์(เรารำพัดญี่ปุ่นใส่กิโมโน)จริงๆเรารำผิดด้วยล่ะ แต่ไม่มีคนรู้ เพราะเรารำคนเดียว เลยเนียนนัวท่าไปเอง และอีกตำแหน่งกู๊ดลุคกิ้งบิวตี้ฟูลเกิร์ล สำหรับเราสองตำแหน่งก็มากพอแล้ว เราดีใจมากที่มันเป็นวันสุดท้ายที่ต้องเหนื่อย ตอนที่ประกาศรางวัล เราน้ำตาไหล เพราะเราตกใจมากที่พ่อกะแม่น้องสาวและพี่เลี้ยงเราแอบมาดู นั่งข้างหน้าเลย เราช็อคมาก เพราะเราบอกไม่ต้องมาๆๆ เสียเวลา มันดึกมากๆๆๆ เพราะอีกวันเรามีเรียนเช้า ไม่อยากให้มาส่งตอนเช้า
พอเราประกวดเสร็จเราบอกพ่อกะแม่ว่า ขอไปหน้าบอร์ดก่อนนะ จะไปเอาโปสเตอร์ เค้าถ่ายรูปหนูสวยมากเลย เป็นรูปเราใส่ชุดนักศึกษาที่บอร์ด ปรากฏว่า พอไปถึงโปสเตอร์เราเป็นคนเดียว จากดาวเดือนสิบคน ถูกดึงหายออกไป เราอึ้งมาก ไม่รู้คนดึงมันชอบ หรือมันเกลียด
พอมาอีกวันต้องเรียนเช้า เรามาเหมือนศพเลยสภาพเราอะ ง่วงโคตรๆ กลับบ้านเที่ยงคืน ตื่นตีห้าอีก แต่ถ้าเราคิดว่าเราเหนื่อย คนมาส่งเราคือพ่อแม่ต้องเหนื่อยกว่า เราเริ่มได้ยินคนทั้งชมทั้งด่าเราสารพัด เราพยายามเฉยๆไม่อยากสนใจ
พิมพ์ต่อ