สำหรับคนที่ "ยาวไป ไม่อ่าน"
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้งานแสดงสินค้าใหญ่ที่น่าเชื่อถือ ใช่ว่าจะปลอดภัย
ทีแรกก็ลังเลอยู่ว่า จะเขียนลงดีไหม แต่คิดๆ ดูแล้ว งานนี้แจ้งตำรวจอย่างเดียวคงไม่ช่วย เลยฝากเพื่อนๆ ช่วยติดตามหน่อยนะคะ หากเจอพฤติกรรมคนร้ายอย่างที่กำลังจะเล่าให้ฟัง ก็แชร์ ก็บอกกันหน่อยนะคะ ตอนนี้ยังตามจับไม่ได้เลยค่ะ
เรื่องมีอยู่ว่า วันที่ 12 กรกฏาคม 2558 ดิฉันกับแฟนไปเดินซื้อของที่งานแสดงสินค้าแห่งหนึ่ง ณ อิมแพ็คอารีน่า เมืองทองธานี เราตั้งใจจะไปเดินซื้อของแต่งบ้าน และเฟอร์นิเจอร์เข้าบ้านค่ะ พอดีเพิ่งซื้อบ้านใหม่ ค่าใช้จ่ายในการแต่งบ้านก็ค่อนข้างสูง พอมีงานแบบนี้ก็คิดว่าจะมีสินค้าดีๆ ที่อยู่ในงบประมาณให้เลือกซื้อ อย่างน้อยๆ ก็ประหยัดค่าน้ำมันตระเวนซื้อของแต่ละชิ้น จากแต่ละร้านล่ะค่ะ ก็คิดเท่านี้ ก็เลยไปเดินดูงาน และก็ไปสะดุดกับเครื่องปรับอากาศภายในงาน ซึ่งมีหลายร้านให้เลือก โปรเค้าแรง ราคาเค้าโดนค่ะ ก็เลยเดินเลือกอยู่นาน เข้าร้านนั้นออกร้านนี้ ย้ำว่าเลือกนานจริงๆ ค่ะ ประมาณ 5-6 ร้านได้ ถามเก็บข้อมูล และนำมาเปรียบเทียบกันค่ะ แล้วก็ไปถูกใจเครื่องปรับอากาศของร้านหนึ่ง ทีแรก ตอนเข้าไปสอบถามข้อมูล ได้พูดคุยกับเซลล์ที่เป็นผู้หญิงค่ะ ดูไม่ค่อยเชี่ยวชาญเท่าไหร่ น่าจะเป็นเด็กใหม่ คุยกันไปคุยกันมา พอเราถามเรื่องค่ามัดจำ เค้าก็บอกว่า มัดจำเครื่องละ 1000 บาทค่ะ เงินส่วนที่เหลือ จ่ายหน้างาน เราก็เก็บมาพิจารณา แล้วก็เดินออกไปถามร้านอื่นต่อ แต่จนแล้วจนรอด พอคุยกับแฟนเสร็จสรรพ ก็ตกลงใจว่าจะกลับไปซื้อแอร์ที่ร้านน้องผู้หญิงคนนั้น เพราะเมื่อเปรียบเทียบดูแล้ว ภายในงาน ราคาแอร์ 2 เครื่องที่อยากจะได้ แต่ละร้านเสนอราคาต่างกันประมาณ 3000-7000 ค่ะ ส่วนบริการหลังการขายหรือการรับประกันสินค้าถือว่าใกล้เคียงกันมาก ดิฉันกับแฟนก็เลยเอาเรื่องราคามาเป็นปัจจัยในการตัดสินใจค่ะ
แล้วเราก็กลับไปที่ร้านน้องผู้หญิงคนนั้น คราวนี้ น้องเค้าติดลูกค้าคนอื่นอยู่ค่ะ เราก็เลยไปคุยกับเซลล์คนอื่นในร้านแทน ขณะนั้น ในร้านมีเซลล์อยู่ประมาณ 5-6 คนค่ะ มีผู้หญิงคนเดียว ที่เหลือเป็นผู้ชาย เราก็คุยกับเซลล์คนใหม่ไปนู้นนี่นั่น ซักพัก ก็มีเซลล์ผู้ชายอีกคนนึง อายุน่าจะอยู่ในวัยกลางคน 30 ปลายๆ อ้างตัวว่า เค้าเป็นเจ้าของร้าน และเห็นว่าเราเดินกลับมารอบที่ 2 แล้ว จึงอยากจะช่วย เราก็โอเคค่ะ เพราะเห็นว่า เค้าเป็นเจ้าของร้าน อีกอย่าง คนในร้านก็ไม่มีใครทักทวงว่า จริงๆ แล้วเค้าใช่เจ้าของร้านตัวจริงรึเปล่า ก็พูดคุยกันค่ะ ซักพักน้องผู้หญิงที่คุยกันไว้ครั้งแรกก็มาแจมด้วย บอกว่าแอร์รุ่นที่เราจะซื้อ น้องเค้าก็ใช้อยู่ค่ะ ใช้ดีใช้ได้ และแล้วเราก็ตกลงซื้อแอร์กับร้านนี้ค่ะ โดยมีเซลล์ผู้ชายที่อ้างตัวว่าเป็นเจ้าของร้านเป็นคนจัดแจ้งคิดค่ามัดจำ เขียนใบเสร็จ และนัดแนะช่างให้เราเรียบร้อย แต่ต้องบอกก่อนเลยว่า เงินมัดจำที่วางไป ไม่ใช่เครื่องละ 1000 บาทอย่างที่น้องผู้หญิงเค้าบอกไว้ทีแรกนะคะ แต่เป็น 14400 บาท รวมทั้ง 2 เครื่อง ราคาสุทธิ 2 เครื่องอยู่ที่ 36000 บาทค่ะ เป็นแอร์ยี่ห้อ mitsubishi inverter 13000 btu และ haier 9000 btu ค่ะ แฟนก็รูดสดค่ะ แล้วเราก็นัดให้เค้ามาติดที่บ้านเราวันที่ 23 กรกฏาคม 2558 เวลา 14.00 น.
หลังจากนั้นเราก็เดินซื้อของกันสบายใจเฉิบ พอใกล้ถึงวันนัด แฟนก็โทรไปคอนเฟิร์มกับทางร้านค่ะ ว่าจะเข้ามาติดตามวันและเวลานัดแน่นอนใช่ไหม แต่ปรากฏว่าได้คำตอบว่า เค้าขอเลื่อนนัดออกไปอาทิตนึง เนื่องจากพ่อของช่างใหญ่ที่จะมาดำเนินการติดตั้งให้เรา เสียชีวิต และไม่มีใครที่สามารถเข้ามาติดได้ แต่แฟนนั่งยันนอนยันกับเค้าค่ะ ว่ายังไงก็ต้องมาติดให้ได้ภายในวันที่ 23 ถ้าไม่ได้จริงๆ ก็หยวนให้ได้เป็นวันที่ 24 เพราะจะเข้าอยู่แล้ว เค้าก็รับปากบอกว่าจะพยายาม คำถามที่เกิดขึ้นในหัวตอนนั้นคือ ทั้งร้านไม่มีช่างคนอื่นทำงานได้แล้วรึไง (วะ) ต้องรอช่างใหญ่คนเดียว ไหนบอกว่าร้านมีหลายสาขา มีร้านใหญ่ ก็ไปหาคนงานจากสาขาอื่นมาให้ซิ (วะ) หน้าที่ ปะ ไม่ใช่มาเลื่อน แล้วบอกว่าพ่อเสียชีวิต รำแคนนนนนน
พอค่ะ หมดซีนอารมณ์
พอถึงเย็นวันที่ 23 แฟนก็โทรไปคอนเฟิร์มอีกรอบ ว่าวันที่ 24 จะมาได้จริงๆ ใช่ไหม แล้วเราก็ได้คำตอบว่า เหตุผลจริงๆ ที่เค้าไม่สามารถมาติดเครื่องปรับอากาศให้เราได้ เพราะไม่มีของ (อ้าวเห้ย ลิ้น 2 แฉกนี่ว่า เริ่มแถไปเรื่อยละ) แล้วยังมีการมาบอกว่า ตัวเองไม่ใช่เจ้าของ เป็นแค่พนักงานที่เค้าจ้างมาประจำบูธในวันงานเฉยๆ (อ้าว แล้วมาบอกทำไมว่าเป็นเจ้าของ โกหกตัวโตๆ เขางอกเลยค่ะ) สรุปเราก็เลยขอยกเลิกสินค้า และให้เค้าคืนเงินมัดจำจำนวน 14400 บาท เพราะเป็นเงื่อนไขที่เค้าบอกกับเราเองในวันซื้อสินค้า เค้าก็ตกลงจะคืนเงินให้ แฟนจึงส่งเลขที่บัญชีให้เค้าทางข้อความและให้เค้าเป็นผู้ดำเนินการ แล้วเราก็ไปสั่งซื้อแอร์กับเจ้าอื่น คราวนี้หาเอาทางเน็ต ก็ได้แอร์ตามสเปคค่ะ แต่คนละยี่ห้อ เบ็ดเสร็จอยู่ 37000 บาทค่ะ เขางอกซิค่ะ รู้งี้ ซื้อผ่านเน็ตตั้งแต่ทีแรกก็ดี ราคาไม่ได้หนีกันมาก จะไปเสียเวลา เสียค่าโง่ให้กับร้านในงานแสดงสินค้าทำไม
จบไปค่ะเรื่องแอร์ ทีนี้ก็เป็น episode ของการตามเงินมัดจำคืน
เรื่องมีอยู่ว่า....หลังจากขอเงินมัดจำคืนเป็นที่เรียบร้อย เค้าก็บอกว่า จะดำเนินการแจ้งทางบริษัทเพื่อขอเงินคืนให้ เราก็ตกลง และบอกกับเค้าว่า เราจะตามเรื่องนี้อีกครั้งในวันที่ 29 กรกฏาคม 2558 แต่ก็เป็นความเลินเล่อของผ่ายเราเองค่ะ ที่ลืมโทรทวง จนล่วงเลยมาถึงวันที่ 3 สิงหาคม 2558 เราก็โทรไปตามเรื่องนี้อีกครั้ง โดยโทรหาลูกจ้างรายวัน ที่อ้างตัวว่าเป็นเจ้าของร้านคนนั้นแหละค่ะ ได้คำตอบว่า เค้าลาออกแล้ว ไม่ได้ยุ่งเกี่ยวอะไรกับทางบริษัทแล้ว ให้เราติดต่อกับทางบริษัทเอง (เอาแล้วไง)
แฟนก็เลยตัดสินใจไปร้านเลยค่ะ ไม่ทงไม่โทรแล้ว ไปตามที่อยู่ใบเสร็จนั่นแหละ พอไปถึง ก็งงอีกแหละค่ะ เพราะหาเลขที่บ้านไม่เจอ คราวนี้ ยังไงก็คงต้องโทรหาก่อนแล้ว เพราะหาร้านไม่เจอจริงๆ พอโทรไป เจ้าของร้านก็รับ และบอกทำเลที่ตั้งของร้าน พอไปถึงปรากฏว่าที่ร้านไม่มีคนอยู่ค่ะ มีแม่บ้านอยู่คนเดียว ก็เลยโทรหาเจ้าของร้านอีกครั้ง คุยเรื่องการคืนเงินมัดจำเสร็จสรรพ เค้าก็ขอโทษขอโพยมา แล้วบอกว่าจะให้เลขาฯ โอนเงินคืนให้ทันที เพราะตอนนี้ เค้าไม่สะดวก ติดงานศพพ่อเค้าอยู่ เราก็เลยส่งเลขที่บัญชีให้เค้าอีกครั้ง พร้อมยอดเงินมัดจำ และเลขที่ใบเสร็จ
เราก็รอจนถึงวันที่ 5 สิงหาคม 2558 ก็ยังไม่มียอดเงินโอนเข้า ก็เลยโทรตาม แต่ติดต่อไม่ได้แล้ว เบอร์มือถือทั้ง 2 เบอร์ที่มีก็โทรไม่ติด ปิดเครื่องตลอดเวลา โทรไปที่เบอร์ออฟฟิศก็ไม่มีคนรับ แฟนเลยส่งเมสเสจไปทวง แต่หลังจากนั้น ก็ยังเงียบอยู่
จนวันที่ 6 สิงหาคม 2558 ก็ส่งเมสเสจไปทวงอีก และบอกว่าจะแจ้งความ หากยังไม่มียอดเงินกลับคืนมาในบัญชีภายในวันดังกล่าว แต่ปรากฏว่าก็เงียบเหมือนเดิม แฟนจึงดำเนินการเอง เริ่มจากสืบเองก่อนค่ะ ในวันที่ 7 แฟนกลับไปที่ร้านค้านั้นอีกรอบ แต่ครั้งนี้ ปรากฏว่า ร้านปิด จึงถามคนแถวนั้นว่า ตึกที่ปิดนั้นใช่บ้านเลขที่ตามใบเสร็จรึเปล่า ปรากฏว่าคนแถวนั้นบอกว่า ไม่ใช่ และในซอยนี้ ไม่มีเลขที่บ้านนี้อยู่ (เอาแล้วไง หน้าชาเลยค่ะ) เราก็เลยกลับมาตั้งหลัก ค่อยๆ สืบข้อมูลเพราะพอจะมีเส้นสายที่พอจะช่วยได้อยู่
เดี๋ยวให้แฟนมาเล่าต่อนะคะ
เมื่อรู้ละว่าโดนโกงแน่ๆ จึงเริ่มต้นโดยให้เพื่อนนำชื่อบริษัท มาเช็คกับกรมการค้าสรุป ชื่อนี้ไม่มีอยู่จริง.... ต่อมาจึงได้โทรเข้าไปถามที่อิมแพค ว่าใครเป็นคนจัดงานแสดงสินค้าจึงได้ชื่อของออแกไนซ์ (ขอไม่ระบุชื่อ) ที่จัดงานแสดงสินค้านั้นมา โดยได้ชื่อไอ้ร้านแอร์นั่นมาอีกชื่อนึง พร้อมพ่วงด้วยชื่อ ที่อยู่ คนที่มาติดต่อ จึงให้เพื่อนเช็คอีกทีว่ามีในกรมการค้าหรือไม่ สรุปก็ไม่มี และฝากชื่อคนติดต่อ ที่ได้มาให้เพื่อนตำรวจไปเช็คอีกที
และตอนนี้ก็ติดต่อไปที่ บัตรกรุงไทยที่ได้รูดไปเมื่อวันนั้น ปรึกษาทางบัตรกรุงไทยว่าจะทำไงได้บ้าง ก็ทำเรื่องไป เพื่อให้ได้ทราบชื่อของคนที่เรารูดบัตรไปเมื่อวันนั้น และขอให้ทาง บัตรรีฟันเงินคืนให้ทางผมด้วย (อันนี้ไม่รู้จริง ว่าขั้นตอนเป็นไง ได้หรือไม่ได้ ถ้าได้เงินคืนก็ดีไป) เมื่อได้ชื่อจากบัตรกรุงไทยแล้วก็จะเอาชื่อนั้นไปแจ้งความ หรือ อาจตามเองด้วย
-ขอย้อนกลับไปที่ออแกไนซ์ ที่ติดต่อได้ ไม่ได้ให้หลักฐานอะไรกับผมเลย ให้แค่ชื่อ ที่อยู่ และบริษัทที่ ผู้โกงได้ให้ไว้ โดยให้เหตุผลว่ามีลูกค้าจัดบูธรายอื่นอยู่ในนั้นไม่สามารถให้ได้ และช่วงเย็นเดียวกันผมโทรไปขอเอกสารเพิ่มเติมก็ไม่ได้ แต่บอกมาว่ามีผู้เสียหายเหมือนกับผมอีก5ท่าน และกำลังดำเนินเรื่องอยู่ (แต่ตอนก่อนหน้าที่ทำไมไม่บอกละครับ ปิดบังข้อมูลทำไม) แถมยังขอใบเสร็จผม เพื่อยืนยันว่าผมก็เป็นผู้เสียหาย และบอกว่าจะช่วยตามให้อีกที โอเครผมก็ให้ไป
จนถึงตอนนี้ เวลานี้ เพื่อความชัวร์ ผมรอได้ข้อมูลจาก บัตรกรุงไทยและจะไปแจ้งความละครับ
เรื่องนี้สอนให้เรารู้ว่า
"เสียน้อยเสียยาก เสียมากเสียง่าย"
และสิ่งที่สำคัญคือ ความรอบคอบ...ของตัวเราเอง นอกจากเรื่องราคาแล้ว เราต้องดูความน่าเชื่อถือของบริษัทอีกด้วย
อุทาหรณ์งานแสดงสินค้า คิดว่าได้ของดี ราคาถูก ที่แท้แล้วโดนหลอก เชิดเงิน
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ทีแรกก็ลังเลอยู่ว่า จะเขียนลงดีไหม แต่คิดๆ ดูแล้ว งานนี้แจ้งตำรวจอย่างเดียวคงไม่ช่วย เลยฝากเพื่อนๆ ช่วยติดตามหน่อยนะคะ หากเจอพฤติกรรมคนร้ายอย่างที่กำลังจะเล่าให้ฟัง ก็แชร์ ก็บอกกันหน่อยนะคะ ตอนนี้ยังตามจับไม่ได้เลยค่ะ
เรื่องมีอยู่ว่า วันที่ 12 กรกฏาคม 2558 ดิฉันกับแฟนไปเดินซื้อของที่งานแสดงสินค้าแห่งหนึ่ง ณ อิมแพ็คอารีน่า เมืองทองธานี เราตั้งใจจะไปเดินซื้อของแต่งบ้าน และเฟอร์นิเจอร์เข้าบ้านค่ะ พอดีเพิ่งซื้อบ้านใหม่ ค่าใช้จ่ายในการแต่งบ้านก็ค่อนข้างสูง พอมีงานแบบนี้ก็คิดว่าจะมีสินค้าดีๆ ที่อยู่ในงบประมาณให้เลือกซื้อ อย่างน้อยๆ ก็ประหยัดค่าน้ำมันตระเวนซื้อของแต่ละชิ้น จากแต่ละร้านล่ะค่ะ ก็คิดเท่านี้ ก็เลยไปเดินดูงาน และก็ไปสะดุดกับเครื่องปรับอากาศภายในงาน ซึ่งมีหลายร้านให้เลือก โปรเค้าแรง ราคาเค้าโดนค่ะ ก็เลยเดินเลือกอยู่นาน เข้าร้านนั้นออกร้านนี้ ย้ำว่าเลือกนานจริงๆ ค่ะ ประมาณ 5-6 ร้านได้ ถามเก็บข้อมูล และนำมาเปรียบเทียบกันค่ะ แล้วก็ไปถูกใจเครื่องปรับอากาศของร้านหนึ่ง ทีแรก ตอนเข้าไปสอบถามข้อมูล ได้พูดคุยกับเซลล์ที่เป็นผู้หญิงค่ะ ดูไม่ค่อยเชี่ยวชาญเท่าไหร่ น่าจะเป็นเด็กใหม่ คุยกันไปคุยกันมา พอเราถามเรื่องค่ามัดจำ เค้าก็บอกว่า มัดจำเครื่องละ 1000 บาทค่ะ เงินส่วนที่เหลือ จ่ายหน้างาน เราก็เก็บมาพิจารณา แล้วก็เดินออกไปถามร้านอื่นต่อ แต่จนแล้วจนรอด พอคุยกับแฟนเสร็จสรรพ ก็ตกลงใจว่าจะกลับไปซื้อแอร์ที่ร้านน้องผู้หญิงคนนั้น เพราะเมื่อเปรียบเทียบดูแล้ว ภายในงาน ราคาแอร์ 2 เครื่องที่อยากจะได้ แต่ละร้านเสนอราคาต่างกันประมาณ 3000-7000 ค่ะ ส่วนบริการหลังการขายหรือการรับประกันสินค้าถือว่าใกล้เคียงกันมาก ดิฉันกับแฟนก็เลยเอาเรื่องราคามาเป็นปัจจัยในการตัดสินใจค่ะ
แล้วเราก็กลับไปที่ร้านน้องผู้หญิงคนนั้น คราวนี้ น้องเค้าติดลูกค้าคนอื่นอยู่ค่ะ เราก็เลยไปคุยกับเซลล์คนอื่นในร้านแทน ขณะนั้น ในร้านมีเซลล์อยู่ประมาณ 5-6 คนค่ะ มีผู้หญิงคนเดียว ที่เหลือเป็นผู้ชาย เราก็คุยกับเซลล์คนใหม่ไปนู้นนี่นั่น ซักพัก ก็มีเซลล์ผู้ชายอีกคนนึง อายุน่าจะอยู่ในวัยกลางคน 30 ปลายๆ อ้างตัวว่า เค้าเป็นเจ้าของร้าน และเห็นว่าเราเดินกลับมารอบที่ 2 แล้ว จึงอยากจะช่วย เราก็โอเคค่ะ เพราะเห็นว่า เค้าเป็นเจ้าของร้าน อีกอย่าง คนในร้านก็ไม่มีใครทักทวงว่า จริงๆ แล้วเค้าใช่เจ้าของร้านตัวจริงรึเปล่า ก็พูดคุยกันค่ะ ซักพักน้องผู้หญิงที่คุยกันไว้ครั้งแรกก็มาแจมด้วย บอกว่าแอร์รุ่นที่เราจะซื้อ น้องเค้าก็ใช้อยู่ค่ะ ใช้ดีใช้ได้ และแล้วเราก็ตกลงซื้อแอร์กับร้านนี้ค่ะ โดยมีเซลล์ผู้ชายที่อ้างตัวว่าเป็นเจ้าของร้านเป็นคนจัดแจ้งคิดค่ามัดจำ เขียนใบเสร็จ และนัดแนะช่างให้เราเรียบร้อย แต่ต้องบอกก่อนเลยว่า เงินมัดจำที่วางไป ไม่ใช่เครื่องละ 1000 บาทอย่างที่น้องผู้หญิงเค้าบอกไว้ทีแรกนะคะ แต่เป็น 14400 บาท รวมทั้ง 2 เครื่อง ราคาสุทธิ 2 เครื่องอยู่ที่ 36000 บาทค่ะ เป็นแอร์ยี่ห้อ mitsubishi inverter 13000 btu และ haier 9000 btu ค่ะ แฟนก็รูดสดค่ะ แล้วเราก็นัดให้เค้ามาติดที่บ้านเราวันที่ 23 กรกฏาคม 2558 เวลา 14.00 น.
หลังจากนั้นเราก็เดินซื้อของกันสบายใจเฉิบ พอใกล้ถึงวันนัด แฟนก็โทรไปคอนเฟิร์มกับทางร้านค่ะ ว่าจะเข้ามาติดตามวันและเวลานัดแน่นอนใช่ไหม แต่ปรากฏว่าได้คำตอบว่า เค้าขอเลื่อนนัดออกไปอาทิตนึง เนื่องจากพ่อของช่างใหญ่ที่จะมาดำเนินการติดตั้งให้เรา เสียชีวิต และไม่มีใครที่สามารถเข้ามาติดได้ แต่แฟนนั่งยันนอนยันกับเค้าค่ะ ว่ายังไงก็ต้องมาติดให้ได้ภายในวันที่ 23 ถ้าไม่ได้จริงๆ ก็หยวนให้ได้เป็นวันที่ 24 เพราะจะเข้าอยู่แล้ว เค้าก็รับปากบอกว่าจะพยายาม คำถามที่เกิดขึ้นในหัวตอนนั้นคือ ทั้งร้านไม่มีช่างคนอื่นทำงานได้แล้วรึไง (วะ) ต้องรอช่างใหญ่คนเดียว ไหนบอกว่าร้านมีหลายสาขา มีร้านใหญ่ ก็ไปหาคนงานจากสาขาอื่นมาให้ซิ (วะ) หน้าที่ ปะ ไม่ใช่มาเลื่อน แล้วบอกว่าพ่อเสียชีวิต รำแคนนนนนน
พอค่ะ หมดซีนอารมณ์
พอถึงเย็นวันที่ 23 แฟนก็โทรไปคอนเฟิร์มอีกรอบ ว่าวันที่ 24 จะมาได้จริงๆ ใช่ไหม แล้วเราก็ได้คำตอบว่า เหตุผลจริงๆ ที่เค้าไม่สามารถมาติดเครื่องปรับอากาศให้เราได้ เพราะไม่มีของ (อ้าวเห้ย ลิ้น 2 แฉกนี่ว่า เริ่มแถไปเรื่อยละ) แล้วยังมีการมาบอกว่า ตัวเองไม่ใช่เจ้าของ เป็นแค่พนักงานที่เค้าจ้างมาประจำบูธในวันงานเฉยๆ (อ้าว แล้วมาบอกทำไมว่าเป็นเจ้าของ โกหกตัวโตๆ เขางอกเลยค่ะ) สรุปเราก็เลยขอยกเลิกสินค้า และให้เค้าคืนเงินมัดจำจำนวน 14400 บาท เพราะเป็นเงื่อนไขที่เค้าบอกกับเราเองในวันซื้อสินค้า เค้าก็ตกลงจะคืนเงินให้ แฟนจึงส่งเลขที่บัญชีให้เค้าทางข้อความและให้เค้าเป็นผู้ดำเนินการ แล้วเราก็ไปสั่งซื้อแอร์กับเจ้าอื่น คราวนี้หาเอาทางเน็ต ก็ได้แอร์ตามสเปคค่ะ แต่คนละยี่ห้อ เบ็ดเสร็จอยู่ 37000 บาทค่ะ เขางอกซิค่ะ รู้งี้ ซื้อผ่านเน็ตตั้งแต่ทีแรกก็ดี ราคาไม่ได้หนีกันมาก จะไปเสียเวลา เสียค่าโง่ให้กับร้านในงานแสดงสินค้าทำไม
จบไปค่ะเรื่องแอร์ ทีนี้ก็เป็น episode ของการตามเงินมัดจำคืน
เรื่องมีอยู่ว่า....หลังจากขอเงินมัดจำคืนเป็นที่เรียบร้อย เค้าก็บอกว่า จะดำเนินการแจ้งทางบริษัทเพื่อขอเงินคืนให้ เราก็ตกลง และบอกกับเค้าว่า เราจะตามเรื่องนี้อีกครั้งในวันที่ 29 กรกฏาคม 2558 แต่ก็เป็นความเลินเล่อของผ่ายเราเองค่ะ ที่ลืมโทรทวง จนล่วงเลยมาถึงวันที่ 3 สิงหาคม 2558 เราก็โทรไปตามเรื่องนี้อีกครั้ง โดยโทรหาลูกจ้างรายวัน ที่อ้างตัวว่าเป็นเจ้าของร้านคนนั้นแหละค่ะ ได้คำตอบว่า เค้าลาออกแล้ว ไม่ได้ยุ่งเกี่ยวอะไรกับทางบริษัทแล้ว ให้เราติดต่อกับทางบริษัทเอง (เอาแล้วไง)
แฟนก็เลยตัดสินใจไปร้านเลยค่ะ ไม่ทงไม่โทรแล้ว ไปตามที่อยู่ใบเสร็จนั่นแหละ พอไปถึง ก็งงอีกแหละค่ะ เพราะหาเลขที่บ้านไม่เจอ คราวนี้ ยังไงก็คงต้องโทรหาก่อนแล้ว เพราะหาร้านไม่เจอจริงๆ พอโทรไป เจ้าของร้านก็รับ และบอกทำเลที่ตั้งของร้าน พอไปถึงปรากฏว่าที่ร้านไม่มีคนอยู่ค่ะ มีแม่บ้านอยู่คนเดียว ก็เลยโทรหาเจ้าของร้านอีกครั้ง คุยเรื่องการคืนเงินมัดจำเสร็จสรรพ เค้าก็ขอโทษขอโพยมา แล้วบอกว่าจะให้เลขาฯ โอนเงินคืนให้ทันที เพราะตอนนี้ เค้าไม่สะดวก ติดงานศพพ่อเค้าอยู่ เราก็เลยส่งเลขที่บัญชีให้เค้าอีกครั้ง พร้อมยอดเงินมัดจำ และเลขที่ใบเสร็จ
เราก็รอจนถึงวันที่ 5 สิงหาคม 2558 ก็ยังไม่มียอดเงินโอนเข้า ก็เลยโทรตาม แต่ติดต่อไม่ได้แล้ว เบอร์มือถือทั้ง 2 เบอร์ที่มีก็โทรไม่ติด ปิดเครื่องตลอดเวลา โทรไปที่เบอร์ออฟฟิศก็ไม่มีคนรับ แฟนเลยส่งเมสเสจไปทวง แต่หลังจากนั้น ก็ยังเงียบอยู่
จนวันที่ 6 สิงหาคม 2558 ก็ส่งเมสเสจไปทวงอีก และบอกว่าจะแจ้งความ หากยังไม่มียอดเงินกลับคืนมาในบัญชีภายในวันดังกล่าว แต่ปรากฏว่าก็เงียบเหมือนเดิม แฟนจึงดำเนินการเอง เริ่มจากสืบเองก่อนค่ะ ในวันที่ 7 แฟนกลับไปที่ร้านค้านั้นอีกรอบ แต่ครั้งนี้ ปรากฏว่า ร้านปิด จึงถามคนแถวนั้นว่า ตึกที่ปิดนั้นใช่บ้านเลขที่ตามใบเสร็จรึเปล่า ปรากฏว่าคนแถวนั้นบอกว่า ไม่ใช่ และในซอยนี้ ไม่มีเลขที่บ้านนี้อยู่ (เอาแล้วไง หน้าชาเลยค่ะ) เราก็เลยกลับมาตั้งหลัก ค่อยๆ สืบข้อมูลเพราะพอจะมีเส้นสายที่พอจะช่วยได้อยู่
เดี๋ยวให้แฟนมาเล่าต่อนะคะ
เมื่อรู้ละว่าโดนโกงแน่ๆ จึงเริ่มต้นโดยให้เพื่อนนำชื่อบริษัท มาเช็คกับกรมการค้าสรุป ชื่อนี้ไม่มีอยู่จริง.... ต่อมาจึงได้โทรเข้าไปถามที่อิมแพค ว่าใครเป็นคนจัดงานแสดงสินค้าจึงได้ชื่อของออแกไนซ์ (ขอไม่ระบุชื่อ) ที่จัดงานแสดงสินค้านั้นมา โดยได้ชื่อไอ้ร้านแอร์นั่นมาอีกชื่อนึง พร้อมพ่วงด้วยชื่อ ที่อยู่ คนที่มาติดต่อ จึงให้เพื่อนเช็คอีกทีว่ามีในกรมการค้าหรือไม่ สรุปก็ไม่มี และฝากชื่อคนติดต่อ ที่ได้มาให้เพื่อนตำรวจไปเช็คอีกที
และตอนนี้ก็ติดต่อไปที่ บัตรกรุงไทยที่ได้รูดไปเมื่อวันนั้น ปรึกษาทางบัตรกรุงไทยว่าจะทำไงได้บ้าง ก็ทำเรื่องไป เพื่อให้ได้ทราบชื่อของคนที่เรารูดบัตรไปเมื่อวันนั้น และขอให้ทาง บัตรรีฟันเงินคืนให้ทางผมด้วย (อันนี้ไม่รู้จริง ว่าขั้นตอนเป็นไง ได้หรือไม่ได้ ถ้าได้เงินคืนก็ดีไป) เมื่อได้ชื่อจากบัตรกรุงไทยแล้วก็จะเอาชื่อนั้นไปแจ้งความ หรือ อาจตามเองด้วย
-ขอย้อนกลับไปที่ออแกไนซ์ ที่ติดต่อได้ ไม่ได้ให้หลักฐานอะไรกับผมเลย ให้แค่ชื่อ ที่อยู่ และบริษัทที่ ผู้โกงได้ให้ไว้ โดยให้เหตุผลว่ามีลูกค้าจัดบูธรายอื่นอยู่ในนั้นไม่สามารถให้ได้ และช่วงเย็นเดียวกันผมโทรไปขอเอกสารเพิ่มเติมก็ไม่ได้ แต่บอกมาว่ามีผู้เสียหายเหมือนกับผมอีก5ท่าน และกำลังดำเนินเรื่องอยู่ (แต่ตอนก่อนหน้าที่ทำไมไม่บอกละครับ ปิดบังข้อมูลทำไม) แถมยังขอใบเสร็จผม เพื่อยืนยันว่าผมก็เป็นผู้เสียหาย และบอกว่าจะช่วยตามให้อีกที โอเครผมก็ให้ไป
จนถึงตอนนี้ เวลานี้ เพื่อความชัวร์ ผมรอได้ข้อมูลจาก บัตรกรุงไทยและจะไปแจ้งความละครับ
เรื่องนี้สอนให้เรารู้ว่า
"เสียน้อยเสียยาก เสียมากเสียง่าย"
และสิ่งที่สำคัญคือ ความรอบคอบ...ของตัวเราเอง นอกจากเรื่องราคาแล้ว เราต้องดูความน่าเชื่อถือของบริษัทอีกด้วย