เรื่องมันเริ่มขึ้นเมื่อสี่ปีที่แล้ว ฉันย้ายมาทำงานเป็นผู้จัดการร้านสะดวกซื้อชื่อดังแห่งหนึ่ง ซึ่งตั้งอยู่ใกล้กับแหล่งชุมชนที่มีผู้คนพลุกพล่านมากมาย มีร้านขายอาหารตั้งเรียงรายเป็นแถวยาวติดกันถึงสามร้าน ร้านแรกขายอาหารตามสั่งที่ใครเคยไปกินต่างลงความเห็นว่า
“ไม่อร่อยเลย แล้วยังมาขายแพงอีก”
ร้านที่สองเป็นร้านอาหารอีสานร้านนี้พ่อค้าแกเลี้ยงหมาไว้ตัวหนึ่งมันชื่อไฮไนเก้น ฉันแอบสงสัยอยู่เหมือนกันว่าพ่อค้าร้านนี้คงชอบกินเบียร์ยี่ห้อนี้
และร้านที่สามร้านก๋วยเตี๋ยวเป็นร้านของสามีภรรยา ร้านนี้นับว่าเป็นร้านที่ขายดีที่สุด อร่อยมาก สะอาดและราคาถูก เหมาะกับมนุษย์เงินเดือนอย่างฉัน บางทีฉันแอบคิดว่า กินก๋วยเตี๋ยวจนหน้าจะกลายเป็นเส้นก๋วยเตี๋ยวไปแล้วมั้ง
ช่างมันเถอะค่ะ เรื่องหน้าเป็นเส้นก๋วยเตี๋ยว หรือเรื่องร้านค้าทั้งสามร้านนั้น มันไม่สำคัญเท่าสิ่งที่ฉันอยากเล่าให้ฟัง
เรื่องราวมันเริ่มต้นเมื่อเข้าสู่สัปดาห์แรกสำหรับการมาทำงานที่นี้ ฉันเริ่มคุ้นชินกับเพื่อนร่วมงาน กับพ่อค้าแม่ค้าที่ค้าขายในละแวกนี้ ในตอนพักเที่ยงฉันตั้งใจจะมาซื้อข้าวกลับไปกินที่ทำงาน เพราะยังทำงานค้างอยู่ถึงแม้พักก็อยากจะทำให้เสร็จ กินไปด้วยทำงานไปด้วยก็น่าจะดีงานเสร็จแล้วก็ได้กลับบ้านเร็วขึ้น
ฉันได้ข้าวเหนียวไก่ย่างมาเป็นอาหารเที่ยงฉันเลือกที่จะกินอย่างนี้เพราะกินง่ายและไม่เลอะเปื้อนสิ่งของ เมนูอาหารที่ฉันวางแผนไว้สำหรับนั่งกินข้าวเวลาทำงาน ฉันเดินถือถุงข้าวเหนียวไก่ย่างกลับที่ทำงานด้วยอารมณ์ที่สดชื่นแจ่มใส กับอากาศที่เย็นสบายไม่ร้อนอบอ้าวเหมือนวันก่อนๆ มีหยุดทักทายพ่อค้าแม่ค้าที่ขายของริมฟุตบาตสองคนสามคนตามประสาคนอารมณ์ดีอย่างฉัน
และฉันก็ยังไม่ลืมแวะซื้อผลไม้ไปฝากลูกน้องสามคนที่กำลังทำงานกันอยู่ แตงโตสามชิ้น สับปะรดสามชิ้น บวกกับแคนตาลูปอีกสามชิ้น ฉันอดที่จะเหลียวไปมองมะม่วงเปรี้ยวลูกสวยน่ากินที่จัดวางเรียงไว้อย่างสวยงามในตูกระจกแก้วใส มองแล้วน้ำลายไหลแต่ก็ต้องอดทนไว้ก่อนนะ เดี๋ยวขี้แตกตอนทำงาน ไม่ได้ๆต้องตัดใจ
ถุงของกินหลายถุงถูกแกว่งไปตามแรงแขนของฉันขณะเดินทอดน่องกลับที่ทำงาน แต่แล้วสายตาคู่หนึ่งก็จับจ้องมาที่ฉัน มันยืนมองฉันด้วยสายตาที่ฉันไม่สามารถจะอ่านออกได้ ฉันหยุดชะงักแล้วจ้องมองมันกลับ ฉันทักทายมันไปว่า
“สวัสดี” ไร้เสียงตอบกลับจากอีกฝ่าย
ฉันสาวก้าวเดินไปข้างหน้าหามันช้าๆหนึ่งก้าว มันก้าวถอยหลังไปหนึ่งก้าว ฉันเดินไปหามันอีกสองก้าว มันถอยหลังไปอีกสองก้าว แววตามันคล้ายกำลังจ้องพิจารณาฉันอยู่เนืองๆ เช่นเดียวกับที่ฉันพิจารณามัน
ฉันหยุดยืนอยู่กับที่ มันทำเช่นเดียวกับฉัน ดวงตาทั้งสี่คู่จ้องมองกันคล้ายจะหยั่งเชิงอีกฝ่าย ฉันทนไม่ไว้กับความเงียบงันจึงเป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นก่อน
“ที่นี้ถิ่นของแกเหรอ ฉันเพิ่งมาทำงานที่นี้ได้อาทิตย์หนึ่งแล้วล่ะ อืม ถ้าเราสองคนจะเป็นเพื่อนกัน แบบว่าญาติดีต่อกันหน่อยแกว่าไง เห็นด้วยไหม” ฉันกำลังยืนพูดกับเจ้าตูบสี่ขาเจ้าถิ่น
มันกระดิกหูข้างหนึ่งเป็นการตอบรับ ฉันมองเห็นแววตาที่เปลี่ยนไปของมันจากหวาดระแวง ตอนนี้ดูเหมือนมันจะเริ่มเป็นมิตรขึ้นมานิดหนึ่งแล้วล่ะ ฉันก็แอบอมยิ้มให้มันแต่ฉันไม่แน่ใจว่ามันเข้าใจสิ่งนี้หรือเปล่า
“แกอยากกินนี้ใช่ไหม”
ฉันหยิบไก่ย่างที่อยู่ในถุงออกมาโชว์ให้มันดูเป็นปีกไก่สองปีกที่ถูกมัดไว้ในด้ามไม้ไผ่ ปีกไก่ส่งกลิ่นหอมน่ากินโชยเข้าจมูกฉันและมันคงได้กลิ่นนั้นด้วย มันกระดิกหูทั้งสองข้างพร้อมกับแกว่งหางไปมาเล็กน้อย เจ้าหมาพันธุ์ไทยผอมแห้งตัวนี้สงสัยมันอยากเป็นเพื่อนกับฉันแล้วล่ะ
ฉันดึงปีกไก่ชิ้นหนึ่งออกมาจากไม้แล้วยื่นให้มัน ฉันอยากให้มันเข้ามาใกล้ๆ ฉันจึงไม่ยอมปล่อยปีกไก่ออกจากมือ แต่ดูเหมือนมันจะกล้าๆกลัวๆ ไม่ยอมเข้ามาใกล้เลย ได้แต่จ้องมองอาหารที่อยู่ตรงหน้า ฉันหยอกล้อมันเล่นด้วยการแกว่งปีกไก่ไปมา มันมองตามือที่ฉันแกว่งดูแล้วก็ตลกขบขำ ฉันแอบหัวเราะคิกกับการได้หยอกล้อเจ้าตูบเล่น
“อยากกินไม่ใช่เหรอ มาเอาซิฉันไม่ทำอะไรแกหรอก” ฉันพูดกับมันอีกครั้งและดูเหมือนว่ามันจะเข้าใจ มันแกว่งหางเร็วขึ้น แววตาสดใสมากขึ้นแต่ก็ไม่ยอมเข้ามาเอาไก่อยู่ดี
ฉันจึงต้องถอดใจเพราะต้องรีบไปทำงาน เลยตัดสินใจวางไก่ไว้ตรงที่ฉันยืนอยู่ มันมองฉันเดินออกห่างจากปีกไก่ ส่วนมันก็ค่อยๆมาคาบปีกไก่วิ่งข้ามถนนไปอีกฝั่งหนึ่งด้วยความตื่นเต้นดีใจ ฉันเห็นแววตาคู่นั่นของมันช่างบอกไม่ถูกจริงๆ เหมือนมันจะขอบคุณฉันด้วยนะ ให้ตายเถอะฉันยังอ่านภาษาสุนัขไม่ออกซะด้วยซิ
ฉันได้แต่ยืนอมยิ้มให้กับความน่ารักของมัน หมาพันธุ์ไทยสีน้ำตาลปนขาว ขาของมันยาวก้างกางลำตัวผอมแห้งจนมองเห็นซี่โครง มีหูที่พิเศษเพราะหูของมันตั้งข้างหนึ่งและพับลงมาข้างหนึ่ง ฉันก็อดแปลกใจไม่ได้ ทำไมหูมันเป็นแบบนี้ และฉันก็ได้คิดชื่อไว้ให้มันเรียบร้อยแล้วว่า
“ไอ้หลูบ”
หลายวันผ่านไปฉันกับไอ้หลูบเหมือนจะสนิทกันมากขึ้น ในตอนแรกที่ฉันเรียกชื่อมัน มันไม่ยอมหันมาเลย ก็คงต้องให้เวลามันหน่อย ผ่านไปไม่กี่วันมันเรียนรู้ที่จะหันเมื่อฉันเรียก ไอ้หลูบ มันวิ่งมาหาฉันในระยะที่ห่างพอตัวไม่ยอมเข้าใกล้ฉันอยู่ดี
สายตาที่มันมองฉัน ฉันรู้ว่ามันไว้ใจฉันมากขึ้นแต่กลับไม่ยอมให้ฉันลูบหัวมันเลย ฉันก็อดแปลกใจเสียมิได้ ในความคิดฉันสุนัขถ้ามีคนเอาอาหารให้กินทุกวันแบบนี้มันก็น่าเชื่องและให้ถูกตัวได้นะ แต่ไอ้หลูบไม่เป็นอย่างนั่นมันระวังตัวแจ ไม่ยอมให้ฉันได้แตะมันง่ายๆ
มีครั้งหนึ่งฉันแอบย่องมาข้างหลังตอนมันกำลังกินอาหารกะจะลูบหลังมันซักหน่อย ฉันค่อยๆยื่นมือไปอย่างช้าๆ ยังไม่ทันถึงตัวมัน มันสะดุ้งโยงด้วยความตกใจ วิ่งชนถังขยะที่อยู่ข้างๆล้มโครมเศษขยะเกลื่อนลงบนพื้น เป็นฉันอีกล่ะที่ต้องเก็บเข้าที่ให้เรียบร้อย
“โอ๊ยเนาะ ซำนี่กะย่าน” ฉันต้องสบถเป็นภาษาถิ่น ด้วยความคับข้องใจกับเพื่อนรักสี่ขาตัวนี้ อดน้อยใจไม่ได้มันไม่ยอมให้ฉันลูบหัวเลย
สองเดือนผ่านไปกับการได้เป็นเพื่อนกับเจ้าตูบ ฉันยังคงให้อาหารมันกินเหมือนทุกครั้ง มันจะมายืนทักทายฉันเมื่อฉันมาทำงานในตอนเช้า และมาส่งกลับบ้านในตอนเย็น ฉันเห็นสายตาที่มันมองฉันคล้ายอยากไปอยู่ด้วย ฉันต้องโบกมือลามันแทบจะทุกครั้ง เหมือนกลายเป็นสิ่งที่ต้องทำเป็นประจำไปเสียแล้วและสิ่งที่ฉันได้ตอบกลับมาคือ มันจะขยิบตาให้ฉันสองทีเป็นการบอกลาเช่นกัน
หนึ่งปีผ่านไปไอ้หลูบยังคงเป็นหมาข้างถนนที่ฉันต้องคอยให้อาหารและยังมีอีกหลายคนที่ทยอยเอาอาหารมาให้ไอ้หลูบ มันได้กินอาหารอย่างอิ่มหนำสำราญแต่ฉันก็คิดว่ามันไม่อ้วนขึ้นเลยซักนิด
“หลูบ หลูบ” ฉันตะโกนเรียกมัน ณ. จุดเดิมที่เราเจอกันครั้งแรก เป็นจุดนัดหมายของเราสองคน ไม่ต้องรอนานไอ้หลูบก็วิ่งมาหา ฉันตกใจมากเหมือนเห็นหน้ามัน หน้าของมันมีแผลหลายจุดเลือดสีแดงสดอาบแก้มและจมูกของมัน ตามลำตัวของมันมีรอยแผลลึกเหมือนโดนของมีคมฉานเข้าให้ เลือดสีแดงขีดเป็นรอยยาวตามขนาดของแผล
ฉันพุ่งเข้าไปหามันด้วยความตกใจ อยากช่วยมัน ณ.ตอนนั้น กะจะสวมบทเป็นสัตวแพทย์ซักหน่อย แต่ลืมไปว่าไอ้หลูบมันขี้ตกใจ มันกระโดดหลบฉันถอยไปไกล
“ไอ้หลูบมานี่ ไม่ต้องกลัว ฉันไม่ทำอะไรแกหรอก มาให้ดูใกล้ๆหน่อย ใครทำอะไรแก” ฉันกวักมือเรียกมันเนืองๆ มันได้แต่ยืนนิ่งมอง แววตามันเศร้ามากฉันแอบเห็นมีน้ำใสๆอยู่ในดวงตามันด้วย
“แกเจ็บมากใช่ไหม”
ฉันถามมัน มันขยิบตาให้ฉันหนึ่งที ฉันรับรู้ได้ถึงความรู้สึกเจ็บปวดของมัน แล้วฉันรู้สึกเหมือนหน้าตัวเองร้อนผ่า ดวงตาเริ่มร้อน และเริ่มรู้สึกโมโหคนที่ทำกับมันแบบนี้ ใจร้ายที่สุด โหดเหี้ยมมากทำกับสัตว์ไม่มีทางสู้แบบนี้ไง แต่นั่นก็เป็นเพียงสิ่งที่ฉันสบถในใจเท่านั้น ไม่คิดอยากรู้ว่าใครเป็นคนทำ เพียงแค่ตอนนี้อยากพามันไปหาหมอเท่านั้น
“หลูบมานี่” ฉันกวักมือเรียกมันอีกครั้ง แต่มันยังยืนนิ่งอยู่ที่เดิมมองฉันด้วยสายตาเศร้าสร้อยเจ็บปวด
“แกก็เป็นซะแบบนี้ แตะต้องไม่ได้เลย แกรู้ไหมฉันอยากเอาแกกลับบ้านไปด้วย แต่แกก็ไม่ให้ฉันจับตัวแกเลย ฉันอยากเลี้ยงแกนะ แกไม่อยากมีเจ้าของหรือไง แกอยากเป็นหมาข้างถนนแบบนี้ไปจนตายเหรอ” ฉันพูดกับมันยาวเหยียดแต่ไม่รู้ว่ามันจะเข้าใจที่ฉันพูดหรือเปล่า และฉันก็พูดด้วยความโมโหอีกครั้ง
“แล้วนี่เป็นไง ฉันอยากพาแกไปรักษาแต่แกก็ไม่ให้ฉันจับตัวแกอีกล่ะ” ฉันจ้องเข้าไปในดวงตามัน
ดวงตาใสๆของมันเหมือนจะตอบฉันกลับมาว่า
ขอบใจนะ ไม่เป็นไรเดี๋ยวมันก็หายเอง
“ก็ได้ก็ได้ ปล่อยให้มันหายเองตามที่แกพูดเถอะ ฉันจะวางข้าวไว้ตรงนี้ให้แก กินเสร็จก็ไปนอนและอย่าไปมีเรื่องกับใครไม่ว่าจะเป็นคนหรือหมา เข้าใจไหม” ฉันวางชามข้าวที่ถืออยู่ในมือไว้ที่พื้น มันเงยหน้ามองฉันแล้วขยิบตาให้ฉันหนึ่งทีเป็นการขอบคุณ
สองอาทิตย์ผ่านไปแผลของไอ้หลูบเริ่มหายดี แล้วมันก็กลับมาร่างเริงเหมือนเดิม ฉันกับมันยังคงมาเจอกันที่จุดนัดพบเหมือนทุกครั้ง มันแกว่งหางไปมาด้วยความดีอกดีใจเมื่อได้รับอาหารจากฉัน แต่มันก็ยังสงวนท่าทีไม่ให้ฉันแตะต้องตัว
เช้าวันรุ่งขึ้นเป็นวันที่อากาศร้อนอบอ้าว และดูเงียบเหงาไปบ้างเมื่อร้านขายก๋วยเตี๋ยวกับร้านอาหารอีสานหยุดพร้อมกัน เหลือเพียงร้านอาหารตามสั่งที่เปิดขายอยู่ ฉันก็เหลือตัวเลือกน้อยลง พักเที่ยงวันนี้ก็เลยได้เข้าร้านอาหารตามสั่งที่ใครต่างลงความเห็นว่าไม่อร่อย ฉันส่งข้าวผัดรวมมิตรเพราะคิดว่ามันทำง่ายใครทำก็คงอร่อย
“ป้าเห็นไอ้หลูบไหมค่ะ” ฉันตะโกนถามป้าแม่ค้าที่กำลังง่วงอยู่กับการทำอาหาร ฉันก็สนิทกับแกระดับหนึ่งแล้วล่ะ แกชอบชวนคุยเวลาทำอาหารแต่วันนี้ฉันขอเริ่มคุยก่อน เพราะตลอดทั้งวันฉันยังไม่เห็นไอ้หลูบเลย ก็เลยสงสัยจนอดถามไม่ได้
“ป้ายังไม่เห็นมันเลย ปรกติตอนเช้าๆมันก็จะมายืนขออาหารแล้วนะ นี่เที่ยงแล้วยังไม่เห็นหัวเลย” ป้าตอบกลับมา
“นั่นนะซิค่ะ หนูก็ยังไม่เห็นมันเหมือนกัน” ฉันแลซ้ายแลขวาเพื่อมองหาไอ้หลูบ แต่ก็ไร้วี่แวว
“น่าจะไม่รอดแล้วล่ะ หมาพี่ไอ้ไฮไนเก้น มันไปกินอาหารที่ไหนมาไม่รู้ในอาหารมียาเบื่อ พี่พยายามช่วยมันแล้วแต่ไม่ทัน มันตายไปซะก่อน ไอ้พวกใจหมาฆ่าได้แม้กระทั่งสัตว์ไม่มีทางสู้” พ่อค้าขายอาหารอีสานเดินเข้ามาในร้านแล้วพูดเสียงดังลั่นร้าน ทำเอาป้าที่กำลังทำอาหารอยู่ตกใจจนทำตะหลิวหลุดมือ
“อย่าให้รู้นะว่ามันใคร เดี๋ยวโดนดีแน่”พูดเสร็จแกก็เดินออกจากร้าน ฉันได้แต่นั่งมึนงงและเริ่มเป็นห่วงไอ้หลูบขึ้นมาทันที
สามวันผ่านไปฉันยังไม่เห็นไอ้หลูบ ฉันเริ่มใจไม่ดีแล้วขับรถตะเวนหามันทุกตรอกซอกซอยแต่ก็รี่แวว ฉันภวนาของให้มันปลอดภัย บางคืนฉันถึงกับสวดมนต์ขอให้คุณพระคุณเจ้าคุ้มครองมัน ให้มันอยู่รอดปลอดภัย
หนึ่งเดือนผ่านไปไอ้หลูบหายไปอย่างไร้ร่องรอยฉันยังคงเฝ้ารอมันกลับมา
สี่เดือนปีผ่านไปไอ้หลูบยังหายไปอย่างไร้ร่องรอยฉันยังคงเฝ้ารอมันกลับมา และยังคิดถึงมันอยู่
และแล้วในค่ำคืนหนึ่งไอ้หลูบแวะมาหาฉันที่บ้าน ฉันเห็นมันนั่งอยู่ที่หน้า ฉันวิ่งไปหามันด้วยความตื่นเต้นดีใจ
“แกหายไปไหนมา ฉันรอแกตั้งนาน” ฉันพูดกับมัน
“ผมไปเที่ยวมาครับแม่” ไอ้หลูบมันตอบฉันกลับมา ฉันตกใจแทบสิ้นสตินี่ฉันกำลังฟังหมาพูดได้
“ไม่ต้องตกใจหรอกครับแม่ ผมพูดกับแม่ทุกครั้งแม่ก็รู้อยู่นิ” ไอ้หลูบยังคงพูดต่อ
“แต่ฉันอ่านแกออกทางสายตานะ ไม่ใช่คำพูดแบบนี้” ฉันตอบมันไปอย่างหวาดๆ และถอยหลังหนีมาก้าวหนึ่ง
“แม่ไม่ต้องกลัวผมหรอก ผมไม่ทำอะไรแม่หรอกนะ” ไอ้หลูบยังคงพูดเสียงใสแจ่ว
“ทำไมแกพูดได้” ฉันถามกลับด้วยความงึนงง
“อาจเป็นเพราะผมตายแล้วมั้ง ผมเลยพูดได้”
“จะตายได้ไงก็เห็นยืนอยู่นี่” ฉันตอบมันกลับ เพราะมั่นใจว่ามันยังไม่ตาย
เรื่องสั้น....เรื่องเล่าไอ้หลูบหมาข้างถนนจอมหวาดระแวง
ร้านที่สองเป็นร้านอาหารอีสานร้านนี้พ่อค้าแกเลี้ยงหมาไว้ตัวหนึ่งมันชื่อไฮไนเก้น ฉันแอบสงสัยอยู่เหมือนกันว่าพ่อค้าร้านนี้คงชอบกินเบียร์ยี่ห้อนี้
และร้านที่สามร้านก๋วยเตี๋ยวเป็นร้านของสามีภรรยา ร้านนี้นับว่าเป็นร้านที่ขายดีที่สุด อร่อยมาก สะอาดและราคาถูก เหมาะกับมนุษย์เงินเดือนอย่างฉัน บางทีฉันแอบคิดว่า กินก๋วยเตี๋ยวจนหน้าจะกลายเป็นเส้นก๋วยเตี๋ยวไปแล้วมั้ง
ช่างมันเถอะค่ะ เรื่องหน้าเป็นเส้นก๋วยเตี๋ยว หรือเรื่องร้านค้าทั้งสามร้านนั้น มันไม่สำคัญเท่าสิ่งที่ฉันอยากเล่าให้ฟัง
เรื่องราวมันเริ่มต้นเมื่อเข้าสู่สัปดาห์แรกสำหรับการมาทำงานที่นี้ ฉันเริ่มคุ้นชินกับเพื่อนร่วมงาน กับพ่อค้าแม่ค้าที่ค้าขายในละแวกนี้ ในตอนพักเที่ยงฉันตั้งใจจะมาซื้อข้าวกลับไปกินที่ทำงาน เพราะยังทำงานค้างอยู่ถึงแม้พักก็อยากจะทำให้เสร็จ กินไปด้วยทำงานไปด้วยก็น่าจะดีงานเสร็จแล้วก็ได้กลับบ้านเร็วขึ้น
ฉันได้ข้าวเหนียวไก่ย่างมาเป็นอาหารเที่ยงฉันเลือกที่จะกินอย่างนี้เพราะกินง่ายและไม่เลอะเปื้อนสิ่งของ เมนูอาหารที่ฉันวางแผนไว้สำหรับนั่งกินข้าวเวลาทำงาน ฉันเดินถือถุงข้าวเหนียวไก่ย่างกลับที่ทำงานด้วยอารมณ์ที่สดชื่นแจ่มใส กับอากาศที่เย็นสบายไม่ร้อนอบอ้าวเหมือนวันก่อนๆ มีหยุดทักทายพ่อค้าแม่ค้าที่ขายของริมฟุตบาตสองคนสามคนตามประสาคนอารมณ์ดีอย่างฉัน
และฉันก็ยังไม่ลืมแวะซื้อผลไม้ไปฝากลูกน้องสามคนที่กำลังทำงานกันอยู่ แตงโตสามชิ้น สับปะรดสามชิ้น บวกกับแคนตาลูปอีกสามชิ้น ฉันอดที่จะเหลียวไปมองมะม่วงเปรี้ยวลูกสวยน่ากินที่จัดวางเรียงไว้อย่างสวยงามในตูกระจกแก้วใส มองแล้วน้ำลายไหลแต่ก็ต้องอดทนไว้ก่อนนะ เดี๋ยวขี้แตกตอนทำงาน ไม่ได้ๆต้องตัดใจ
ถุงของกินหลายถุงถูกแกว่งไปตามแรงแขนของฉันขณะเดินทอดน่องกลับที่ทำงาน แต่แล้วสายตาคู่หนึ่งก็จับจ้องมาที่ฉัน มันยืนมองฉันด้วยสายตาที่ฉันไม่สามารถจะอ่านออกได้ ฉันหยุดชะงักแล้วจ้องมองมันกลับ ฉันทักทายมันไปว่า
“สวัสดี” ไร้เสียงตอบกลับจากอีกฝ่าย
ฉันสาวก้าวเดินไปข้างหน้าหามันช้าๆหนึ่งก้าว มันก้าวถอยหลังไปหนึ่งก้าว ฉันเดินไปหามันอีกสองก้าว มันถอยหลังไปอีกสองก้าว แววตามันคล้ายกำลังจ้องพิจารณาฉันอยู่เนืองๆ เช่นเดียวกับที่ฉันพิจารณามัน
ฉันหยุดยืนอยู่กับที่ มันทำเช่นเดียวกับฉัน ดวงตาทั้งสี่คู่จ้องมองกันคล้ายจะหยั่งเชิงอีกฝ่าย ฉันทนไม่ไว้กับความเงียบงันจึงเป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นก่อน
“ที่นี้ถิ่นของแกเหรอ ฉันเพิ่งมาทำงานที่นี้ได้อาทิตย์หนึ่งแล้วล่ะ อืม ถ้าเราสองคนจะเป็นเพื่อนกัน แบบว่าญาติดีต่อกันหน่อยแกว่าไง เห็นด้วยไหม” ฉันกำลังยืนพูดกับเจ้าตูบสี่ขาเจ้าถิ่น
มันกระดิกหูข้างหนึ่งเป็นการตอบรับ ฉันมองเห็นแววตาที่เปลี่ยนไปของมันจากหวาดระแวง ตอนนี้ดูเหมือนมันจะเริ่มเป็นมิตรขึ้นมานิดหนึ่งแล้วล่ะ ฉันก็แอบอมยิ้มให้มันแต่ฉันไม่แน่ใจว่ามันเข้าใจสิ่งนี้หรือเปล่า
“แกอยากกินนี้ใช่ไหม”
ฉันหยิบไก่ย่างที่อยู่ในถุงออกมาโชว์ให้มันดูเป็นปีกไก่สองปีกที่ถูกมัดไว้ในด้ามไม้ไผ่ ปีกไก่ส่งกลิ่นหอมน่ากินโชยเข้าจมูกฉันและมันคงได้กลิ่นนั้นด้วย มันกระดิกหูทั้งสองข้างพร้อมกับแกว่งหางไปมาเล็กน้อย เจ้าหมาพันธุ์ไทยผอมแห้งตัวนี้สงสัยมันอยากเป็นเพื่อนกับฉันแล้วล่ะ
ฉันดึงปีกไก่ชิ้นหนึ่งออกมาจากไม้แล้วยื่นให้มัน ฉันอยากให้มันเข้ามาใกล้ๆ ฉันจึงไม่ยอมปล่อยปีกไก่ออกจากมือ แต่ดูเหมือนมันจะกล้าๆกลัวๆ ไม่ยอมเข้ามาใกล้เลย ได้แต่จ้องมองอาหารที่อยู่ตรงหน้า ฉันหยอกล้อมันเล่นด้วยการแกว่งปีกไก่ไปมา มันมองตามือที่ฉันแกว่งดูแล้วก็ตลกขบขำ ฉันแอบหัวเราะคิกกับการได้หยอกล้อเจ้าตูบเล่น
“อยากกินไม่ใช่เหรอ มาเอาซิฉันไม่ทำอะไรแกหรอก” ฉันพูดกับมันอีกครั้งและดูเหมือนว่ามันจะเข้าใจ มันแกว่งหางเร็วขึ้น แววตาสดใสมากขึ้นแต่ก็ไม่ยอมเข้ามาเอาไก่อยู่ดี
ฉันจึงต้องถอดใจเพราะต้องรีบไปทำงาน เลยตัดสินใจวางไก่ไว้ตรงที่ฉันยืนอยู่ มันมองฉันเดินออกห่างจากปีกไก่ ส่วนมันก็ค่อยๆมาคาบปีกไก่วิ่งข้ามถนนไปอีกฝั่งหนึ่งด้วยความตื่นเต้นดีใจ ฉันเห็นแววตาคู่นั่นของมันช่างบอกไม่ถูกจริงๆ เหมือนมันจะขอบคุณฉันด้วยนะ ให้ตายเถอะฉันยังอ่านภาษาสุนัขไม่ออกซะด้วยซิ
ฉันได้แต่ยืนอมยิ้มให้กับความน่ารักของมัน หมาพันธุ์ไทยสีน้ำตาลปนขาว ขาของมันยาวก้างกางลำตัวผอมแห้งจนมองเห็นซี่โครง มีหูที่พิเศษเพราะหูของมันตั้งข้างหนึ่งและพับลงมาข้างหนึ่ง ฉันก็อดแปลกใจไม่ได้ ทำไมหูมันเป็นแบบนี้ และฉันก็ได้คิดชื่อไว้ให้มันเรียบร้อยแล้วว่า “ไอ้หลูบ”
หลายวันผ่านไปฉันกับไอ้หลูบเหมือนจะสนิทกันมากขึ้น ในตอนแรกที่ฉันเรียกชื่อมัน มันไม่ยอมหันมาเลย ก็คงต้องให้เวลามันหน่อย ผ่านไปไม่กี่วันมันเรียนรู้ที่จะหันเมื่อฉันเรียก ไอ้หลูบ มันวิ่งมาหาฉันในระยะที่ห่างพอตัวไม่ยอมเข้าใกล้ฉันอยู่ดี
สายตาที่มันมองฉัน ฉันรู้ว่ามันไว้ใจฉันมากขึ้นแต่กลับไม่ยอมให้ฉันลูบหัวมันเลย ฉันก็อดแปลกใจเสียมิได้ ในความคิดฉันสุนัขถ้ามีคนเอาอาหารให้กินทุกวันแบบนี้มันก็น่าเชื่องและให้ถูกตัวได้นะ แต่ไอ้หลูบไม่เป็นอย่างนั่นมันระวังตัวแจ ไม่ยอมให้ฉันได้แตะมันง่ายๆ
มีครั้งหนึ่งฉันแอบย่องมาข้างหลังตอนมันกำลังกินอาหารกะจะลูบหลังมันซักหน่อย ฉันค่อยๆยื่นมือไปอย่างช้าๆ ยังไม่ทันถึงตัวมัน มันสะดุ้งโยงด้วยความตกใจ วิ่งชนถังขยะที่อยู่ข้างๆล้มโครมเศษขยะเกลื่อนลงบนพื้น เป็นฉันอีกล่ะที่ต้องเก็บเข้าที่ให้เรียบร้อย
“โอ๊ยเนาะ ซำนี่กะย่าน” ฉันต้องสบถเป็นภาษาถิ่น ด้วยความคับข้องใจกับเพื่อนรักสี่ขาตัวนี้ อดน้อยใจไม่ได้มันไม่ยอมให้ฉันลูบหัวเลย
สองเดือนผ่านไปกับการได้เป็นเพื่อนกับเจ้าตูบ ฉันยังคงให้อาหารมันกินเหมือนทุกครั้ง มันจะมายืนทักทายฉันเมื่อฉันมาทำงานในตอนเช้า และมาส่งกลับบ้านในตอนเย็น ฉันเห็นสายตาที่มันมองฉันคล้ายอยากไปอยู่ด้วย ฉันต้องโบกมือลามันแทบจะทุกครั้ง เหมือนกลายเป็นสิ่งที่ต้องทำเป็นประจำไปเสียแล้วและสิ่งที่ฉันได้ตอบกลับมาคือ มันจะขยิบตาให้ฉันสองทีเป็นการบอกลาเช่นกัน
หนึ่งปีผ่านไปไอ้หลูบยังคงเป็นหมาข้างถนนที่ฉันต้องคอยให้อาหารและยังมีอีกหลายคนที่ทยอยเอาอาหารมาให้ไอ้หลูบ มันได้กินอาหารอย่างอิ่มหนำสำราญแต่ฉันก็คิดว่ามันไม่อ้วนขึ้นเลยซักนิด
“หลูบ หลูบ” ฉันตะโกนเรียกมัน ณ. จุดเดิมที่เราเจอกันครั้งแรก เป็นจุดนัดหมายของเราสองคน ไม่ต้องรอนานไอ้หลูบก็วิ่งมาหา ฉันตกใจมากเหมือนเห็นหน้ามัน หน้าของมันมีแผลหลายจุดเลือดสีแดงสดอาบแก้มและจมูกของมัน ตามลำตัวของมันมีรอยแผลลึกเหมือนโดนของมีคมฉานเข้าให้ เลือดสีแดงขีดเป็นรอยยาวตามขนาดของแผล
ฉันพุ่งเข้าไปหามันด้วยความตกใจ อยากช่วยมัน ณ.ตอนนั้น กะจะสวมบทเป็นสัตวแพทย์ซักหน่อย แต่ลืมไปว่าไอ้หลูบมันขี้ตกใจ มันกระโดดหลบฉันถอยไปไกล
“ไอ้หลูบมานี่ ไม่ต้องกลัว ฉันไม่ทำอะไรแกหรอก มาให้ดูใกล้ๆหน่อย ใครทำอะไรแก” ฉันกวักมือเรียกมันเนืองๆ มันได้แต่ยืนนิ่งมอง แววตามันเศร้ามากฉันแอบเห็นมีน้ำใสๆอยู่ในดวงตามันด้วย
“แกเจ็บมากใช่ไหม”
ฉันถามมัน มันขยิบตาให้ฉันหนึ่งที ฉันรับรู้ได้ถึงความรู้สึกเจ็บปวดของมัน แล้วฉันรู้สึกเหมือนหน้าตัวเองร้อนผ่า ดวงตาเริ่มร้อน และเริ่มรู้สึกโมโหคนที่ทำกับมันแบบนี้ ใจร้ายที่สุด โหดเหี้ยมมากทำกับสัตว์ไม่มีทางสู้แบบนี้ไง แต่นั่นก็เป็นเพียงสิ่งที่ฉันสบถในใจเท่านั้น ไม่คิดอยากรู้ว่าใครเป็นคนทำ เพียงแค่ตอนนี้อยากพามันไปหาหมอเท่านั้น
“หลูบมานี่” ฉันกวักมือเรียกมันอีกครั้ง แต่มันยังยืนนิ่งอยู่ที่เดิมมองฉันด้วยสายตาเศร้าสร้อยเจ็บปวด
“แกก็เป็นซะแบบนี้ แตะต้องไม่ได้เลย แกรู้ไหมฉันอยากเอาแกกลับบ้านไปด้วย แต่แกก็ไม่ให้ฉันจับตัวแกเลย ฉันอยากเลี้ยงแกนะ แกไม่อยากมีเจ้าของหรือไง แกอยากเป็นหมาข้างถนนแบบนี้ไปจนตายเหรอ” ฉันพูดกับมันยาวเหยียดแต่ไม่รู้ว่ามันจะเข้าใจที่ฉันพูดหรือเปล่า และฉันก็พูดด้วยความโมโหอีกครั้ง
“แล้วนี่เป็นไง ฉันอยากพาแกไปรักษาแต่แกก็ไม่ให้ฉันจับตัวแกอีกล่ะ” ฉันจ้องเข้าไปในดวงตามัน
ดวงตาใสๆของมันเหมือนจะตอบฉันกลับมาว่า ขอบใจนะ ไม่เป็นไรเดี๋ยวมันก็หายเอง
“ก็ได้ก็ได้ ปล่อยให้มันหายเองตามที่แกพูดเถอะ ฉันจะวางข้าวไว้ตรงนี้ให้แก กินเสร็จก็ไปนอนและอย่าไปมีเรื่องกับใครไม่ว่าจะเป็นคนหรือหมา เข้าใจไหม” ฉันวางชามข้าวที่ถืออยู่ในมือไว้ที่พื้น มันเงยหน้ามองฉันแล้วขยิบตาให้ฉันหนึ่งทีเป็นการขอบคุณ
สองอาทิตย์ผ่านไปแผลของไอ้หลูบเริ่มหายดี แล้วมันก็กลับมาร่างเริงเหมือนเดิม ฉันกับมันยังคงมาเจอกันที่จุดนัดพบเหมือนทุกครั้ง มันแกว่งหางไปมาด้วยความดีอกดีใจเมื่อได้รับอาหารจากฉัน แต่มันก็ยังสงวนท่าทีไม่ให้ฉันแตะต้องตัว
เช้าวันรุ่งขึ้นเป็นวันที่อากาศร้อนอบอ้าว และดูเงียบเหงาไปบ้างเมื่อร้านขายก๋วยเตี๋ยวกับร้านอาหารอีสานหยุดพร้อมกัน เหลือเพียงร้านอาหารตามสั่งที่เปิดขายอยู่ ฉันก็เหลือตัวเลือกน้อยลง พักเที่ยงวันนี้ก็เลยได้เข้าร้านอาหารตามสั่งที่ใครต่างลงความเห็นว่าไม่อร่อย ฉันส่งข้าวผัดรวมมิตรเพราะคิดว่ามันทำง่ายใครทำก็คงอร่อย
“ป้าเห็นไอ้หลูบไหมค่ะ” ฉันตะโกนถามป้าแม่ค้าที่กำลังง่วงอยู่กับการทำอาหาร ฉันก็สนิทกับแกระดับหนึ่งแล้วล่ะ แกชอบชวนคุยเวลาทำอาหารแต่วันนี้ฉันขอเริ่มคุยก่อน เพราะตลอดทั้งวันฉันยังไม่เห็นไอ้หลูบเลย ก็เลยสงสัยจนอดถามไม่ได้
“ป้ายังไม่เห็นมันเลย ปรกติตอนเช้าๆมันก็จะมายืนขออาหารแล้วนะ นี่เที่ยงแล้วยังไม่เห็นหัวเลย” ป้าตอบกลับมา
“นั่นนะซิค่ะ หนูก็ยังไม่เห็นมันเหมือนกัน” ฉันแลซ้ายแลขวาเพื่อมองหาไอ้หลูบ แต่ก็ไร้วี่แวว
“น่าจะไม่รอดแล้วล่ะ หมาพี่ไอ้ไฮไนเก้น มันไปกินอาหารที่ไหนมาไม่รู้ในอาหารมียาเบื่อ พี่พยายามช่วยมันแล้วแต่ไม่ทัน มันตายไปซะก่อน ไอ้พวกใจหมาฆ่าได้แม้กระทั่งสัตว์ไม่มีทางสู้” พ่อค้าขายอาหารอีสานเดินเข้ามาในร้านแล้วพูดเสียงดังลั่นร้าน ทำเอาป้าที่กำลังทำอาหารอยู่ตกใจจนทำตะหลิวหลุดมือ
“อย่าให้รู้นะว่ามันใคร เดี๋ยวโดนดีแน่”พูดเสร็จแกก็เดินออกจากร้าน ฉันได้แต่นั่งมึนงงและเริ่มเป็นห่วงไอ้หลูบขึ้นมาทันที
สามวันผ่านไปฉันยังไม่เห็นไอ้หลูบ ฉันเริ่มใจไม่ดีแล้วขับรถตะเวนหามันทุกตรอกซอกซอยแต่ก็รี่แวว ฉันภวนาของให้มันปลอดภัย บางคืนฉันถึงกับสวดมนต์ขอให้คุณพระคุณเจ้าคุ้มครองมัน ให้มันอยู่รอดปลอดภัย
หนึ่งเดือนผ่านไปไอ้หลูบหายไปอย่างไร้ร่องรอยฉันยังคงเฝ้ารอมันกลับมา
สี่เดือนปีผ่านไปไอ้หลูบยังหายไปอย่างไร้ร่องรอยฉันยังคงเฝ้ารอมันกลับมา และยังคิดถึงมันอยู่
และแล้วในค่ำคืนหนึ่งไอ้หลูบแวะมาหาฉันที่บ้าน ฉันเห็นมันนั่งอยู่ที่หน้า ฉันวิ่งไปหามันด้วยความตื่นเต้นดีใจ
“แกหายไปไหนมา ฉันรอแกตั้งนาน” ฉันพูดกับมัน
“ผมไปเที่ยวมาครับแม่” ไอ้หลูบมันตอบฉันกลับมา ฉันตกใจแทบสิ้นสตินี่ฉันกำลังฟังหมาพูดได้
“ไม่ต้องตกใจหรอกครับแม่ ผมพูดกับแม่ทุกครั้งแม่ก็รู้อยู่นิ” ไอ้หลูบยังคงพูดต่อ
“แต่ฉันอ่านแกออกทางสายตานะ ไม่ใช่คำพูดแบบนี้” ฉันตอบมันไปอย่างหวาดๆ และถอยหลังหนีมาก้าวหนึ่ง
“แม่ไม่ต้องกลัวผมหรอก ผมไม่ทำอะไรแม่หรอกนะ” ไอ้หลูบยังคงพูดเสียงใสแจ่ว
“ทำไมแกพูดได้” ฉันถามกลับด้วยความงึนงง
“อาจเป็นเพราะผมตายแล้วมั้ง ผมเลยพูดได้”
“จะตายได้ไงก็เห็นยืนอยู่นี่” ฉันตอบมันกลับ เพราะมั่นใจว่ามันยังไม่ตาย