ความรู้สึก ที่แทบจะไม่มีจุดยืนของคนๆหนึ่ง ในระบบเจ้านาย ลูกน้อง

เป็นเรื่องจริง แต่ขอนำมาเล่าเป็นเรื่องราว
บอกไว้ก่อนว่า ไม่ใช่เรื่องของผม ไม่ใช่เจ้านายผม และไม่ใช่ที่ทำงานผม
และบอกแค่ว่า เพื่อนคนหนึ่งที่โทรมาระบายความทุกข์ใจอยู่เป็นประจำ
ปล. ที่ต้องแท็ก ชีวิตวัยรุ่น กับความรักวัยทำงาน
      ก็เพราะว่า แค่อยากได้ในส่วนของ "ชีวิต" "วัยทำงาน" อมยิ้ม18

เริ่ม.....

มีคนๆหนึ่ง เดินกลับบ้าน หลังจากเลิกงาน พอกลับถึงบ้าน ก็ร้องไห้ เป็นแบบนี้เกือบทุกวัน
สาเหตุเพราะโดนเจ้านายต่อว่า ในสิ่งที่เขาทำในแต่ละวัน

เขาเคยเล่าว่า เขาเคยพูดชี้แจงกับเจ้านาย เมื่อนานมาแล้วว่า "ทำตามที่ท่านสั่งทุกอย่างยังผิดอีกหรอ"
เจ้านายก็ไม่ได้รู้สึกอะไร และพูดสวนกลับมาอีกว่า "ทำไมไม่มีความคิดเป็นของตัวเอง ต้องคอยให้สอนไปจนตายรึไง"
เขาเล่าต่อว่า เมื่อเขาคิดและตัดสินใจ ทำตามหน้าที่อย่างดี ซึ่งมันก็ดูว่าถูกต้อง และเหมาะสม
กลับถูกเจ้านายต่อว่า ว่า "ทำแบบนั้นได้ยังไง ทำไมไม่มาถาม ทำไมไม่ทำแบบนี้ บลา บลา บลา @!#@!$#$@$#%@$!@#!#@!#"
เขาเลยทำตามที่เจ้านายบอกทุกประการ ทำตามที่เจ้านายแนะนำ และเข้าไปถามเจ้านายเมื่อไม่เข้าใจ แต่สุดท้ายเขาก็ผิด ผิดที่ไม่มีความคิด ไม่ตัดสินใจ
และคำๆหนึ่งที่เขาหมดหนทางและเลิกโต้ตอบด้วยเหตุผล นั่นก็คือคำว่า "ทำไมต้องมาถาม ไม่มีความคิดหรือไง"
เขาเลยตัดสินใจว่า จากนี้จะไม่โต้เถียง หรือโต้ตอบใดๆ เขาได้แต่ก้มหน้า ยอมรับผิด และเดินกลับบ้านเพื่อไปร้องไห้ อย่างที่เป็นอยู่เกือบทุกวัน

แม้เขาจะทำดีสักปานใด สุดท้ายก็ผิดอยู่ดี
แม้เขาจะคิดเอง และประยุกต์ใช้ให้เหมาะสมที่สุด
หรือทำตามเจ้านายสั่ง และแนะนำทุกประการ
แต่สุดท้ายเขาก็ผิดและโดนต่อว่า จนหม่นหมองใจ

หากท่านทั้งหลาย หรือตัวผมเอง ไม่เจอเจ้านายแบบนี้ ด้วยตัวเอง
สภาพที่กดดันสุดจะบรรยาย จากเจ้านายผู้ไม่รู้จักคำว่าพอดี พองาม ในภาระหน้าที่
- เจ้านายที่ไม่เคยยอมรับผิดเลย แม้ตนจะเป็นคนหลงๆลืมๆไปเอง
- เจ้านายที่มีแต่จะโยนความผิดให้ลูกน้อง ทุกเรื่อง
  ไม่เว้นแม้แต่เรื่องที่ตนได้แนะนำให้ลูกน้องทำตาม แล้วลูกน้องทำตามทุกระเบียบนิ้ว
  พอเจ้านายโดนเบื้องบนตำหนิ ก็โยนขี้ใส่ลูกน้องทันที
เราก็คงไม่เข้าใจถึงความรู้สึกที่กดดันนั้น

"ฝากคำพูดถึงเจ้านาย"
มันคือระบบเจ้านาย ลูกน้อง ก็พอเข้าใจ
แต่มันจะดีกว่าไหม ถ้าเจ้านายรู้ว่า ลูกน้องก็คน ไม่ใช่วัว ไม่ใช่ควาย เห็นใจกันบ้าง
อยู่ที่ทำงานก็คน กลับมาบ้านก็คน เป็นคนที่มีความรู้สึกเหมือนกันหมดทุกที่ ทุกคน
เชื่อว่านอกเหนือเวลางาน ท่านก็เป็นคนปกติคนหนึ่ง เป็นคนมีน้ำใจคนหนึ่ง
แต่ความคิดหรือการกระทำของท่านในเวลาทำงานไม่ปกติ
มันกดดันเกินไป ทั้งๆที่งานไม่ได้ถึงขั้นคอขาดบาดตาย หรือทำให้ใครตาย
แถมยังทำร้ายจิตใจ ผู้ที่คอยเป็นมือเป็นเท้าให้ท่านอย่างดี มาโดยตลอด

"ฝากถึงเพื่อน หวังว่าคงเข้ามาอ่าน" (เดี่ยวจะแชร์ไปให้อ่าน เพราะปลอบจนขี้เกียจละ ฮ่าๆๆ)

ชีวิตเป็นของเรา อย่าให้ใครมาข่ม อย่าให้ใครมากำหนดชะตากรรมชีวิตเรามากนัก
หากเราผิดจริง การก้มหน้ายอมรับผิด และแก้ไขอย่างที่ทำอยู่ เป็นสิ่งที่ดีแล้ว
แต่หากเราไม่ได้เป็นคนผิดจริงๆ ก็พูดบ้าง อธิบายบ้าง
เราคือมนุษย์ เราคือคน ผู้มีปาก มีเสียง
หากเราทำดีและทำถูกต้องที่สุดแล้ว ตามหน้าที่ แล้วมันยังผิดอีกก็โต้ตอบด้วยเหตุผลบ้าง ไม่ได้บอกให้
ก้าวร้าวกับเจ้านาย แต่อยากให้พูดบ้าง พูดเหตุผลให้เขาเข้าใจ แม้เขาจะไม่รับฟัง และหัวรั้นก็ตาม
ดีกว่ากลับบ้านไปร้องไห้อยู่คนเดียว อย่างน้อยก็ได้ชี้แจงสิ่งที่ตนไม่ได้ผิด อธิบายสิ่งที่ตนอึดอัดใจออกไปให้คู่กรณีรับรู้บ้าง


ยกตัวอย่าง เรื่อง     หินก้อนหนึ่งถูกปาลงจากที่สูง ด้วยมือของมนุษย์คนหนึ่ง มันล่วงลงใส่หัวคนที่เดินผ่านไปมาคนหนึ่ง
                          หินก้อนนั้นถูกด่าทอด้วยคู่กรณีว่า !@#!@$!@$%@#$@ และยังปา ขว้างหินด้วยความโกรธใส่กำแพง จนหินแหลกแตกกระจาย
                          หินก็ได้แต่น้ำตาซึม เพราะพูดอะไรไม่ได้ เพราะไม่มีปาก ไม่มีเสียง ไม่มีสิทธิ์ได้พูดอธิบายเลย ว่าทำไมถึงล่วงลงมา
                          หินไม่ได้พูดเลยว่า เขาไม่ได้ทำให้ตัวเองหล่นใส่หัวใคร

                          แล้วเธอหล่ะจะเป็นอย่างหินไหม ถ้าเลือกทางที่จะไม่พูดก็หยุดร้องไห้เสียเถิด
                          เพราะทางเลือกที่จะร้องไห้ และไม่โต้ตอบ เป็นการทำร้ายตัวเอง เธอจะคิดว่าตัวเองผิดตลอดไป
                          มันจะเป็นเหตุให้เกิดความหมองเศร้า จนไม่หรือความรู้สึกว่าเป็นคนอยู่อีกเลย

ยกตัวอย่าง เรื่อง     แมวตัวหนึ่ง อยู่ในบ้านกับเจ้าของมาเนิ่นนาน ไม่มีพฤติกรรม แอบขโมยกิน หรือทำร้ายข้าวของ
                          แต่มาวันหนึ่งเจ้าของได้ย่างปลาไว้บนไฟอ่อนๆ และเดินออกไปนอกบ้าน สักพักจึงกลับมาดู
                          พอเข้าไปในห้องครัว ก็ไม่เห็นปลาบนกองไฟแล้ว เขาโมโหมาก จึงไล่ตีแมวจนอาการสาหัส
                          แมวน้อยถูกไล่ออกจากบ้านไปอย่างถาวร ได้แต่เดินซมซานกลายเป็นแมวพเนจรคุ้ยเขี่ยขยะหาอาหารกินไปวันๆ
                          ด้วยขา 3 ข้าง ที่ต้องลากอีกข้างที่ใช้การไม่ได้แล้ว อย่างทรมาน
                          แต่เหตุการณ์แท้จริงแล้วนั่นก็คือ ลูกของเจ้าของบ้านได้เอาปลาไปใส่จานเพื่อรอทานข้าวอยู่แล้วในห้องรับแขก
        
                          แมวพูดภาษาคนไม่ได้ เพราะถ้ามันพูดได้มันคงพูดแล้วว่า
                          มันไม่ได้ขโมย และลูกของท่านเอาปลาจัดเตรียมรอทานอาหารพร้อมท่านอยู่ในห้องฝั่งโน้น
                        
                          แล้วเธอหล่ะ เธอที่พูดภาษาคน สื่อสารกับคนกันเองได้ ทำไมเธอเลือกที่จะเงียบ อยากเป็นเหมือนแมวตัวนั้นหรอ


ทำไมแต่ละประเทศต้องมีทหาร ก็เพราะว่า ถ้าโดนประเทศอื่นยิงมา จะได้มีอะไรโต้ตอบและคุ้มกันตัวเองบ้าง
ร่างกายก็เหมือนกัน เขาสร้างปากให้พูดออกเสียงและสมองไว้ เพื่อการเช่นนี้ เช่นกัน

ทำไมนักการเมืองถึงมีฝ่ายค้าน ก็เพราะว่าถ้าไม่มีฝ่ายค้านแล้วปล่อยให้รัฐบาลทำไปตามใจคิด ถูกผิดไม่รู้ ประเทศก็ชิ.ปหาย กันพอดี
ร่างกายก็เหมือนกัน มีปาก มีสิทธิ์ มีเสียง ไว้เพื่อการเช่นนี้ เช่นกัน


หากมีคนมากดหัวคุณให้จมน้ำ คุณไม่คิดจะดันตัวเอง คุณไม่คิดจะช่วยตัวเองให้จมูกพ้นน้ำขึ้นมาหายใจบ้างเลยหรอ
สู้เพื่อตัวเองบ้าง ก่อนที่จะไม่เหลือความเป็นตัวเอง
เลือกงานใหม่ได้ แต่จะย้ายงานไปเรื่อยๆ เพื่อหนีปัญหาแบบนี้ เชื่อสิ ว่าที่ไหนๆก็มี อยู่ที่ว่าจะโชคดีได้เจ้านายที่ดีแค่ไหน
ระหว่างเลือกที่ทำงานใหม่ กับเลือกที่จะใช้ชีวิตอย่างมีความสุขร่วมกันกับงานที่ทำอยู่ เลือกแบบไหนก็เลือกเอา

ไม่มีใครเป็นศัตรูกัน เพราะเรื่องงาน เพราะถ้าหากเป็นศัตรูกันได้เพราะเรื่องงานนี้
ก็มี 2 ประเภทคือ 1.คนที่ไร้ความคิด และ 2. อันธพาล
และป่านนี้คงมีข่าวเผาบ้าน เผารถเพื่อนร่วมงาน กันทุกวันแล้ว
เพราะคนเราทำงานด้วยกัน มันทะเลาะกันเรื่องงานมีแน่นอนทุกที่อยู่แล้ว
กลับบ้านไป ถ้ามันจูบกันได้ มันก็จูบกันแล้ว

สุดท้ายก็ขอให้ทุกคนใช้ชีวิตอย่างมีความสุข บนทางที่ถูกต้อง ภายใต้หน้าที่การงานที่ทำในทุกๆวัน
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่