อย่างว่าครับ ถึงจะหล่อแค่ไหนก็มีข้อจำกัดในการเข้าทู้
เพราะหากไม่ใช่ทู้คำถามล่ะก็ เป็นทำได้แค่ตาละห้อย
จะซื้อซิมยืนยันก็ชี้เกียจ เบื่อ หุดหิด
เพราะสองซิมท้าย ยืนยันไปแล้วก็เหมือนไม่ได้ยืนยัน
ยืนยันไปหนึ่ง แต่ดันใช้ไม่ได้ ยืนยันไป ได้รหัสมา พอกรอก ระบบยังบอกหน้าตาเฉยว่า ยังไม่มีรหัส OTP เล่นเอาเซ็ง
อีกซิม ยันยันปั๊บ ตั้งไปได้ทู้เดียว โดนแบนปุ๊บ ชนิดไม่มีเตือน
ด้วยข้อหา "อาจดูหมิ่นผู้พิจารณาคดี" ทั้งที่เป็นกระทู้เนื้อหาทางข้อกฎหมาย ไม่ใช่กระทู้ตัวบุคคล
บ๊ะ หล่อแล้วยังขี้บ่น
เข้าเรื่อง ๆ เข้าเรื่อง "
ประชาธิปไตยไม่ใช่ประชาชนเป็นใหญ่"
"
ประชาธิปไตยไม่ใช่ประชาชนเป็นใหญ่" นี่ ผมเห็นว่า มีสองนัยยะครับ
หนึ่ง คือนัยยะทางสังคม คือความหมายว่า ไม่ใช่ประชาชนจะทำอะไรก็ได้ ต้องอยู่ภายใต้กรอบ กฎ กติกา กฎหมาย
สอง คือนัยยะทางการปกครอง อันนี้ "ประชาชนเป็นใหญ่" แน่ ๆ
ฉะนั้น หากตีความทางการปกครอง แล้วบอกว่า "ประชาธิปไตยไม่ใช่ประชาชนเป็นใหญ่" ผิดแน่ ๆ
ท่านพุทธทาสนั้น ผมว่าท่านหมายถึงสภาวะทางสังคม คือสภาวะทาง "ธรรม"
แล้วก็มีพวก "ถนัดฉวย" เก่งในเรื่องแถ บิดเบือน เอามาตีกินต่อว่า
เห็นไหม อริยสงฆ์ยังบอกว่าไม่ใช่ประชาชนเป็นใหญ่
ก็พวกสู้การเลือกตั้งไม่ได้นั่นแหละครับ ก็พวกนักลากตั้งนั่นแหละครับ ก็พวก "คนดี" ทั้งหลายนั่นแหละครับ
(แปลกนะ ประเทศไทยนี่แปลก คำว่า "คนดี" กำลังจะกลายเป็นศัพท์สำหรับคนชั่วไปซะงั้น)
ประเด็นในสภาวะ "ธรรม"
หากผู้ปกครองมีธรรม ผู้ใต้ปกครองมีธรรม อยู่ร่วมกันอย่างธรรม
ไม่จำเป็นต้องมีระบอบระบบอะไรเลยครับ จะตั้งชื่อว่าระบอบหมากัดกัน บ้านเมืองก็สุข
แต่เพราะนี่คือ "โลกียะ" เรา ทั้งในบ้านนี้เมืองนี้ ทั้งในสังคมโลก ล้วนร่วมกันอยู่ในโลกียะ
มีความต่าง หลากหลายในสภาวะ มี "ธรรม" ที่ไม่เหมือนกัน
คนเราจึงได้คิดกฎ กรอบ กติกา ขึ้นมาเพื่อเป็นเครื่องมือในการอยู่ร่วมกัน
ใครเห็นวิธีไหนดี แบบไหนดี ก็เอาไปใช้ จึงมีคำว่าระบอบนั้นระบอบนี้ขึ้นมา
เหมื่อย
เมื่อเราเลือก "ระบอบประชาธิปไตย" หนีไม่ได้ ปฏิเสธไม่ได้หรอกครับ
ว่าระบอบนี้ ต้องประชาชนเป็นใหญ่
แบบที่คุณเนาวรัตน์ว่าน่ะ ผิดล้วน ๆ ผิดแบบเจตนาให้ผิด เพื่อให้ตัวเองถูกเท่านั้นเอง
เพราะตอนนี้ตัวเองกำลังอยู่ในสภาวะ สปช. ที่ "หลุดจากประชาชน"
(ก็ขนาดร่างรัฐธรรมนูญ ยังดูเหมือนไม่ได้ร่างเพื่อประชาชน แต่เพื่อ..... เว้าบ่ได้ด๊อก ย่านหลาย ย่านถืกแบนอีก)
ประชาธิปไตยนั้น ทุกอย่างต้องมาจากการตัดสินใจ การมีส่วนร่วมของประชาชน
นี่แหละจึงเรียกว่าประชาชนเป็นใหญ่
แต่ไม่ได้หมายถึงต้อง "ทำตาม" ประชาชนไปทุกเรื่อง เพียงแต่ต้องฟัง ต้องตอบสนอง ต้องมองเห็นหัวประชาชน
เป็นเรื่องเข้าใจได้ไม่ยาก เป็นเรื่องสามัญ ๆ ปกติ ๆ ทั่วไป ธรรมดา ๆ
แต่มีการสร้าง "บริบท" และ "ตีความ" ให้ดูเหมือนซับซ้อนลึกซึ้ง เพื่ออ้างว่า การไม่ได้ยึดโยงประชาชนนั้นทำได้ไม่ผิด
ถ่อนั้นหละ
การอ้างถึง การใช้อำนาจเป็นธรรม ธรรมาภิบาล ธัมมาธิปไตย
อ้างได้ครับ พูดได้ครับ หรือจะประดิดประดอยคำอื่น ๆ มาอีกสักห้าคำสิบคำก็ได้
แต่คำถามคือ ประดิดประดอยแล้ว อ้างแล้ว หลุดออกจาก "โลกียะ" ไหมล่ะ
หรือแค่อ้างแล้ว ก็เสพสมในอาจมก้อนเดิม
ก็แค่เรื่อง เมื่อเลือกระบอบแล้ว ก็ต้องตามกติกา อย่ามาบิดเบือน สร้างตรรกะเห่ย ๆ อ้างนั่นอ้างนี่
เพราะสู้ตามกติกาไม่ได้ เพราะตัวเองดันมีส่วนร่วมกับการกระทำผิดกติกา
การบอกว่า ประชาธิปไตย คือการบริหารจัดการอำนาจประชาชนอยางเป็นธรรม
พูดได้ครับ แต่อย่าลืมสิ คนได้อำนาจจากประชาชนไปน่ะ คนที่เป็นประชาชนน่ะ เขาไม่ได้เป็นอรหันต์
บางเรื่องอาจมีวัตรปฏิบัติที่เป็นธรรม บางเรื่องอาจมีโลภ โกรธ หลง
เป็นเรื่องปกติธรรมโลก โลกที่เราอยู่ในโลกของโลกียะ กิน ขี้ ปี้ นอน
ปวดตับกับการประดิดประดอยถ้อยคำ
บ้านเมืองในวันนี้ ทำให้คิดถึงอมตะวลีของ "โค้วโต้หมง" คุณประสิทธิ์ กาญจนวัฒน์
"ยุ่งตายห....."
ส่วนใครทำให้ยุ่ง คิดเอาเองครับ
เมื่อย จบ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ปอลิง. คุณเนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ นี่ก็แปลก ได้ซีไรท์ "เพียงความเคลื่อนไหว" แท้ ๆ
แต่วันนี้ ดันเคลื่อนไหวกลับด้านไปซะงั้น
หากเห็นว่า ทุนสามานย์เป็นเผด็จการรูปใหม่ที่เข้ามาแทนเผด็จการเก่า ต้องต้าน
ก็ไม่ได้แปลว่า ต้องวิ่งหาเก่า เพื่อต้านใหม่ แล้วประดิดประดอยตรรกะให้ยุ่งตายห... นะครับ
เพียงความเคลื่อนไหว
ชั่วเหยี่ยวกระหยับปีกกลางเปลวแดด
ร้อนที่แผดก็ผ่อนเพลาพระเวหา
พอใบไม้ไหวหลิกริกริกมา
ก็รู้ว่าวันนี้มีลมวก
เพียงกระเพื่อมเลื่อมรับวับวับไหว
ก็รู้ว่าน้ำใสใช่กระจก
เพียงแววตาคู่นั้นหวั่นสะทก
ก็รู้ว่าในหัวอกมีหัวใจ
โซ่ประตูตรึงผูกถูกกระชาก
เสียงแห่งความทุกข์ยากก็ยิ่งใหญ่
สว่างแวบแปลบพร่ามาไรไร
ก็รู้ได้ว่าทางยังพอมี
มือที่กำหมัดชื้นจนชุ่มเหงื่อ
ก็ร้อนเลือดเดือดเนื้อถนัดถนี่
กระหืดหอบฮวบล้มแต่ละที
ก็ยังดีที่ได้สู้ได้รู้รส
นิ้วกระดิกกระเดี้ยได้พอให้เห็น
เรี่ยวแรงที่แฝงเร้นก็ปรากฏ
ยอดหญ้าแยงหินแยกหยัดระชด
เกียรติยศแห่งหญ้าก็ระยับ
สี่สิบปีเปล่าโล่งตลอดย่าน
สี่สิบล้านไม่เคยเขยื้อนขยับ
ดินเป็นทรายไม้เป็นหินจนหักพับ
ดับและหลับตลอดถ้วนทั้งตาใจ
นกอยู่ฟ้านกหากไม่เห็นฟ้า
ปลาอยู่น้ำย่อมปลาเห็นน้ำไม่
ไส้เดือนไม่เห็นดินว่าฉันใด
หนอนย่อมไร้ดวงตารู้อาจม
ฉันนั้นความเปื่อยเน่าเป็นของแน่
ย่อมเกิดแก่ความนิ่งทุกสิ่งสม
แต่วันหนึ่งความเน่าในเปือกตม
ก็ผุดพรายให้ชมซึ่งดอกบัว
และแล้วความเคลื่อนไหวก็ปรากฏ
เป็นความงดความงามใช่ความชั่ว
มันอาจขุ่นอาจข้นอาจหม่นมัว
แต่ก็เริ่มจะเป็นตัวจะเป็นตน
พอเสียงร่ำรัวกลองประกาศกล้า
ก็รู้ว่าวันพระมาอีกหน
พอปืนเปรี้ยงแปลบไปในมณฑล
ก็รู้ว่าประชาชนจะชิงชัย
............................................................
ขอแจม ๆ เรื่อง "ประชาธิปไตยไม่ใช่ประชาชนเป็นใหญ่"
เพราะหากไม่ใช่ทู้คำถามล่ะก็ เป็นทำได้แค่ตาละห้อย
จะซื้อซิมยืนยันก็ชี้เกียจ เบื่อ หุดหิด
เพราะสองซิมท้าย ยืนยันไปแล้วก็เหมือนไม่ได้ยืนยัน
ยืนยันไปหนึ่ง แต่ดันใช้ไม่ได้ ยืนยันไป ได้รหัสมา พอกรอก ระบบยังบอกหน้าตาเฉยว่า ยังไม่มีรหัส OTP เล่นเอาเซ็ง
อีกซิม ยันยันปั๊บ ตั้งไปได้ทู้เดียว โดนแบนปุ๊บ ชนิดไม่มีเตือน
ด้วยข้อหา "อาจดูหมิ่นผู้พิจารณาคดี" ทั้งที่เป็นกระทู้เนื้อหาทางข้อกฎหมาย ไม่ใช่กระทู้ตัวบุคคล
บ๊ะ หล่อแล้วยังขี้บ่น
เข้าเรื่อง ๆ เข้าเรื่อง "ประชาธิปไตยไม่ใช่ประชาชนเป็นใหญ่"
"ประชาธิปไตยไม่ใช่ประชาชนเป็นใหญ่" นี่ ผมเห็นว่า มีสองนัยยะครับ
หนึ่ง คือนัยยะทางสังคม คือความหมายว่า ไม่ใช่ประชาชนจะทำอะไรก็ได้ ต้องอยู่ภายใต้กรอบ กฎ กติกา กฎหมาย
สอง คือนัยยะทางการปกครอง อันนี้ "ประชาชนเป็นใหญ่" แน่ ๆ
ฉะนั้น หากตีความทางการปกครอง แล้วบอกว่า "ประชาธิปไตยไม่ใช่ประชาชนเป็นใหญ่" ผิดแน่ ๆ
ท่านพุทธทาสนั้น ผมว่าท่านหมายถึงสภาวะทางสังคม คือสภาวะทาง "ธรรม"
แล้วก็มีพวก "ถนัดฉวย" เก่งในเรื่องแถ บิดเบือน เอามาตีกินต่อว่า
เห็นไหม อริยสงฆ์ยังบอกว่าไม่ใช่ประชาชนเป็นใหญ่
ก็พวกสู้การเลือกตั้งไม่ได้นั่นแหละครับ ก็พวกนักลากตั้งนั่นแหละครับ ก็พวก "คนดี" ทั้งหลายนั่นแหละครับ
(แปลกนะ ประเทศไทยนี่แปลก คำว่า "คนดี" กำลังจะกลายเป็นศัพท์สำหรับคนชั่วไปซะงั้น)
ประเด็นในสภาวะ "ธรรม"
หากผู้ปกครองมีธรรม ผู้ใต้ปกครองมีธรรม อยู่ร่วมกันอย่างธรรม
ไม่จำเป็นต้องมีระบอบระบบอะไรเลยครับ จะตั้งชื่อว่าระบอบหมากัดกัน บ้านเมืองก็สุข
แต่เพราะนี่คือ "โลกียะ" เรา ทั้งในบ้านนี้เมืองนี้ ทั้งในสังคมโลก ล้วนร่วมกันอยู่ในโลกียะ
มีความต่าง หลากหลายในสภาวะ มี "ธรรม" ที่ไม่เหมือนกัน
คนเราจึงได้คิดกฎ กรอบ กติกา ขึ้นมาเพื่อเป็นเครื่องมือในการอยู่ร่วมกัน
ใครเห็นวิธีไหนดี แบบไหนดี ก็เอาไปใช้ จึงมีคำว่าระบอบนั้นระบอบนี้ขึ้นมา
เหมื่อย
เมื่อเราเลือก "ระบอบประชาธิปไตย" หนีไม่ได้ ปฏิเสธไม่ได้หรอกครับ
ว่าระบอบนี้ ต้องประชาชนเป็นใหญ่
แบบที่คุณเนาวรัตน์ว่าน่ะ ผิดล้วน ๆ ผิดแบบเจตนาให้ผิด เพื่อให้ตัวเองถูกเท่านั้นเอง
เพราะตอนนี้ตัวเองกำลังอยู่ในสภาวะ สปช. ที่ "หลุดจากประชาชน"
(ก็ขนาดร่างรัฐธรรมนูญ ยังดูเหมือนไม่ได้ร่างเพื่อประชาชน แต่เพื่อ..... เว้าบ่ได้ด๊อก ย่านหลาย ย่านถืกแบนอีก)
ประชาธิปไตยนั้น ทุกอย่างต้องมาจากการตัดสินใจ การมีส่วนร่วมของประชาชน
นี่แหละจึงเรียกว่าประชาชนเป็นใหญ่
แต่ไม่ได้หมายถึงต้อง "ทำตาม" ประชาชนไปทุกเรื่อง เพียงแต่ต้องฟัง ต้องตอบสนอง ต้องมองเห็นหัวประชาชน
เป็นเรื่องเข้าใจได้ไม่ยาก เป็นเรื่องสามัญ ๆ ปกติ ๆ ทั่วไป ธรรมดา ๆ
แต่มีการสร้าง "บริบท" และ "ตีความ" ให้ดูเหมือนซับซ้อนลึกซึ้ง เพื่ออ้างว่า การไม่ได้ยึดโยงประชาชนนั้นทำได้ไม่ผิด
ถ่อนั้นหละ
การอ้างถึง การใช้อำนาจเป็นธรรม ธรรมาภิบาล ธัมมาธิปไตย
อ้างได้ครับ พูดได้ครับ หรือจะประดิดประดอยคำอื่น ๆ มาอีกสักห้าคำสิบคำก็ได้
แต่คำถามคือ ประดิดประดอยแล้ว อ้างแล้ว หลุดออกจาก "โลกียะ" ไหมล่ะ
หรือแค่อ้างแล้ว ก็เสพสมในอาจมก้อนเดิม
ก็แค่เรื่อง เมื่อเลือกระบอบแล้ว ก็ต้องตามกติกา อย่ามาบิดเบือน สร้างตรรกะเห่ย ๆ อ้างนั่นอ้างนี่
เพราะสู้ตามกติกาไม่ได้ เพราะตัวเองดันมีส่วนร่วมกับการกระทำผิดกติกา
การบอกว่า ประชาธิปไตย คือการบริหารจัดการอำนาจประชาชนอยางเป็นธรรม
พูดได้ครับ แต่อย่าลืมสิ คนได้อำนาจจากประชาชนไปน่ะ คนที่เป็นประชาชนน่ะ เขาไม่ได้เป็นอรหันต์
บางเรื่องอาจมีวัตรปฏิบัติที่เป็นธรรม บางเรื่องอาจมีโลภ โกรธ หลง
เป็นเรื่องปกติธรรมโลก โลกที่เราอยู่ในโลกของโลกียะ กิน ขี้ ปี้ นอน
ปวดตับกับการประดิดประดอยถ้อยคำ
บ้านเมืองในวันนี้ ทำให้คิดถึงอมตะวลีของ "โค้วโต้หมง" คุณประสิทธิ์ กาญจนวัฒน์
"ยุ่งตายห....."
ส่วนใครทำให้ยุ่ง คิดเอาเองครับ
เมื่อย จบ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้