กระเป๋าใบสีดำเป็นของผม ซึ่งเป็นใบสุดท้าย ออกมาหลังจากผู้โดยสารท่านอื่นประมาณ 15 นาที ซึ่งขณะนั้น ผุ้โดยสารท่านอ่านรับกระเป๋าไปหมดแล้ว ส่วนใบซื้อสุดที่กำลังเลื่อนมา เป็นการวนในรอบใหม่ของที่ผู้โดยสารยังไม่มารับ
กระเป๋าใบนั้น
เรื่องมีอยู่ว่า
เมื่อวันอาทิตย์ที่ 19 กรกฎาคม 2558 ผมและแฟนมีกำหนดเดินทางจากท่าอากาศยานนานาชาติหาดใหญ่มายังท่าอากาศยานนานาชาติดอนเมือง ด้วยสายการบิน Thai Lion Air เที่ยวบินที่ JT 8541 ออกจากท่าอากาศยานนานาชาติหาดใหญ่ เวลา 22:05 ถึง ท่าอากาศยานนานาชาติดอนเมือง เวลา 23:25
ผมไปถึงสนามบินเวลาประมาณ 1 ทุ่ม แต่เคาท์เตอร์เช็คอินยังไม่เปิดให้บริการ ผมจึงใช้วิธีการเช็คอินออนไลน์เพื่อออกบัตรโดยสารออนไลน์ไปพลางก่อน
ประมาณ 2 ทุ่มกว่าๆ เมื่อเคาท์เตอร์เปิดให้บริการ ผมจึงไปที่เคาท์เตอร์ที่ 2 เพื่อให้ทางเจ้าหน้าที่ปริ๊นตั๋วโดยสารให้อีกครั้ง โดยนำบัตรประชาชนตัวเองและแฟนไปด้วย
พนักงานเคาท์เตอร์ที่ 2 : “แล้วอีกท่านที่เดินทางด้วยอยู่ไหนค่ะ”
ผม : “นั่งอยู่ตรงโน้นครับ”
พนักงานเคาท์เตอร์ที่ 2 : “รบกวนให้อีกท่านมาแสดงตัวด้วยค่ะ”
ผม : “ครับ แต่ เดี่ยวก่อน นี้ไม่ใช่การเชคอินนะครับ เพราะผมเชคอินแล้ว อีเมล์ยืนยันตั๋วก็ส่งมาแล้ว เพียงแต่ตอนนี้ผมไม่สามารถปริ๊นตั๋วออกมาได้ คุณปริ๊นให้ไม่ได้หรือครับ”
พนักงานเคาท์เตอร์ที่ 2 : “ไม่ได้ค่ะ การเชคอิน ต้องแสดงตัวผู้โดยสารพร้อมบัตรประชาชนค่ะ”
ผม : “เข้าใจครับ แต่นี่ไม่ใช่การเชคอิน นี่เป็นการของให้ทางคุณปริ๊นบัตรโดยสารให้เท่านั้น”
พนักงานเคาท์เตอร์ที่ 2 : “ไม่ได้ค่ะ การเชคอิน ต้องแสดงตัวผู้โดยสารพร้อมบัตรประชาชนเท่านั้นค่ะ”
ผม : “ครับ งั้นผมถามใหม่ ถ้าผมเชคอินออนไลน์ แล้วผมปริ๊นตั๋วมา ผมต้องมาเชคอินตรงนี้อีกมั้ย”
พนักงานเคาท์เตอร์ที่ 2 : “ไม่ต้องค่ะ คุณสามารถไปรอขึ้นเครื่องได้เลย”
ผม : “นั้นก็ไม่ต่างอะไรกันซิครับ เพราะผมเชคอินแล้ว ตั๋วก็ส่งมาทางอีเมล์แล้ว นี่ผมขอให้คุณปริ๊นตั๋วให้แค่นั้น แต่ไม่ต้องให้ผู้โดยสารมาแสดงตัว งั้นผมก็ใช้หลักฐานในมือถือผมได้ซิครับ”
พนักงานเคาท์เตอร์ที่ 2 : “ไม่ได้ค่ะ ระบบของเรา ยังไม่รองรับการใช้มือถือ”
ผม : “อ้าว ทำไมแอร์เอเชียทำได้ ทางคุณทำไม่ได้ แย่มาก แย่กว่าแอร์เอเชียอีก นี่ไม่รวมการถือวิสาสะเปลี่ยนไฟล์ทน่ะ ผมจอง 2 ทุ่มกว่า พวกคุณก็เปลี่ยนมาเป็น สี่ทุ่มกว่า”
พนักงานเคาท์เตอร์ที่ 2 : “คุณไม่สามารถมาว่าเราแบบนั้นน่ะค่ะ”
ผม : “ทำไมจะไม่ได้ ในเมื่อบริการของคุณแย่กว่า แอร์เอเชียจริง งั้นปริ๊นมา!!!”
หลังจากนั้น พนักงานท่านนั้นก็ปริ๊นให้ผม และคืนบัตรประชาชนให้ผม โดยยังไม่ยอมคืนบัตรประชาชนของแฟนผม
ผม : “เอาบัตรประชาชนแฟนผมมา!!!” แล้วผมก็เดินไปตามแฟนเพื่อมาออกตั๋ว
ระหว่างนั้น ผู้โดยสารท่านอื่นก็เชคอินอยู่ แต่ไม่มาก จนกระทั่งแฟนผมเข้ามา และยืนรอการให้บริการในเคาท์เตอร์ที่ 1 ซึ่งอยู่ติดกับเคาท์เตอร์ที่ 2 ซึ่งขณะนั้น ไม่มีผู้โดยสารท่านอื่นแล้ว
แฟนผมยืนอยู่ประมาณ 5 นาที โดยที่พนักงานเคาท์เตอร์ที่ 1 ไม่ให้ความสนใจ แต่ยังคงนินทากันอยู่ จนกระทั่งมีประโยคหนึ่งออกมาว่า
พนักงานเคาท์เตอร์ที่ 2 : “คอยดูน่ะ ฉันจะแกล้งออกที่นั่งให้พวกมันนั่งแยกกัน”
พนักงานเคาท์เตอร์ที่ 1 : “เออดี จับพวกมันนั่งแยกกันเลย”
ตอนนั้นแฟนมั่นใจแล้วว่าทั้ง 2 คน กำลังนินทาเราอยู่อย่างแน่นอน (เขาไม่รู้ว่าแฟนผมคือคู่กรณีอีกคนที่เขาให้ไปตาม)
แฟนผมก็พูดเสียงดังว่า “อะไรค่ะ”
พนักงานเคาท์เตอร์ที่ 1 : “เปล่าค่ะ” (หน้าเริ่มถอดสี) แล้วก็หันมาออกตั๋วให้จนเสร็จ
แฟนผมหันไปมองพนักงานเคาท์เตอร์ที่ 2
แล้วพูดว่า : “นี่อย่าคิดว่าไม่รู้น่ะ ว่ากำลังคุยถึงใคร คนที่มาเมื่อกี้ใช่มั้ย”
พนักงานเคาท์เตอร์ที่ 2 : “เปล่าค่ะ” (หน้าถอดสีอีกคน)
แล้วแฟนผมก็นำเรื่องที่พนักงานพูดว่าจะแกล้งให้นั่งแยกกันมาเล่าให้ฟัง ผมคิดว่ามันไม่ใช่ล่ะ ที่พนักงานจะใช้วิธีการแกล้งลูกค้ากลับคืนโดยวิธีนี้ จึงคิดว่าจะนำเรื่องไปร้องเรียนที่สำนักงานใหญ่ จึงเดินไปถ่ายรูปพนักงานทั้งหมดไว้ โดยขณะนั้นมีเสียงแว่วมาว่า “มีคนกำลังถ่ายรูป มีคนกำลังถ่ายรูป”
แล้วผมก็เดินขึ้นบันไดเลื่อนเพื่อขึ้นไปยังชั้น 2
เมื่อเดินมาถึงหน้าประตูทางเข้าห้องพักผู้โดยสาร ได้มีพนักงานภาคพื้นของสายการบินดังกล่าว ซึ่งเป็นผู้ชาย ดักตัวตรงทางเข้าและเชิญตัวออกไปด้านข้าง แล้วถามว่าเกิดอะไรขึ้น
ผมก็เล่าทุกอย่างให้ฟัง โดยนำรูปให้เขาดูว่าคนไหนว่าอะไรบ้าง แล้วพนักงานท่านนี้ก็ขอให้ผมลบรูป โดยเขาถ่ายรูปมือถือก่อนลบและหลังลบ
หลังจากนั้นเขาจะถ่ายรูปเราทั้งสอง ผมบอกว่า ทำไมต้องถ่ายรูปเราด้วย คุณไม่มีสิทธิถ่าย ซึ่งตอนนั้นเขาถ่ายไปแล้วและผมก็ไม่ได้ขอให้เขาลบ เพราะผมคิดว่า ความจริงก็คือความจริง เขาสามารถนำชื่อผม (จากบัญชีผู้โดยสาร) ไปค้นหารูปผม ประวัติผม หรือตัวตนของผมได้อย่างแน่นอน โดยที่ผมไม่มีอะไรจะต้องปกปิด ไม่เหมือนกันพวกเขาที่ผมไม่รู้เลยว่าเขาชื่ออะไร
ก่อนที่เขาจะปล่อยให้ผมเข้าไปในห้องพักผู้โดยสาร
เขาพูดทิ้งท้ายว่า “เดียวคุณจะต้องถูกสอบสวนอีกครั้ง ก่อนขึ้นเครื่อง” (คำพูดนี้หมายความว่าไง เป็นการข่มขู่ใช่หรือไม่)
ผมตอบกลับไป ไม่มีปัญหา เอาพนักงานคนนั้นมาคุยด้วยก็ได้ จะได้รู้อะไรเป็นอะไร
เมื่อผมเข้าไปในนั้น ก็นั่งคิดตลอดเวลาเดี่ยวจะต้องโดนอะไรอีกหรือไม่ เช่น
1.) อาจะจะมีเจ้าหน้าที่เข้ามาเพื่อสอบสวนสถานการณ์อีกครั้ง แล้วสร้างให้เป็นปัญหาเพื่อให้เครื่องดีเลย์ แล้วจะทำให้ผู้โดยสารทั้งลำมองว่าเราคือตัวปัญหา (เหตุการณ์นี้ไม่เกิด เกิดเพียงแค่การดักถามตอนฉีกตั๋วอีกครั้ง โดยที่แฟนผมบอกว่า เราตอบไปหมดแล้ว)
2.) อาจจะมีเข้าหน้าที่มาเชิญตัว แล้วแจ้งให้เรานั่งแยกกัน (เหตุการณ์นี้ไม่เกิด ได้นั่งตามปกติ)
3.) การกักตัวที่ดอนเมืองและเชิญตัวไปคุยอีกครั้ง (แต่คิดว่ายาก เพราะไม่ต้องมีการประทับวีซ่าเหมือนกรณีต่างประเทศ และเหตุการณ์นี้ก็ไม่เกิด)
4.) การถ่วงเวลาให้กระเป๋าเราไม่มาทางสายพาน หรือมาช้ากว่าคนอื่น (ซึ่งเหตุการณ์นี้ก็เกิดขึ้นจริง)
เมื่อใกล้เวลาขึ้นเครื่อง พนักงานประกาศให้ผู้โดยสารเข้าแถวเพื่อขึ้นเครื่อง ผมกับแฟนยืนคนละแถว แฟนเดินถึงก่อน ก็มีเจ้าหน้าที่มาถามเรื่องการตั้งครรภ์และให้เซ้นต์ใบรับทราบการเดินทางของผู้ตั้งครรภ์
ระหว่างนั้นผมก็เดินถึงพนักงานฉีกตั๋ว ซึ่งเขามองหน้าผมแต่ผมไม่สนใจ เมื่อฉีกตั๋วเสร็จ ผมเดินออกมารอแฟนตรงทางเดินไปยังเครื่อง แฟนยังไม่เสร็จ เจ้าหน้าที่ 2 คนมายืนคุยด้วย
ทราบต่อมาว่าเจ้าหน้าที่ได้ถามว่า “ถ่ายรูปพนักงานไว้ มีอะไรหรอค่ะ”
แฟนผมตอบว่า “ดิฉันไม่อยากจะพูดอะไรมากแล้ว ทางคุณก็ลบรูปเราแล้ว และทางคุณก็ถ่ายรูปเราไว้แล้ว ซึ่งเราก็ไม่ได้ขอให้ทางคุณลบ”
แฟนผมจึงเดินออกมา ระหว่างนั้น ยังคงมีเจ้าหน้าที่ภาคพื้นยืนเป็นจุดๆ และมองมายังเราตลอดเวลา จนกระทั่งถึงปลายงวงที่ประตูเครื่อง ก็ยังมีอีก 2 คนที่มองเราอย่างสายตาเคียดแค้น
พอกันทีครับ กับสายการบินที่บอกว่าจะโค่น แอร์เอเชียในอีก 5 ปี
เพิ่มเติมประสบการณ์ออกตั๋วออนไลน์ ออกตั๋วแทนบุคคลอื่น และออกตั๋วแบบหมู่คณะ
1. การออกตั๋วออนไลน์ของสายการบินอื่นๆ ที่เคยใช้บริการ เช่น แอร์เอเชีย เมื่อเชคอินแล้ว จะสามารถปริ๊นตั๋วมาใช้แทนได้เลย หรือเลือกแบบมีบาร์โคตรให้มาปริ๊นตั๋วจากเครื่องออกตั๋วอัตโนมัตอีกครั้ง ก็ได้ แต่ที่เคยเจอคือ คลิ๊กว่าปริ๊นตั๋วผ่านมือถือ ซึ่งไม่สามารถปริ๊นได้ มายังตู้อัตโนมัตก็ออกไม่ได้ มีพนักงานของแอร์เอเชียมาถาม แล้วก็ช่วยดำเนินการโดยเดินไปปริ๊นที่ตั๋วที่เคาท์เตอร์ให้เรา โดยที่เราไม่ต้องเดินไปด้วย บอกเลยประทับใจ
2. เคยออกตั๋วให้ผู้ใหญ่หลายต่อหลายครั้ง โดยผู้ใหญ่ติดประชุมบ้าง ติดบรรยายบ้าง และอาจจะมาออกตั๋วด้วยตนเองไม่ทัน เพียงเรานำบัตรประชาชนหรือพาสปอร์ตมาแสดงก็ออกตั๋วแทนได้
3. เคยจัดคณะเดินทางต่างประเทศและในประเทศบ่อย ใช้วิธีการออกตั๋วโดยรวบรวมบัตรประชาชนหรือพาสปอร์ตออกตั๋วลักษณะหมู่คณะบ่อย ก็ไม่เห็นต้องแสดงตัวเป็นรายบุคคล เพราะ...
ขั้นตอนสุดท้ายก่อนขึ้นเครื่อง ก็จะมีการตรวจสอบตั๋วกับบัตรประชาชนหรือพาสปอร์ตอีกครั้งเพื่อยืนยันตัวตน ซึ่งขั้นตอนนั้น เราก็ไม่เคยปฏิเสธการตรวจสอบ
สรุปประเด็น
1 หัวข้อตั้งแบบสบายๆ คำที่ใช้คือ "อาจจะ" แล้วกระเป๋ามาเลทซะขนาดนั้น ไม่คิดไม่ได้แล้ว
2 ประเด็นที่ต้องการเน้นคือ การให้ข้อมูลผิดๆ และไม่รับผิดของของพนักงาน
3 การนินทาลูกค้า และการมีความคิดที่จะแยกที่นั่งผู้โดยสาร ซึ่งหมายถึงมารยาทของงานบริการ
4 การ ดักและเชิญตัว อาจเป็นวิธีการชี้แจงที่ดี แต่มีการพูดจาข่มขู่ ต้องการอะไร
5 พฤติกรรมการร่วมมือกันของพนักงานภาคพื้นในการกดดันผู้โดยสาร ความรู้สึกขณะนั้นคือ อยากเปลี่ยนไปนั่งสายการบินอื่นมาก แต่ดึกแล้ว
จงอย่ามีปัญหากับพนักงานภาคพื้นของสายการบินสิงโต เพราะกระเป๋าคุณอาจจะมาเลท 15 นาที และเป็นใบสุดท้าย!!!
กระเป๋าใบสีดำเป็นของผม ซึ่งเป็นใบสุดท้าย ออกมาหลังจากผู้โดยสารท่านอื่นประมาณ 15 นาที ซึ่งขณะนั้น ผุ้โดยสารท่านอ่านรับกระเป๋าไปหมดแล้ว ส่วนใบซื้อสุดที่กำลังเลื่อนมา เป็นการวนในรอบใหม่ของที่ผู้โดยสารยังไม่มารับ
กระเป๋าใบนั้น
เรื่องมีอยู่ว่า
เมื่อวันอาทิตย์ที่ 19 กรกฎาคม 2558 ผมและแฟนมีกำหนดเดินทางจากท่าอากาศยานนานาชาติหาดใหญ่มายังท่าอากาศยานนานาชาติดอนเมือง ด้วยสายการบิน Thai Lion Air เที่ยวบินที่ JT 8541 ออกจากท่าอากาศยานนานาชาติหาดใหญ่ เวลา 22:05 ถึง ท่าอากาศยานนานาชาติดอนเมือง เวลา 23:25
ผมไปถึงสนามบินเวลาประมาณ 1 ทุ่ม แต่เคาท์เตอร์เช็คอินยังไม่เปิดให้บริการ ผมจึงใช้วิธีการเช็คอินออนไลน์เพื่อออกบัตรโดยสารออนไลน์ไปพลางก่อน
ประมาณ 2 ทุ่มกว่าๆ เมื่อเคาท์เตอร์เปิดให้บริการ ผมจึงไปที่เคาท์เตอร์ที่ 2 เพื่อให้ทางเจ้าหน้าที่ปริ๊นตั๋วโดยสารให้อีกครั้ง โดยนำบัตรประชาชนตัวเองและแฟนไปด้วย
พนักงานเคาท์เตอร์ที่ 2 : “แล้วอีกท่านที่เดินทางด้วยอยู่ไหนค่ะ”
ผม : “นั่งอยู่ตรงโน้นครับ”
พนักงานเคาท์เตอร์ที่ 2 : “รบกวนให้อีกท่านมาแสดงตัวด้วยค่ะ”
ผม : “ครับ แต่ เดี่ยวก่อน นี้ไม่ใช่การเชคอินนะครับ เพราะผมเชคอินแล้ว อีเมล์ยืนยันตั๋วก็ส่งมาแล้ว เพียงแต่ตอนนี้ผมไม่สามารถปริ๊นตั๋วออกมาได้ คุณปริ๊นให้ไม่ได้หรือครับ”
พนักงานเคาท์เตอร์ที่ 2 : “ไม่ได้ค่ะ การเชคอิน ต้องแสดงตัวผู้โดยสารพร้อมบัตรประชาชนค่ะ”
ผม : “เข้าใจครับ แต่นี่ไม่ใช่การเชคอิน นี่เป็นการของให้ทางคุณปริ๊นบัตรโดยสารให้เท่านั้น”
พนักงานเคาท์เตอร์ที่ 2 : “ไม่ได้ค่ะ การเชคอิน ต้องแสดงตัวผู้โดยสารพร้อมบัตรประชาชนเท่านั้นค่ะ”
ผม : “ครับ งั้นผมถามใหม่ ถ้าผมเชคอินออนไลน์ แล้วผมปริ๊นตั๋วมา ผมต้องมาเชคอินตรงนี้อีกมั้ย”
พนักงานเคาท์เตอร์ที่ 2 : “ไม่ต้องค่ะ คุณสามารถไปรอขึ้นเครื่องได้เลย”
ผม : “นั้นก็ไม่ต่างอะไรกันซิครับ เพราะผมเชคอินแล้ว ตั๋วก็ส่งมาทางอีเมล์แล้ว นี่ผมขอให้คุณปริ๊นตั๋วให้แค่นั้น แต่ไม่ต้องให้ผู้โดยสารมาแสดงตัว งั้นผมก็ใช้หลักฐานในมือถือผมได้ซิครับ”
พนักงานเคาท์เตอร์ที่ 2 : “ไม่ได้ค่ะ ระบบของเรา ยังไม่รองรับการใช้มือถือ”
ผม : “อ้าว ทำไมแอร์เอเชียทำได้ ทางคุณทำไม่ได้ แย่มาก แย่กว่าแอร์เอเชียอีก นี่ไม่รวมการถือวิสาสะเปลี่ยนไฟล์ทน่ะ ผมจอง 2 ทุ่มกว่า พวกคุณก็เปลี่ยนมาเป็น สี่ทุ่มกว่า”
พนักงานเคาท์เตอร์ที่ 2 : “คุณไม่สามารถมาว่าเราแบบนั้นน่ะค่ะ”
ผม : “ทำไมจะไม่ได้ ในเมื่อบริการของคุณแย่กว่า แอร์เอเชียจริง งั้นปริ๊นมา!!!”
หลังจากนั้น พนักงานท่านนั้นก็ปริ๊นให้ผม และคืนบัตรประชาชนให้ผม โดยยังไม่ยอมคืนบัตรประชาชนของแฟนผม
ผม : “เอาบัตรประชาชนแฟนผมมา!!!” แล้วผมก็เดินไปตามแฟนเพื่อมาออกตั๋ว
ระหว่างนั้น ผู้โดยสารท่านอื่นก็เชคอินอยู่ แต่ไม่มาก จนกระทั่งแฟนผมเข้ามา และยืนรอการให้บริการในเคาท์เตอร์ที่ 1 ซึ่งอยู่ติดกับเคาท์เตอร์ที่ 2 ซึ่งขณะนั้น ไม่มีผู้โดยสารท่านอื่นแล้ว
แฟนผมยืนอยู่ประมาณ 5 นาที โดยที่พนักงานเคาท์เตอร์ที่ 1 ไม่ให้ความสนใจ แต่ยังคงนินทากันอยู่ จนกระทั่งมีประโยคหนึ่งออกมาว่า
พนักงานเคาท์เตอร์ที่ 2 : “คอยดูน่ะ ฉันจะแกล้งออกที่นั่งให้พวกมันนั่งแยกกัน”
พนักงานเคาท์เตอร์ที่ 1 : “เออดี จับพวกมันนั่งแยกกันเลย”
ตอนนั้นแฟนมั่นใจแล้วว่าทั้ง 2 คน กำลังนินทาเราอยู่อย่างแน่นอน (เขาไม่รู้ว่าแฟนผมคือคู่กรณีอีกคนที่เขาให้ไปตาม)
แฟนผมก็พูดเสียงดังว่า “อะไรค่ะ”
พนักงานเคาท์เตอร์ที่ 1 : “เปล่าค่ะ” (หน้าเริ่มถอดสี) แล้วก็หันมาออกตั๋วให้จนเสร็จ
แฟนผมหันไปมองพนักงานเคาท์เตอร์ที่ 2
แล้วพูดว่า : “นี่อย่าคิดว่าไม่รู้น่ะ ว่ากำลังคุยถึงใคร คนที่มาเมื่อกี้ใช่มั้ย”
พนักงานเคาท์เตอร์ที่ 2 : “เปล่าค่ะ” (หน้าถอดสีอีกคน)
แล้วแฟนผมก็นำเรื่องที่พนักงานพูดว่าจะแกล้งให้นั่งแยกกันมาเล่าให้ฟัง ผมคิดว่ามันไม่ใช่ล่ะ ที่พนักงานจะใช้วิธีการแกล้งลูกค้ากลับคืนโดยวิธีนี้ จึงคิดว่าจะนำเรื่องไปร้องเรียนที่สำนักงานใหญ่ จึงเดินไปถ่ายรูปพนักงานทั้งหมดไว้ โดยขณะนั้นมีเสียงแว่วมาว่า “มีคนกำลังถ่ายรูป มีคนกำลังถ่ายรูป”
แล้วผมก็เดินขึ้นบันไดเลื่อนเพื่อขึ้นไปยังชั้น 2
เมื่อเดินมาถึงหน้าประตูทางเข้าห้องพักผู้โดยสาร ได้มีพนักงานภาคพื้นของสายการบินดังกล่าว ซึ่งเป็นผู้ชาย ดักตัวตรงทางเข้าและเชิญตัวออกไปด้านข้าง แล้วถามว่าเกิดอะไรขึ้น
ผมก็เล่าทุกอย่างให้ฟัง โดยนำรูปให้เขาดูว่าคนไหนว่าอะไรบ้าง แล้วพนักงานท่านนี้ก็ขอให้ผมลบรูป โดยเขาถ่ายรูปมือถือก่อนลบและหลังลบ
หลังจากนั้นเขาจะถ่ายรูปเราทั้งสอง ผมบอกว่า ทำไมต้องถ่ายรูปเราด้วย คุณไม่มีสิทธิถ่าย ซึ่งตอนนั้นเขาถ่ายไปแล้วและผมก็ไม่ได้ขอให้เขาลบ เพราะผมคิดว่า ความจริงก็คือความจริง เขาสามารถนำชื่อผม (จากบัญชีผู้โดยสาร) ไปค้นหารูปผม ประวัติผม หรือตัวตนของผมได้อย่างแน่นอน โดยที่ผมไม่มีอะไรจะต้องปกปิด ไม่เหมือนกันพวกเขาที่ผมไม่รู้เลยว่าเขาชื่ออะไร
ก่อนที่เขาจะปล่อยให้ผมเข้าไปในห้องพักผู้โดยสาร
เขาพูดทิ้งท้ายว่า “เดียวคุณจะต้องถูกสอบสวนอีกครั้ง ก่อนขึ้นเครื่อง” (คำพูดนี้หมายความว่าไง เป็นการข่มขู่ใช่หรือไม่)
ผมตอบกลับไป ไม่มีปัญหา เอาพนักงานคนนั้นมาคุยด้วยก็ได้ จะได้รู้อะไรเป็นอะไร
เมื่อผมเข้าไปในนั้น ก็นั่งคิดตลอดเวลาเดี่ยวจะต้องโดนอะไรอีกหรือไม่ เช่น
1.) อาจะจะมีเจ้าหน้าที่เข้ามาเพื่อสอบสวนสถานการณ์อีกครั้ง แล้วสร้างให้เป็นปัญหาเพื่อให้เครื่องดีเลย์ แล้วจะทำให้ผู้โดยสารทั้งลำมองว่าเราคือตัวปัญหา (เหตุการณ์นี้ไม่เกิด เกิดเพียงแค่การดักถามตอนฉีกตั๋วอีกครั้ง โดยที่แฟนผมบอกว่า เราตอบไปหมดแล้ว)
2.) อาจจะมีเข้าหน้าที่มาเชิญตัว แล้วแจ้งให้เรานั่งแยกกัน (เหตุการณ์นี้ไม่เกิด ได้นั่งตามปกติ)
3.) การกักตัวที่ดอนเมืองและเชิญตัวไปคุยอีกครั้ง (แต่คิดว่ายาก เพราะไม่ต้องมีการประทับวีซ่าเหมือนกรณีต่างประเทศ และเหตุการณ์นี้ก็ไม่เกิด)
4.) การถ่วงเวลาให้กระเป๋าเราไม่มาทางสายพาน หรือมาช้ากว่าคนอื่น (ซึ่งเหตุการณ์นี้ก็เกิดขึ้นจริง)
เมื่อใกล้เวลาขึ้นเครื่อง พนักงานประกาศให้ผู้โดยสารเข้าแถวเพื่อขึ้นเครื่อง ผมกับแฟนยืนคนละแถว แฟนเดินถึงก่อน ก็มีเจ้าหน้าที่มาถามเรื่องการตั้งครรภ์และให้เซ้นต์ใบรับทราบการเดินทางของผู้ตั้งครรภ์
ระหว่างนั้นผมก็เดินถึงพนักงานฉีกตั๋ว ซึ่งเขามองหน้าผมแต่ผมไม่สนใจ เมื่อฉีกตั๋วเสร็จ ผมเดินออกมารอแฟนตรงทางเดินไปยังเครื่อง แฟนยังไม่เสร็จ เจ้าหน้าที่ 2 คนมายืนคุยด้วย
ทราบต่อมาว่าเจ้าหน้าที่ได้ถามว่า “ถ่ายรูปพนักงานไว้ มีอะไรหรอค่ะ”
แฟนผมตอบว่า “ดิฉันไม่อยากจะพูดอะไรมากแล้ว ทางคุณก็ลบรูปเราแล้ว และทางคุณก็ถ่ายรูปเราไว้แล้ว ซึ่งเราก็ไม่ได้ขอให้ทางคุณลบ”
แฟนผมจึงเดินออกมา ระหว่างนั้น ยังคงมีเจ้าหน้าที่ภาคพื้นยืนเป็นจุดๆ และมองมายังเราตลอดเวลา จนกระทั่งถึงปลายงวงที่ประตูเครื่อง ก็ยังมีอีก 2 คนที่มองเราอย่างสายตาเคียดแค้น
พอกันทีครับ กับสายการบินที่บอกว่าจะโค่น แอร์เอเชียในอีก 5 ปี
เพิ่มเติมประสบการณ์ออกตั๋วออนไลน์ ออกตั๋วแทนบุคคลอื่น และออกตั๋วแบบหมู่คณะ
1. การออกตั๋วออนไลน์ของสายการบินอื่นๆ ที่เคยใช้บริการ เช่น แอร์เอเชีย เมื่อเชคอินแล้ว จะสามารถปริ๊นตั๋วมาใช้แทนได้เลย หรือเลือกแบบมีบาร์โคตรให้มาปริ๊นตั๋วจากเครื่องออกตั๋วอัตโนมัตอีกครั้ง ก็ได้ แต่ที่เคยเจอคือ คลิ๊กว่าปริ๊นตั๋วผ่านมือถือ ซึ่งไม่สามารถปริ๊นได้ มายังตู้อัตโนมัตก็ออกไม่ได้ มีพนักงานของแอร์เอเชียมาถาม แล้วก็ช่วยดำเนินการโดยเดินไปปริ๊นที่ตั๋วที่เคาท์เตอร์ให้เรา โดยที่เราไม่ต้องเดินไปด้วย บอกเลยประทับใจ
2. เคยออกตั๋วให้ผู้ใหญ่หลายต่อหลายครั้ง โดยผู้ใหญ่ติดประชุมบ้าง ติดบรรยายบ้าง และอาจจะมาออกตั๋วด้วยตนเองไม่ทัน เพียงเรานำบัตรประชาชนหรือพาสปอร์ตมาแสดงก็ออกตั๋วแทนได้
3. เคยจัดคณะเดินทางต่างประเทศและในประเทศบ่อย ใช้วิธีการออกตั๋วโดยรวบรวมบัตรประชาชนหรือพาสปอร์ตออกตั๋วลักษณะหมู่คณะบ่อย ก็ไม่เห็นต้องแสดงตัวเป็นรายบุคคล เพราะ...
ขั้นตอนสุดท้ายก่อนขึ้นเครื่อง ก็จะมีการตรวจสอบตั๋วกับบัตรประชาชนหรือพาสปอร์ตอีกครั้งเพื่อยืนยันตัวตน ซึ่งขั้นตอนนั้น เราก็ไม่เคยปฏิเสธการตรวจสอบ
สรุปประเด็น
1 หัวข้อตั้งแบบสบายๆ คำที่ใช้คือ "อาจจะ" แล้วกระเป๋ามาเลทซะขนาดนั้น ไม่คิดไม่ได้แล้ว
2 ประเด็นที่ต้องการเน้นคือ การให้ข้อมูลผิดๆ และไม่รับผิดของของพนักงาน
3 การนินทาลูกค้า และการมีความคิดที่จะแยกที่นั่งผู้โดยสาร ซึ่งหมายถึงมารยาทของงานบริการ
4 การ ดักและเชิญตัว อาจเป็นวิธีการชี้แจงที่ดี แต่มีการพูดจาข่มขู่ ต้องการอะไร
5 พฤติกรรมการร่วมมือกันของพนักงานภาคพื้นในการกดดันผู้โดยสาร ความรู้สึกขณะนั้นคือ อยากเปลี่ยนไปนั่งสายการบินอื่นมาก แต่ดึกแล้ว