สุรินทร์ซิตี้กับองศาที่แตกต่าง

จากกระทู้ก่อนที่ผมได้ตั้งเขียนเพียงเพื่อหวังว่าจะได้อ่านและเข้ามาถกกันถึงปัญหา มุมมอง และแนวคิดเกี่ยวกับทีมสุรินทร์ซิตี้ จากที่ได้อ่านมาไม่ว่าในเว็ปไซต์นี้ หรือเพจอื่นๆ คำถามกลับที่ถือได้ว่าเจอบ่อย รวมถึง คำประชดประชันค่อนแคะที่ถือว่าถี่ ผมจะขอนำมาชี้แจงสักนิดนะครับ
หมายเหตุ นี่คือความเห็นส่วนตัว ไม่ใช่ความเห็นโดยตรงจากสโมสรหรือทีมงานทางใดทั้งสิ้น จะไม่มีการตัดสินว่าใครถูกใครผิด จะเป็นความเห็นในมุมมองของคนที่ดูบอลเพียงเท่านั้น และเราจะเริ่มด้วยคำถามยอดฮิตกันเลย

1. บุรีรัมย์ผิดใช่มั๊ยที่เข้ามาสนับสนุนสุรินทร์? – ถ้าคำถามนี้ไม่ได้ถูกถามด้วยอารมณ์ก็จะถือว่าเป็นคำถามที่ดีมากคำถามหนึ่งเลย บุรีรัมย์ยูฯไม่ผิดครับ ไม่ว่าจะมองเหลี่ยมไหนมุมไหนบุรีรัมย์ยูฯก็ไม่ผิด ก่อนอื่นเราต้องเข้าใจว่า บุรีรัมย์ยูฯคือบริษัทๆหนึ่ง การดำเนินการทุกอย่างย่อมหวังผลกำไรในการประกอบการเพื่อเลี้ยงตัวเองและสมาชิกในองค์กรให้อยู่รอดและก้าวไปข้างหน้า ดังนั้นการที่บุรีรัมย์ยูฯดำเนินการแบบนี้กับสุรินทร์จึงไม่ใช่เรื่องผิดแปลกแต่อย่างใด เพราะอย่างที่กล่าวมาข้างต้นบุรีรัมย์ยูฯไม่ใช่องค์กรเพื่อการกุศล

2. บุรีรัมย์ยูฯเข้ามาสนับสนุนอย่างนี้แล้วทำไมคนสุรินทร์จึงยังไม่พอใจอีก? – คือคำถามนี้เป็นคำตอบที่ยากครับ ลองขึ้นต้นด้วยคำว่า “พอใจ” เนี่ยคงหาจุดลงตัวกันยาก แต่คำถามก็ใช่ว่าจะไม่มีคำตอบแบบสมเหตุสมผลให้ซะทีเดียวนะครับ ก่อนอื่น แฟนๆบุรีรัมย์ยูฯที่กำลังหงุดหงิดกับเรื่องนี้กันอยู่ต้องเข้าใจกันนิดนึงครับ ท่านเข้าใจว่าบุรีรัมย์ยูฯลงทุนให้ทุกอย่างไม่ว่าจะเป็น นักเตะ สต๊าฟโค้ช เงินเดือน เบี้ยเลี้ยงซ้อม ที่หลับที่นอนตลอดจนอาหารการกิน สุรินทร์มีหน้าที่เพียงให้สนามลงแข่ง ทีนี้ท่านลองหลับตานึกดูครับว่าการจัดการทุกอย่างที่แท้จริงเริ่มจากที่ใหน แล้วคนสุรินทร์จะได้ประโยชน์จากตรงนี้มากน้อยแค่ใหน แยกออกมาเป็นข้อๆก็พอได้แบบนี้ครับ

    - ชั้นผู้ชม ชั้นแฟนบอล ชั้นแฟนคลับ – ได้เห็นการเล่น การวางแผน การขึ้นเกมส์ที่แทบจะถอดแบบหรือใช้พิมพ์เขียวเดียวกับทีมใหญ่เลย แน่นอนว่ามันเป็นการวางหมากที่สนุกเอนท์เตอร์เทนคนดูล้วนๆ แต่ประโยชน์นอกเหนือจากนี้ผมนึกไม่ออก
    - ชั้นผู้บริหาร และผู้ที่สนใจในหลักการบริหาร – นี่คือโอกาสทองฝังเพชรเลยครับที่คนสุรินทร์จะสามารถเก็บเกี่ยวการทำงานแบบมืออาชีพได้อย่างใกล้ชิด หากว่าการศึกษานั้นทำเพื่อที่จะต่อยอดในการพัฒนาหรือเพิ่มเติมให้กับแสนยานุภาพของตนเองในยามที่บุรีรัมย์ยูฯได้ก้าวจากไป ตรงนี้ผมมองว่ามีประโยชน์มากกว่า

เมื่อเห็นข้อดีมาแล้วก็ลองมาฟังข้อเสียจากคนพื้นที่กันบ้างว่าเขามองเห็นมุมไหนของปัญหาที่ถือว่าทับซ้อนไม่ต่างจากกรณี หมู่เกาะสแปลชลี่ย์ในทะเลจีนใต้
    - ชั้นผู้ชม ชั้นแฟนบอล ชั้นแฟนคลับ – แน่อนว่าเมื่อทุกอย่างถูกอิมพอร์ตมาจากนอก และใช้แต่ผลิตภัณฑ์จากเมืองนอก OTOP ในพื้นที่ย่อมถูกหมางเมินแม้ว่า ผลิตภัณฑ์ตัวนั้นจะโดดเด่นสักแค่ไหน เช่นเดียวกันครับ หลายๆคนอาจจะบอกว่า นักเตะอคาเดมี่ฝีมือเยี่ยม นั้นเพราะน้องๆผ่านการขัดเกลาและฝึกฝนในรูปแบบวิทยาศาสตร์ครับ ตัดกลับมาที่นักเตะท้องถิ่น อาจจะเจิดจรัสด้วย พรสวรรค์ แต่ก็ลำบากในการที่จะสอดแทรกและหาพรแสวงในทีม เพราะทุกอย่างต้องตามขั้นตอนของบุรีรัมย์ยูฯเท่านั้น การที่อยู่ๆจะไปเอาเด็กที่ไหนมาลงเล่นกับทีมที่หล่อหลอมกันมานาน ผลเสียคงมากกว่าผลดี และนี่จึงเป็นที่มาที่คนดูบอลเขากล่าวถึงกันครับ
    - ชั้นผู้บริหาร – จะเกิดปัญหาขึ้นมาทันทีที่บุรีรัมย์ยูฯปล่อยมือออกไป เพราะอะไร เพราะว่าที่ผ่านมาบุรีรัมย์ยูฯจัดการทุกอย่างเองหมด และตรงที่จัดการก็ถือว่าเป็นเรื่องสำคัญเป็นหัวใจของทีมฟุตบอลด้วยนะครับ และนั่นเท่ากับว่า ผู้บริหารสายสุรินทร์จะมีประสบการณ์ที่อาจจะน้อยไปนิดเมื่อต้องรับบทบาทที่ถือว่าหนักหากต้องควบคุมทุกการบริหารสั่งการทุกอย่างในภาพรวม และที่สำคัญ การวางคนให้ถูกกับงาน เรื่องนี้ทางฝรั่งทางญี่ปุ่น ให้ความสำคัญมาก ตรงนี้อาจจะเป็นปัญหาใหญ่ขึ้นถ้าทางผู้บริหารสายสุรินทร์ไม่ได้เรียนรู้จากของจริง

3. “ไม่ดีเหรอเขาทำให้แทบทุกอย่าง ยังไปต่อว่าเขาอีก วันไหนเขาถอนทีมออกจะรู้สึก” – ตามหลัก สรีระศาสตร์ อวัยวะทุกส่วนของร่างกายมนุษย์ถูกออกแบบให้มาโดยธรรมชาติเพื่อให้มันถูกใช้งานให้เหมาะสม แน่นอนครับ ขามีไว้เดิน มือมีไว้หยิบจับ คงเป็นเรื่องที่น่าสนุกและสะดวกสบายไม่น้อยถ้าจะมีคนคอยแบกคอยหามเราตลอดเวลา จะกินก็คอยป้อน แต่....แต่ เราเคยนึกบ้างมั๊ยครับว่า อวัยวะ ในส่วนที่ไม่ได้ใช้งานเลยมันจะ เสื่อม สภาพไปเรื่อยๆ กล้ามขาของนักวิ่งและนักบอลหากนั่งเฉยๆคงไม่มีทางได้มันมาแน่ เอาง่ายๆ ทำไม นก มันต้องหัดบิน ธรรมชาติสอนให้มันเรียนรู้ในการเอาตัวรอดครับ การงอมืองอเท้าคอยแค่ชะเง้อคอกับแหกปากรออาหารที่พร้อมจะหย่อนลงมาที่ปากนั่นไม่ใช่สิ่งที่ธรรมชาติให้มาแน่ แล้วลองนึกดูครับว่า ทีมสุรินทร์แบบทุกวันนี้คือทีมที่วิวัฒนาการตามธรรมชาติ หรือว่าเป็นทีมที่วิวัฒนาการในแนวขวาง เข้าใจกันนะครับ

4. “ถ้างั้นคุณมาเป็นสปอนเซอร์เองเลย บอกไปที่เนวินเลยสิ” – นี่คือคำถามที่เต็มไปด้วยอารมณ์ และอาจแสดงออกถึงความเขลา ฟังนะครับ เมื่อใดก็ตามที่การสนทนาวิสาสะกันมีคำว่า “ถ้า” ขึ้นมาเมื่อไหร่ให้เข้าใจไว้เลยว่านั่นคือ การพูดในสิ่งที่ไม่สามารถเป็นไปได้ เอาง่ายๆนะครับ “เนี่ยถ้าผมถูกรางวัลที่ 1 นะ” (สรุปแล้วถูกมั๊ย) “ถ้าฉันรวยจะสวยให้ดู” (สรุปคงทั้งไม่รวยและไม่สวย) “ถ้าไม่ไปดูบอลแฟนก็คงไม่บอกเลิก” (สรุปคุณย้อนเวลากลับไปไม่ได้) เห็นมั๊ยครับ การพูดด้วยอารมณ์ไม่ได้แสดงถึงความฉลาดขึ้นมาเลย จริงๆคำว่า “ถ้า” มันควรจะถูกใช้กับเหล่าเด็กน้อยวัยกำลังติดการ์ตูนมากกว่าที่จะมาเป็นคำพูดของผู้ใหญ่วัยปัญญาชนถกเถียงกัน ลองหลับตาดูครับ หากคุณเป็นผู้สื่อข่าวยื่นไมค์จ่อปากนายกฯแล้วถามออกไปถึงวิธีแก้ปัญหาต่างๆ แต่นายกฯกลับตอบมาว่า “ถ้างั้นคุณมาบริหารแทนผมสิ” ผมถามหน่อยคุณรู้สึกยังไง.....โอเคนะครับ ผมถือว่าคำถามแนวนี้ราคาถูกมาก จริงๆไม่คู่ควรกับการเอาขึ้นมาพิมพ์ด้วยซ้ำ แต่เห็นว่ามีคนถามแนวนี้กันเยอะก็เลยขอบอกกันไว้......ไม่โกรธกันนะครับ

5. “ก่อนหน้านั้นทำไมคนสุรินทร์ไม่ช่วยเหลือทีม” – จริงๆบอลลีก ดี2 มันเหมาะกับคำว่า “กึ่งอาชีพ” ที่สุดครับ เป็นการยากที่จะมาหวังกำรี้กำไรจากการทำทีมฟุตบอลในระดับ ดี2 เอาง่ายๆ นักบอลในทีม 15 คน รับเงินเดือนคนละ หมื่น ไหนจะเงินเดือนของทีมงานในส่วนต่างๆ ค่าบำรุงสนาม ค่าน้ำค่าไฟ ค่าใช้จ่ายยามออกไปเป็นทีมเยือน โอ๊ย เยอะ!!!! กลับมาดูรายรับกันบ้าง ค่าตั๋ว 50 บาท กับความจุที่เต็มที่ สามพัน ค่าของที่ระลึกตกนัดละ สองหมื่น บวกกับเงินรายได้จากสปอนเซอร์อีกสักหน่อย (ตรงนี้ต้องเข้าใจกันด้วยนะครับว่า สปอนเซอร์ตามต่างจังหวัดเขาไม่ได้จ่ายหนักเหมือนสปอนเซอร์ระดับชาติ) สปอนเซอร์บางรายให้มาเป็นสินค้าเพื่อหารายได้จากตรงนั้นเอง คิดบวกลบคูณหารดูแล้ว เจ็บตัวครับ กำไรใน3-4 ปีแรกอย่าเพิ่งไปหวัง มีแต่คำว่าจะต้องจ่ายเพิ่มอีกเท่าไหร่ ยิ่งนักเตะฝีเท้าดีรายจ่ายยิ่งต้องเพิ่มขึ้น แต่เมื่อไหร่ที่ทีมติดตลาด ติดหู ติดตาคนในพื้นที่ขึ้นมา ผมเชื่อว่า ปีที่ 5 น่าจะคือปีที่เริ่มได้รับผลตอบแทน ไม่ว่าจะในรูปเงินทอง ชื่อเสียง และเหนืออื่นใดคือ “ศรัทธาของคนในพื้นที่”  (แต่ตรงนี้สำคัญที่สุดคือ การวางคนให้ถูกกับงาน ด้วยนะครับ) เอาล่ะครับเข้าเรื่องสักที คนสุรินทร์อยากช่วยครับ แต่จะช่วยตรงไหน? เสียงรำพึงที่กระหึ่มขึ้นมาเรื่อยๆ มันไม่ได้ง่ายเหมือนการบริจาคเงินเพื่อซื้อเครื่องมือแพทย์ของรายการเรื่องเล่าเช้านี้นะครับ จะบริจาคที่ไหน บริจาคกะใคร แล้วต้องใช้วงเงินเท่าไหร่ แล้วบริจาคไปจะไว้ใจได้มั๊ย? นี่ก็คือคำถามที่คนสุรินทร์ก็อยากรู้ไม่น้อยไปกว่าท่านทั้งหลายหรอกครับ

6. ข้อนี้แถมครับ “สุรินทร์ซิตี้อยู่จุดไหนในเวทีโลก”  - เปรียบไป คนสุรินทร์ที่ไม่เห็นด้วย ไม่ค่อยจะเห็นด้วย ก็เหมือนกับ “ชาวปาเลสไตน์” ครับ และ ทีมอคาเดมี่ที่เข้ามาก็ไม่ต่างจาก “ชาวยิว” เป็นที่รู้กันดีครับว่าสองชาติพันธุ์นี้ง้องแง้งกันรุนแรงแค่ไหน เรื่องของเรื่องก็คือ ดินแดน และประเทศ ยิว นั้นถ้าติดตามข่าวสารจะรู้ดีว่ามีชาติใดเป็นแบ็คคอยหนุนหลังให้ แต่ถ้าคิดแบบนั้นก็ออกจะดูถูกชาวยิวเกินไป จริงๆ ชาวยิวเป็นชนชาติที่เก่งนะครับ แต่บางทีเหนือกว่าชาวบ้านชาวช่องเขาไปหน่อย อุปมาก็ไม่ต่างจาก ชาวสุรินทร์ที่ไม่เห็นด้วย ทีมอคาเดมี่ และบุรีรัมย์ยูฯ หรอกครับ เพียงแต่มันไม่ได้รุนแรงอะไรแบบนั้น จะมีบ้างก็บ่นๆปรับทุกข์กันไปตามประสา และท่านวางตัวละครสมมุติออกมั๊ยว่าใครเล่นบทไหนและทำไมจึงได้เล่นบทนั้น
  ยาวอีกแล้ว ถ้าอ่านแล้วรู้สึกไม่ดีก็ต้องขออภัยกันมา ณ ที่นี้ด้วยนะครับ และอย่าลืมว่า ไม่มีถูก ไม่มีผิด มีแต่ศรัทธาที่เรามอบให้ จะมากจะน้อยก็ว่ากันไป พูดคุยแบบปัญญาชน เกทับบลัฟกันแต่พอสนุก เพราะนี้คือ ทีวี 360 องสา......ไม่ใช่แล้วๆ เพราะนี่คือ ความเห็นส่วนตัว ขอบคุณครับ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่