พระอาจารย์เหรียญ วรลาโภ
วัดอรัญญบรรพต
อ.ศรีเชียงใหม่ จ.หนองคาย
...
บุคคลเรานี่น่ะเมื่อเราทำความดีไปแล้วอย่างนี้ ทำแล้วแล้วไป
ไม่มานั่งนึกตรึกตรอง ไม่มาประเมินดูผลแห่งการทำความดีของตน
อย่างนี้นะมันก็ไม่ได้ความปีติยินดีในความดีที่ตนทำ
เพราะฉะนั้นเมื่อตนทำความดีอะไรมาแล้ว ก็ไปนั่งภาวนาสำรวมใจให้แน่วแน่ลงไป
แล้วบัดนี้ก็พิจารณาความดีที่ตนทำมานั้นโดยลำดับ และเห็นว่า ความดีที่ตนทำมานั้น
ได้ทำจริงแล้วก็เป็นประโยชน์ตนเป็นประโยชน์แก่ผู้อื่นจริงทีเดียว
เมื่อมองเห็นได้อย่างนี้มันก็เกิดความปีติยินดีในความดีที่ตนทำนั้น
เมื่อเรารักษาจิตใจที่เอิบอิ่มอยู่ด้วยบุญกุศลความดีเหล่านั้น
เช่นนี้นี่บุญกุศลความดีเหล่านั้นก็ไม่สูญไม่หายจากจิตใจ
ติดสอยห้อยตามไปเหมือนกับเงาติดตามตัวไปฉันนั้น
แต่บางคนไม่เข้าใจอย่างนี้ก็มี คือว่าตนได้ทำความดี
ได้ให้ทานได้กราบได้ไหว้แล้วก็แล้วไปเลย
แล้วไม่ได้นั่งสงบจิตสงบใจรำพึงถึงความดีที่ตนทำมา
เช่นนี้นี่มันก็ไมได้ปีติในใจ เรื่องมันน่ะ
เพราะมันไม่มองเห็นรายละเอียดของความดีนั้น ๆน่ะ
ดังนั้นพระพุทธเจ้าจึงทรงสอนว่า ให้ภาวนานั่นแหละ
ภาวนานี่ก็คือ นั่งสำรวมจิต รวบรวมเอาบุญเอาคุณเข้ามาตั้งไว้ในจิตใจนี้
ให้มั่นคงนั่นแหละ ไม่ให้บุญคุณนั้นกระจายไปในที่อื่น
เพราะว่าใจนี้แหละจะรับเอาซึ่งบุญคุณนั้น สิ่งอื่นไม่มี
ไม่มีที่จะรับรองบุญคุณได้มีแต่ใจดวงเดียวนี้เท่านั้นเอง
ทีนี้เมื่อตนควบคุมใจตนเองไมได้แล้วทีนี้ใจมันก็ไม่ยอมรับเอาบุญเอาคุณนั้นแหละ
มันถูกกิเลสตัณหาฉุดคร่าไปตามอารมณ์ต่างๆเรื่องราวของโลกโดยส่วนเดียวเช่นนี้นะ
ใจของเราเป็นเช่นนี้แสดงว่ามันไม่ยอมรับรู้บุญคุณนะที่ตนทำมา
เมื่อเป็นเช่นนี้ผู้นั้นก็ทำไปเสียเปล่า ไม่ได้ที่พึ่ง
พิจารณาความดีตนให้ได้ปีติในใจ : หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ
พระอาจารย์เหรียญ วรลาโภ
วัดอรัญญบรรพต
อ.ศรีเชียงใหม่ จ.หนองคาย
...
บุคคลเรานี่น่ะเมื่อเราทำความดีไปแล้วอย่างนี้ ทำแล้วแล้วไป
ไม่มานั่งนึกตรึกตรอง ไม่มาประเมินดูผลแห่งการทำความดีของตน
อย่างนี้นะมันก็ไม่ได้ความปีติยินดีในความดีที่ตนทำ
เพราะฉะนั้นเมื่อตนทำความดีอะไรมาแล้ว ก็ไปนั่งภาวนาสำรวมใจให้แน่วแน่ลงไป
แล้วบัดนี้ก็พิจารณาความดีที่ตนทำมานั้นโดยลำดับ และเห็นว่า ความดีที่ตนทำมานั้น
ได้ทำจริงแล้วก็เป็นประโยชน์ตนเป็นประโยชน์แก่ผู้อื่นจริงทีเดียว
เมื่อมองเห็นได้อย่างนี้มันก็เกิดความปีติยินดีในความดีที่ตนทำนั้น
เมื่อเรารักษาจิตใจที่เอิบอิ่มอยู่ด้วยบุญกุศลความดีเหล่านั้น
เช่นนี้นี่บุญกุศลความดีเหล่านั้นก็ไม่สูญไม่หายจากจิตใจ
ติดสอยห้อยตามไปเหมือนกับเงาติดตามตัวไปฉันนั้น
แต่บางคนไม่เข้าใจอย่างนี้ก็มี คือว่าตนได้ทำความดี
ได้ให้ทานได้กราบได้ไหว้แล้วก็แล้วไปเลย
แล้วไม่ได้นั่งสงบจิตสงบใจรำพึงถึงความดีที่ตนทำมา
เช่นนี้นี่มันก็ไมได้ปีติในใจ เรื่องมันน่ะ
เพราะมันไม่มองเห็นรายละเอียดของความดีนั้น ๆน่ะ
ดังนั้นพระพุทธเจ้าจึงทรงสอนว่า ให้ภาวนานั่นแหละ
ภาวนานี่ก็คือ นั่งสำรวมจิต รวบรวมเอาบุญเอาคุณเข้ามาตั้งไว้ในจิตใจนี้
ให้มั่นคงนั่นแหละ ไม่ให้บุญคุณนั้นกระจายไปในที่อื่น
เพราะว่าใจนี้แหละจะรับเอาซึ่งบุญคุณนั้น สิ่งอื่นไม่มี
ไม่มีที่จะรับรองบุญคุณได้มีแต่ใจดวงเดียวนี้เท่านั้นเอง
ทีนี้เมื่อตนควบคุมใจตนเองไมได้แล้วทีนี้ใจมันก็ไม่ยอมรับเอาบุญเอาคุณนั้นแหละ
มันถูกกิเลสตัณหาฉุดคร่าไปตามอารมณ์ต่างๆเรื่องราวของโลกโดยส่วนเดียวเช่นนี้นะ
ใจของเราเป็นเช่นนี้แสดงว่ามันไม่ยอมรับรู้บุญคุณนะที่ตนทำมา
เมื่อเป็นเช่นนี้ผู้นั้นก็ทำไปเสียเปล่า ไม่ได้ที่พึ่ง