พระอาจารย์เหรียญ วรลาโภ
วัดอรัญญบรรพต
อ.ศรีเชียงใหม่ จ.หนองคาย
...
เราไม่ต้องหวั่นไหว เราไม่ต้องไปยกโทษใคร
ไม่ต้องไปคิดแก้แค้นตอบแทนใคร ถ้าไปคิดตอบแทนกันอยู่อย่างนั้น
มันก็เป็นกรรมเป็นเวรไม่รู้จักจบ “อุปาทานความยึดมั่นในความชั่ว”
เหล่านี้น้อยก็เป็นกรรมเป็นเวร มากก็เป็นกรรมเป็นเวรตามมากนั้นแหละ
เมื่อผู้ใดไม่เพียรละภายในจิตใจแล้ว
ไม่สอนใจของตนให้ละความยึดถือในความชั่ว
ความไม่พอใจ ความโกรธให้บุคคลผู้อื่นไว้ไม่รู้จักหาย
นึกถึงบุคคลนั้นมาเวลาใดก็ใจขุ่นมัวขึ้นมาอย่างนี้นะ
นั้นแหละมันเป็นกรรมเป็นเวรติดตามไปสนองน่ะ
ถ้าหากว่า ก่อนนั้นน่ะตนเคยเกลียดชังคนนี้มาจริง
แต่ว่า เมื่อตนได้มาเจริญสมถะวิปัสสนา
เห็นแจ้งเหตุปัจจัยชีวิตดังกล่าวมานี้แล้วตนก็อภัยให้เขาไปเลย
ไม่ผูกโกรธไปแล้ว
เพียรสอนใจของตนให้ยกโทษ
อภัยให้แก่ผู้ที่เป็นศัตรูกับตนเรื่อยไป เช่นนี้แล้ว
กรรมเวรอันเกิดจากโมโหโทโสมันก็หมดไป
มันก็ไม่ได้ติดตามไปสนองในชาติต่อๆไป ให้พากันเข้าใจ
นี่ล่ะการภาวนาการฝึกฝนอบรมจิตใจนี้
ก็เพื่อชำระล้างจิตดวงนี้ล่ะให้มันสะอาดปราศจากเวรภัยต่างๆนี้
เมื่อเวรทั้งหลายเหล่านี้มันระงับไปหมด
แต่มันไม่ใช่ว่ากิเลสมันหมดไปนะ มันยังอยู่
แต่ว่าเป็นกิเลสชั้นดี กิเลสชั้นนี้ก็พาให้ท่องเที่ยว
เกิดแก่เจ็บตายไปในสงสารแต่ว่า ส่วนมากก็เกิดเป็นมนุษย์
สูงกว่านั้นก็เกิดเป็นเทวดา สูงไปกว่านั้นก็เกิดเป็นพรหม
นี่เรียกว่า ท่านก็จัดว่าเป็นกิเลสเหมือนกันแหละมันพาให้เกิดอีกอย่างนี้นะ
แต่เป็นกิเลสที่ประกอบไปด้วยบุญกุศล ไม่เป็นกิเลสประกอบไปด้วยบาป
นี่มันต้องแยกแยะออกให้เข้าใจอย่างนี้ เมื่อผู้ใดรู้มีปัญญา
แยกแยะออกได้อย่างนี้แล้ว ผู้นั้นก็จะขยันทำบุญกุศลความดี
เริ่มต้นด้วยการให้ทานมา มารักษาศีลให้บริสุทธิ์
มาเจริญสมถะวิปัสสนาภาวนา อบรมสติปัญญาให้เกิดขึ้นหมู่นี้
เมื่อผู้บำเพ็ญข้อปฏิบัติให้ก้าวขึ้นไปเรื่อยๆอย่างนี้
ก็เรียกว่าเป็นผู้ทำความดีสูงขึ้นไปเรื่อยๆ ไม่หยุดอยู่ที่เดิม
...
ส่วนหนึ่งจากพระธรรมเทศนาหัวข้อ
"กรรมปางก่อน"
ชำระจิตนี้ให้ปราศจากเวรภัย : หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ
พระอาจารย์เหรียญ วรลาโภ
วัดอรัญญบรรพต
อ.ศรีเชียงใหม่ จ.หนองคาย
...
เราไม่ต้องหวั่นไหว เราไม่ต้องไปยกโทษใคร
ไม่ต้องไปคิดแก้แค้นตอบแทนใคร ถ้าไปคิดตอบแทนกันอยู่อย่างนั้น
มันก็เป็นกรรมเป็นเวรไม่รู้จักจบ “อุปาทานความยึดมั่นในความชั่ว”
เหล่านี้น้อยก็เป็นกรรมเป็นเวร มากก็เป็นกรรมเป็นเวรตามมากนั้นแหละ
เมื่อผู้ใดไม่เพียรละภายในจิตใจแล้ว
ไม่สอนใจของตนให้ละความยึดถือในความชั่ว
ความไม่พอใจ ความโกรธให้บุคคลผู้อื่นไว้ไม่รู้จักหาย
นึกถึงบุคคลนั้นมาเวลาใดก็ใจขุ่นมัวขึ้นมาอย่างนี้นะ
นั้นแหละมันเป็นกรรมเป็นเวรติดตามไปสนองน่ะ
ถ้าหากว่า ก่อนนั้นน่ะตนเคยเกลียดชังคนนี้มาจริง
แต่ว่า เมื่อตนได้มาเจริญสมถะวิปัสสนา
เห็นแจ้งเหตุปัจจัยชีวิตดังกล่าวมานี้แล้วตนก็อภัยให้เขาไปเลย
ไม่ผูกโกรธไปแล้ว เพียรสอนใจของตนให้ยกโทษ
อภัยให้แก่ผู้ที่เป็นศัตรูกับตนเรื่อยไป เช่นนี้แล้ว
กรรมเวรอันเกิดจากโมโหโทโสมันก็หมดไป
มันก็ไม่ได้ติดตามไปสนองในชาติต่อๆไป ให้พากันเข้าใจ
นี่ล่ะการภาวนาการฝึกฝนอบรมจิตใจนี้
ก็เพื่อชำระล้างจิตดวงนี้ล่ะให้มันสะอาดปราศจากเวรภัยต่างๆนี้
เมื่อเวรทั้งหลายเหล่านี้มันระงับไปหมด
แต่มันไม่ใช่ว่ากิเลสมันหมดไปนะ มันยังอยู่
แต่ว่าเป็นกิเลสชั้นดี กิเลสชั้นนี้ก็พาให้ท่องเที่ยว
เกิดแก่เจ็บตายไปในสงสารแต่ว่า ส่วนมากก็เกิดเป็นมนุษย์
สูงกว่านั้นก็เกิดเป็นเทวดา สูงไปกว่านั้นก็เกิดเป็นพรหม
นี่เรียกว่า ท่านก็จัดว่าเป็นกิเลสเหมือนกันแหละมันพาให้เกิดอีกอย่างนี้นะ
แต่เป็นกิเลสที่ประกอบไปด้วยบุญกุศล ไม่เป็นกิเลสประกอบไปด้วยบาป
นี่มันต้องแยกแยะออกให้เข้าใจอย่างนี้ เมื่อผู้ใดรู้มีปัญญา
แยกแยะออกได้อย่างนี้แล้ว ผู้นั้นก็จะขยันทำบุญกุศลความดี
เริ่มต้นด้วยการให้ทานมา มารักษาศีลให้บริสุทธิ์
มาเจริญสมถะวิปัสสนาภาวนา อบรมสติปัญญาให้เกิดขึ้นหมู่นี้
เมื่อผู้บำเพ็ญข้อปฏิบัติให้ก้าวขึ้นไปเรื่อยๆอย่างนี้
ก็เรียกว่าเป็นผู้ทำความดีสูงขึ้นไปเรื่อยๆ ไม่หยุดอยู่ที่เดิม
...
ส่วนหนึ่งจากพระธรรมเทศนาหัวข้อ "กรรมปางก่อน"