จากที่ได้บอกไว้ในกระทู้แรกว่า ทริปนี้จะแยกกระทู้ออกเป็น3ตอน ตามประเทศที่ไปคือ ไอซ์แลนด์ ตุรกี รัสเซีย ซึ่งตอนนี้จะเป็นการเดินทางในตุรกี ตุรกีอาจจะเป็นประเทศที่อันตรายสำหรับผู้หญิงที่เดินทางคนเดียว แต่กลับเป็นประเทศที่เราชอบมากที่สุดของทริปนี้
อันนี้กระทู้แรกนะคะ เผื่อยังไม่ได้อ่านกัน
ตอนที่1
http://pantip.com/topic/33816187
ตอนที่3
http://pantip.com/topic/34957418
จากไอซ์แลนด์ไม่มีเที่ยวบินตรงสู่ตุรกี ต้องไปต่อเครื่องที่ลอนดอน เป็นเพียงการแวะต่อเครื่องเท่านั้นจึงไม่ได้ขอวีซ่า ตอนแรกแอบหวั่นนิดๆกลัวว่าจะต้องรับกระเป๋าแล้วโหลดใหม่ ดีที่เป็นการcheck thru ค่อยโล่งใจ ถึงสนามบินHeathrow/London รู้สึกดีนิดๆเพราะเจอกรุ๊ปคนไทยมารอขึ้นเครื่องกลับ ไม่ได้ทักทายหรือพูดคุยด้วยหรอกค่ะ แต่แค่ได้ยินภาษาไทยก็ยังดี ตลอดเวลาที่อยู่ไอซ์แลนด์นอกจากเพื่อนแล้วไม่เจอคนไทยเลยสักคน ภาษาอังกฤษเราอ่อนและคนที่นั่นออกแนวรักสันโดษจึงไม่ค่อยได้พูดกับใคร
(Day14) เวลา 04.00น. ถึงสนามบินataturk/Istanbul เป็นการเดินทางคนเดียวแบบเต็มตัวแล้ว

สนามบินนี้ไม่มีไวไฟฟรีให้ใช้งาน ดีที่บูธจำหน่ายซิมการ์ดเปิดบริการตลอด24ชม. หยิบกระเป๋าเดินออกมาก็เจอบูธอยู่ด้านหน้า จัดแจงซื้อซิมก่อนเลย จากที่อ่านรีวิวมาเป็นที่รู้กันว่าหนุ่มตุรกีชอบจีบสาวๆ ไม่ทันไรก็เจอกับตัวซะแล้ว พนง.ขายซิมชวนคุยและเสนอตัวเป็นเพื่อนพาเที่ยว แถมยังยิงเบอร์โทรศัพท์เข้าเครื่องเราไว้เผื่อให้เราโทรหาอีกด้วย ดีที่วันนี้เขาต้องทำงานเราจึงแยกตัวออกมา เสร็จจากซื้อซิมมาแลกเงินไว้สำหรับนั่งเมโทร แต่แลกไว้ไม่มากเพราะที่นี่คิดค่าชาร์จ10% (แลกเงินที่ตลาดบาซาร์ได้เรทดีสุด) มาถึงเช้าเกินไปเมโทรยังไม่เปิดให้บริการ ว่าจะนั่งงีบรอเวลาแต่เก้าอี้ถูกจับจองจนหมด ยังดีมีเก้าอี้หน้าห้องน้ำว่างอยู่ นั่งรอถึง6โมงเช้าเมโทรเปิดทำการ การไปเมโทรให้เดินออกมาด้านหน้าไปที่ลานจอดรถและลงไปชั้นใต้ดิน
เราพักที่Cheer hostel ใกล้กับสถานที่เที่ยวหลายแห่ง ต้องไปต่อTramเพื่อลงสถานีGulhane (ถ้าใครจะไปแถวBlue Mosque จุดต่อtramมีสองจุด คือสถานีZeytinburnu และ Aksaray แนะนำให้ต่อที่สถานีZeytinburnu เพราะเมโทรและTramอยู่ติดกัน แต่ที่Aksarayต้องเดินไกล ค่าโดยสารทั้งเมโทรและรถรางเท่ากัน 4ลีร่า ตลอดสาย)ช่วงเช้าที่นี่ถือเป็นชั่วโมงเร่งด่วนเหมือนที่กรุงเทพ รถรางคนแน่นมากๆ เราถือกระเป๋าเดินทางไม่สามารถแทรกตัวเข้าไปได้ นั่งรออยู่นานเกือบชั่วโมงจนเห็นว่าขบวนพอมีที่ว่างค่อยขึ้น ที่พักของเราเป็นห้องDrom หญิงล้วนแบบหกเตียง มีห้องอาบน้ำในตัว แต่ห้องน้ำอยู่ด้านหน้าห้องพัก พนง.ที่นี่อัธยาศัยดีเป็นมิตร แต่ข้อเสียคือห้องน้ำไม่ค่อยสะอาดและเล็กไป ยังเช็คอินไม่ได้ต้องรอถึงเที่ยง อยากอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าจัง แต่อีกหลายชม. นั่งรอไปก็เสียเวลาฝากกระเป๋าแล้วไปเดินเล่นก่อนดีกว่า
มาแลนด์มาร์คก่อนเลย Blue Mosque ภายในกว้างใหญ่โอ่โถงมากๆ ประดับด้วยโมเสคสีน้ำเงิน มีนักท่องเที่ยวจากหลากหลายประเทศมาชมไม่ขาดสาย มัสยิดที่ตุรกีทุกแห่งต้องถอดรองเท้า จะมีถุงพลาสติกบริการด้านหน้าให้ใส่รองเท้าหิ้วเข้าไป ส่วนผู้หญิงต้องโพกผ้าคลุมศรีษะ
เดินจนถึงเที่ยงกลับไปที่พักเพื่อเช็คอิน ระหว่างทางที่เดินกลับมีหนุ่มทักทายชวนคุยแทบตลอดทาง ยังดีที่เราปฎิเสธแล้วเขาไม่ตอแยถ้าเดินตามมาถึงที่พักคงอึดอัดแย่(แรกๆหลงดีใจมีหนุ่มจีบ แต่เจอบ่อยๆเริ่มหวาดระแวงเยอะเกินไปนะ เบื่อตอบคำถามเดิมๆซ้ำๆ)เช็คอินอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วออกไปหาข้าวทาน อากาศเย็นกำลังดีอุณหภูมิ 15องศา สวมแจ็คเก็ตทับสักตัวก็เพียงพอ แวะทานสปาเก็ตตี้ที่ร้านอาหารด้านหน้าHagia Sophiaหน้าตาน่าทานเหมือนรสชาตจะดี แต่ทานคำแรงแทบสำลักเพราะกลิ่นเครื่องเทศแรงมาก ด้วยความเสียดายฝืนทานเฉพาะเส้นให้หมด
เข้าไปชมHagia Sophiaเสียดายพื้นที่บางส่วนอยู่ระหว่างการบูรณะซ่อมแซม และมีหลายจุดชำรุดเสียหายตามกาลเวลา
ออกจากHagia Sophia เย็นมากแล้วจึงเดินเล่นแถวนั้นเพื่อรอถ่ายรูปน้ำพุที่ลานด้านหน้า แวะทานไอศครีมสักหน่อยมาถึงนี่ไม่ได้ชมลีลาพ่อค้าไอศครีมอาจเรียกได้ว่ามาไม่ถึงตุรกี แต่จากที่ซื้อทานหลายๆร้าน ร้านนี้ลีลาหลอกล่อเยอะสุด ไอศครีมอร่อยและมีรสให้เลือกมากกว่าร้านอื่น บางร้านเป็นการตักขายปกติไม่มีการหลอกล่อใดๆ ยืนถ่ายรูปที่ลานน้ำพุอยู่สักพัก อากาศเริ่มหนาวและค่ำแล้วกลับเข้าที่พักดีกว่า
(Day15) ที่พักในตุรกีมีอาหารเช้าบริการ แต่จะเป็นอาหารมังสวิรัติ มีขนมปัง ไข่ต้ม นมสด ผัก ผลไม้ กาแฟ ชาร้อน เหมือนกันทุกที่
วันนี้ให้เวลากับพระราชวัง Topkapi เกือบทั้งวัน เพราะที่นี่กว้างและมีหลายอาคาร มีส่วนของHaremที่ต้องซื้อตั๋วเพิ่มด้วย ในHaremมีห้องหลายห้องเป็นห้องส่วนพระองค์แนะนำให้เข้าเพราะแต่ละห้องงดงาม ควรเตรียมน้ำดื่มติดตัวไป ด้านในราคาแพงมาก ด้านหลังพระราชวังเป็นสวนสาธารณะ มีคนมาพักผ่อนและทำกิจกรรมที่สวนกันเยอะ
ออกจากพระราชวังเกือบสี่โมงนั่งรถรางไปเดินเล่นที่ท่าเรือEminonu ด้านหน้าสถานีนี้เป็นที่ตั้งของNew Mosque แต่ตอนนี้ปิดแล้วไว้มาวันหลัง ที่ท่าเรือคนพลุกพล่านมากๆเพราะเป็นเส้นทางสัญจรระหว่างสองทวีปคือยุโรปและเอเชีย มาถึงนี่ต้องลองเมนูMidye คือหอยแมลงภู่ยัดไส้ข้าว ข้าวอบหอมเครื่องเทศ ก่อนกินพ่อค้าจะบีบมะนาวสดๆใส่ก่อนยื่นให้ รสชาติกลมกล่อมติดใจทานไปหลายตัว เดินเล่นบนสะพานกาลาตา มีคนมาตกปลาเกือบตลอดแนวสะพาน ว่าจะเดินให้ถึงฝั่งเอเชียแต่ไปได้แค่ครึ่งก็เดินกลับเพราะใกล้ค่ำ ไว้มาเดินวันที่จะไปหอคอยกาลาตาดีกว่า มาหามื้อค่ำทานที่ริมแม่น้ำข้างๆสะพาน มีร้านขายแซนวิชปลาซาบะ ควันลอยมาตลบอบอวลก็ลองสักหน่อย ชิ้นใหญ่มากเสียดายเครื่องปรุงมีแค่เกลืออย่างเดียว ทานเสร็จกลับเข้าที่พักหวังจะนอนเอาแรง แต่มีเพื่อนร่วมห้องมาใหม่ยามวิกาลเป็นวัยรุ่นสามสาว ทำเสียงดังอยู่พักใหญ่กว่าจะสงบเกือบตีสาม
(Day16) โปรแกรมวันนี้ไปอ่างเก็บน้ำใต้ดินเยเรบาทัน ระหว่างเข้าคิวรอซื้อบัตรมีชายหนุ่มมาชวนคุยอีกแล้ว ครั้งนี้คุยอยู่นานเพราะเราต่อคิวยาว กว่าจะปลีกตัวไปก็จนเราเข้าไปอ่างเก็บน้ำ เห็นแล้วทึ่งมากไม่คิดว่าคนยุคนั้นสามารถสร้างที่กักเก็บน้ำได้ลึกและกว้างใหญ่ขนาดนี้ เสาแต่ละต้นใหญ่และดูแข็งแรงมากๆ บางต้นมีแกะสลักลวดลาย จุดที่น่าสนใจที่นักท่องเที่ยวมาชมคือเสาสองต้นที่มีฐานเสาแกะสลักเป็นรูปMedusaวางกลับหัว เนื่องจากความเชื่อที่ว่าหากใครมองตาMedusaจะกลายเป็นหิน จึงวางตะแคงแบบนี้
จากอ่างเก็บน้ำไปต่อที่พิพิธภัณฑ์โบราณคดี อยู่ด้านหน้าทางเข้าพระราชวังTopkapi ภายในพิพิภัณฑ์มีสิ่งของหลายยุคหลายสมัย เครื่องโภคภัณฑ์บางยุคคล้ายเครื่องชามสังคโลกของไทย(ตามความเห็นส่วนตัว)
ออกจากพิพิธภัณฑ์ว่าจะไปเดินเล่นที่สะพานกาลาตาอีก แต่ฝนตกยืนรออยู่นานไม่มีทีท่าว่าจะหยุดเดินฝ่าฝนกลับเข้าที่พัก แวะทานมื้อกลางวันที่ร้านอาหารด้านหน้าทางเข้า กับเมนูChicken shish kabub
ตอนเย็นมีรูมเมทมาเพิ่มอีกคนเป็นสาวจีนจากฮ่องกงมาเที่ยวคนเดียว เข้าใจว่าเราเป็นคนจีนทักทายด้วยหนีห่าวก่อนเลย แต่กลับต้องผิดหวังเพราะเราเป็นหมวยไทยเชื้อสายจีนเท่านั้น ถ้าเขาพูดแต้จิ๋วได้คงได้คุยกันมากกว่านี้ ฝนตกจนค่ำ ปกติไม่ชอบถือร่มเลยไม่พกร่มมา จะลุยฝนเที่ยวก็ถ่ายรูปไม่ได้ อยู่ที่พักเตรียมข้อมูลสำหรับพรุ่งนี้และเข้านอนแต่หัววันถือว่าชดเชยที่เมื่อคืนนอนน้อย
(Day17) เช้านี้แวะไปสถานีขนส่งก่อนเพื่อซื้อตั๋วรถบัสสำหรับเดินทางไปCappadocia นั่งรถรางต่อเมโทรมาลงสถานีOctogar ไม่ว่าจะไปเมืองไหนต้องมาขึ้นรถบัสที่นี่ ซื้อตั๋วเสร็จแล้วนั่งเมโทรกลับสถานีZentinburnu เพื่อต่อรถรางที่สถานีนี้มีสวนสาธารณะอยู่ด้านหน้า เราจึงแวะเดินเล่นที่สวน มีหนุ่มมาขอเดินด้วยอีกแล้ว พูดอังกฤษแทบไม่ได้เลยสื่อสารกันไม่รู้เรื่อง เริ่มไม่สนุกออกดีกว่า ยังเดิมตามมาถึงสถานีอีก
นั่งรถรางมาลงสถานีEminonu จะนั่งเรือชมช่องแคบBophorus เรือออกบ่ายสองครึ่ง ยังมีเวลาอีกเกือบสองชั่วโมง แวะไปชมNew mosque ก่อน ไปได้จังหวะกำลังมีการเทศนา คนที่นี่เขาเคร่งครัดในศาสนามาก แต่ละคนดูกุลีกุจอที่จะเข้าร่วมพิธีกรรม อยู่จนเสร็จพิธีออกมาเดินเล่นด้านหน้า
เริ่มหิวซื้อขนมปังโรยงา(simit)มาลองทาน เห็นนิยมทานกันมากมีขายเกือบทุกที่ รสชาตจืดๆตัวแป้งไม่นุ่มแต่พอทานได้เพลินๆ
จวบจนใกล้บ่ายสองรีบไปขึ้นเรือ ล่องเรือใช้เวลา2ชม.มีร้านขายเครื่องดื่มและของว่างงบริการบนเรือ ถ้าอยากเห็นวิวทั้งสองฝั่งแนะนำให้ขึ้นคุ้มค่ามากๆ
กลับเข้าฝั่งไปเดินเล่นต่อที่Spice market อยู่ด้านหลังNew Mosque ตลาดนี้มีขายของหลายอย่าง ทั้งขนม เสื้อผ้า จานชาม กระเป๋า รองเท้า แต่สินค้าหลักๆจะเป็นเครื่องเทศและเตอร์กิชดีไลต์(ขนมหวานชนิดหนึ่งที่นิยมมากในตุรกี) และมีร้านเคบับหลายร้าน ตึกแถวถัดไปจากตลาดเป็นร้านค้าจำหน่ายสินค้าแบรนด์ประเภทนาฬิกา ปากกา กล้องถ่ายรูป จากจุดนี้ถ้าย้อนไปขึ้นรถรางระยะทางไม่ต่างจากเดินกลับที่พักมากนักจึงเลือกเดินกลับ ซื้อDurum Tavuk มาทานเป็นมื้อเย็น ราคา6ลีร่า ถ้าฝากท้องกับอาหารฟาส์ตฟู๊ด แบบนี้คงประหยัดไปได้เยอะเลย แต่ละมื้อที่ทานในร้านอาหารไม่ต่ำกว่า20ลีร่า
(Day18) มัวแต่โอนรุปเข้าEx HDD ออกจากที่พักเกือบเที่ยง จุดหมายคือสุดปลายทางรถรางสถานีAbakas เพื่อไปพระราชวังDomalbahce ที่นี่แยกออกเป็น2ส่วนคือ HaremกับSelamilik เราซื้อบัตรทั้งสองที่ แต่ละที่จะมีรอบเวลาในการเข้าชม มีไกด์บรรยายทั้งภาษาอังกฤษและตุรกี เพราะฉะนั้นเลือกเข้าแถวให้ถูกรอบเวลาของไกด์แต่ละภาษา ซึ่งจะมีป้ายบอกอยู่ด้านทางเข้า เราเข้าชมในส่วนของHaremก่อน ภายในเน้นการตกแต่งด้วยโคมไฟแชงกรีล่าใหญ่โตระยิบระยับ เพดานเพ้นท์เป็นลวดลายต่างๆเต็มพื้นที่ เสียดายไม่อนุญาตให้ถ่ายรูปด้านใน ออกมาด้านนอกเดินถ่ายรูปเพลินไปหน่อย แล้ววันนี้ดันเป็นวันที่ข้ามโซนเวลาพอดี เวลาเร็วขึ้นกว่าเดิม1ชม. (หายไป1ชม.ฟรีๆ)จากที่ควรจะเป็นบ่าย3โมง กลับกลายเป็นบ่าย4โมง ไปไม่ทันเข้าSelamilik เขาปิดพอดี
ออกจากพระราชวังนั่งรถรางไปลงสถานีkarakoy เพื่อไปหอคอยกาลาตา คิวรอขึ้นหอคอยยาวมากล้มเลิกความคิด ถ่ายรูปแค่ด้านหน้าแล้วกัน
45วัน 3ประเทศ จากไอซ์แลนด์สู้ไบคาล ไปตามฝันหรือเติมฝัน(ตอน2)
อันนี้กระทู้แรกนะคะ เผื่อยังไม่ได้อ่านกัน
ตอนที่1 http://pantip.com/topic/33816187
ตอนที่3 http://pantip.com/topic/34957418
จากไอซ์แลนด์ไม่มีเที่ยวบินตรงสู่ตุรกี ต้องไปต่อเครื่องที่ลอนดอน เป็นเพียงการแวะต่อเครื่องเท่านั้นจึงไม่ได้ขอวีซ่า ตอนแรกแอบหวั่นนิดๆกลัวว่าจะต้องรับกระเป๋าแล้วโหลดใหม่ ดีที่เป็นการcheck thru ค่อยโล่งใจ ถึงสนามบินHeathrow/London รู้สึกดีนิดๆเพราะเจอกรุ๊ปคนไทยมารอขึ้นเครื่องกลับ ไม่ได้ทักทายหรือพูดคุยด้วยหรอกค่ะ แต่แค่ได้ยินภาษาไทยก็ยังดี ตลอดเวลาที่อยู่ไอซ์แลนด์นอกจากเพื่อนแล้วไม่เจอคนไทยเลยสักคน ภาษาอังกฤษเราอ่อนและคนที่นั่นออกแนวรักสันโดษจึงไม่ค่อยได้พูดกับใคร
(Day14) เวลา 04.00น. ถึงสนามบินataturk/Istanbul เป็นการเดินทางคนเดียวแบบเต็มตัวแล้ว
เราพักที่Cheer hostel ใกล้กับสถานที่เที่ยวหลายแห่ง ต้องไปต่อTramเพื่อลงสถานีGulhane (ถ้าใครจะไปแถวBlue Mosque จุดต่อtramมีสองจุด คือสถานีZeytinburnu และ Aksaray แนะนำให้ต่อที่สถานีZeytinburnu เพราะเมโทรและTramอยู่ติดกัน แต่ที่Aksarayต้องเดินไกล ค่าโดยสารทั้งเมโทรและรถรางเท่ากัน 4ลีร่า ตลอดสาย)ช่วงเช้าที่นี่ถือเป็นชั่วโมงเร่งด่วนเหมือนที่กรุงเทพ รถรางคนแน่นมากๆ เราถือกระเป๋าเดินทางไม่สามารถแทรกตัวเข้าไปได้ นั่งรออยู่นานเกือบชั่วโมงจนเห็นว่าขบวนพอมีที่ว่างค่อยขึ้น ที่พักของเราเป็นห้องDrom หญิงล้วนแบบหกเตียง มีห้องอาบน้ำในตัว แต่ห้องน้ำอยู่ด้านหน้าห้องพัก พนง.ที่นี่อัธยาศัยดีเป็นมิตร แต่ข้อเสียคือห้องน้ำไม่ค่อยสะอาดและเล็กไป ยังเช็คอินไม่ได้ต้องรอถึงเที่ยง อยากอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าจัง แต่อีกหลายชม. นั่งรอไปก็เสียเวลาฝากกระเป๋าแล้วไปเดินเล่นก่อนดีกว่า
มาแลนด์มาร์คก่อนเลย Blue Mosque ภายในกว้างใหญ่โอ่โถงมากๆ ประดับด้วยโมเสคสีน้ำเงิน มีนักท่องเที่ยวจากหลากหลายประเทศมาชมไม่ขาดสาย มัสยิดที่ตุรกีทุกแห่งต้องถอดรองเท้า จะมีถุงพลาสติกบริการด้านหน้าให้ใส่รองเท้าหิ้วเข้าไป ส่วนผู้หญิงต้องโพกผ้าคลุมศรีษะ
เดินจนถึงเที่ยงกลับไปที่พักเพื่อเช็คอิน ระหว่างทางที่เดินกลับมีหนุ่มทักทายชวนคุยแทบตลอดทาง ยังดีที่เราปฎิเสธแล้วเขาไม่ตอแยถ้าเดินตามมาถึงที่พักคงอึดอัดแย่(แรกๆหลงดีใจมีหนุ่มจีบ แต่เจอบ่อยๆเริ่มหวาดระแวงเยอะเกินไปนะ เบื่อตอบคำถามเดิมๆซ้ำๆ)เช็คอินอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วออกไปหาข้าวทาน อากาศเย็นกำลังดีอุณหภูมิ 15องศา สวมแจ็คเก็ตทับสักตัวก็เพียงพอ แวะทานสปาเก็ตตี้ที่ร้านอาหารด้านหน้าHagia Sophiaหน้าตาน่าทานเหมือนรสชาตจะดี แต่ทานคำแรงแทบสำลักเพราะกลิ่นเครื่องเทศแรงมาก ด้วยความเสียดายฝืนทานเฉพาะเส้นให้หมด
เข้าไปชมHagia Sophiaเสียดายพื้นที่บางส่วนอยู่ระหว่างการบูรณะซ่อมแซม และมีหลายจุดชำรุดเสียหายตามกาลเวลา
ออกจากHagia Sophia เย็นมากแล้วจึงเดินเล่นแถวนั้นเพื่อรอถ่ายรูปน้ำพุที่ลานด้านหน้า แวะทานไอศครีมสักหน่อยมาถึงนี่ไม่ได้ชมลีลาพ่อค้าไอศครีมอาจเรียกได้ว่ามาไม่ถึงตุรกี แต่จากที่ซื้อทานหลายๆร้าน ร้านนี้ลีลาหลอกล่อเยอะสุด ไอศครีมอร่อยและมีรสให้เลือกมากกว่าร้านอื่น บางร้านเป็นการตักขายปกติไม่มีการหลอกล่อใดๆ ยืนถ่ายรูปที่ลานน้ำพุอยู่สักพัก อากาศเริ่มหนาวและค่ำแล้วกลับเข้าที่พักดีกว่า
(Day15) ที่พักในตุรกีมีอาหารเช้าบริการ แต่จะเป็นอาหารมังสวิรัติ มีขนมปัง ไข่ต้ม นมสด ผัก ผลไม้ กาแฟ ชาร้อน เหมือนกันทุกที่
วันนี้ให้เวลากับพระราชวัง Topkapi เกือบทั้งวัน เพราะที่นี่กว้างและมีหลายอาคาร มีส่วนของHaremที่ต้องซื้อตั๋วเพิ่มด้วย ในHaremมีห้องหลายห้องเป็นห้องส่วนพระองค์แนะนำให้เข้าเพราะแต่ละห้องงดงาม ควรเตรียมน้ำดื่มติดตัวไป ด้านในราคาแพงมาก ด้านหลังพระราชวังเป็นสวนสาธารณะ มีคนมาพักผ่อนและทำกิจกรรมที่สวนกันเยอะ
ออกจากพระราชวังเกือบสี่โมงนั่งรถรางไปเดินเล่นที่ท่าเรือEminonu ด้านหน้าสถานีนี้เป็นที่ตั้งของNew Mosque แต่ตอนนี้ปิดแล้วไว้มาวันหลัง ที่ท่าเรือคนพลุกพล่านมากๆเพราะเป็นเส้นทางสัญจรระหว่างสองทวีปคือยุโรปและเอเชีย มาถึงนี่ต้องลองเมนูMidye คือหอยแมลงภู่ยัดไส้ข้าว ข้าวอบหอมเครื่องเทศ ก่อนกินพ่อค้าจะบีบมะนาวสดๆใส่ก่อนยื่นให้ รสชาติกลมกล่อมติดใจทานไปหลายตัว เดินเล่นบนสะพานกาลาตา มีคนมาตกปลาเกือบตลอดแนวสะพาน ว่าจะเดินให้ถึงฝั่งเอเชียแต่ไปได้แค่ครึ่งก็เดินกลับเพราะใกล้ค่ำ ไว้มาเดินวันที่จะไปหอคอยกาลาตาดีกว่า มาหามื้อค่ำทานที่ริมแม่น้ำข้างๆสะพาน มีร้านขายแซนวิชปลาซาบะ ควันลอยมาตลบอบอวลก็ลองสักหน่อย ชิ้นใหญ่มากเสียดายเครื่องปรุงมีแค่เกลืออย่างเดียว ทานเสร็จกลับเข้าที่พักหวังจะนอนเอาแรง แต่มีเพื่อนร่วมห้องมาใหม่ยามวิกาลเป็นวัยรุ่นสามสาว ทำเสียงดังอยู่พักใหญ่กว่าจะสงบเกือบตีสาม
(Day16) โปรแกรมวันนี้ไปอ่างเก็บน้ำใต้ดินเยเรบาทัน ระหว่างเข้าคิวรอซื้อบัตรมีชายหนุ่มมาชวนคุยอีกแล้ว ครั้งนี้คุยอยู่นานเพราะเราต่อคิวยาว กว่าจะปลีกตัวไปก็จนเราเข้าไปอ่างเก็บน้ำ เห็นแล้วทึ่งมากไม่คิดว่าคนยุคนั้นสามารถสร้างที่กักเก็บน้ำได้ลึกและกว้างใหญ่ขนาดนี้ เสาแต่ละต้นใหญ่และดูแข็งแรงมากๆ บางต้นมีแกะสลักลวดลาย จุดที่น่าสนใจที่นักท่องเที่ยวมาชมคือเสาสองต้นที่มีฐานเสาแกะสลักเป็นรูปMedusaวางกลับหัว เนื่องจากความเชื่อที่ว่าหากใครมองตาMedusaจะกลายเป็นหิน จึงวางตะแคงแบบนี้
จากอ่างเก็บน้ำไปต่อที่พิพิธภัณฑ์โบราณคดี อยู่ด้านหน้าทางเข้าพระราชวังTopkapi ภายในพิพิภัณฑ์มีสิ่งของหลายยุคหลายสมัย เครื่องโภคภัณฑ์บางยุคคล้ายเครื่องชามสังคโลกของไทย(ตามความเห็นส่วนตัว)
ออกจากพิพิธภัณฑ์ว่าจะไปเดินเล่นที่สะพานกาลาตาอีก แต่ฝนตกยืนรออยู่นานไม่มีทีท่าว่าจะหยุดเดินฝ่าฝนกลับเข้าที่พัก แวะทานมื้อกลางวันที่ร้านอาหารด้านหน้าทางเข้า กับเมนูChicken shish kabub
ตอนเย็นมีรูมเมทมาเพิ่มอีกคนเป็นสาวจีนจากฮ่องกงมาเที่ยวคนเดียว เข้าใจว่าเราเป็นคนจีนทักทายด้วยหนีห่าวก่อนเลย แต่กลับต้องผิดหวังเพราะเราเป็นหมวยไทยเชื้อสายจีนเท่านั้น ถ้าเขาพูดแต้จิ๋วได้คงได้คุยกันมากกว่านี้ ฝนตกจนค่ำ ปกติไม่ชอบถือร่มเลยไม่พกร่มมา จะลุยฝนเที่ยวก็ถ่ายรูปไม่ได้ อยู่ที่พักเตรียมข้อมูลสำหรับพรุ่งนี้และเข้านอนแต่หัววันถือว่าชดเชยที่เมื่อคืนนอนน้อย
(Day17) เช้านี้แวะไปสถานีขนส่งก่อนเพื่อซื้อตั๋วรถบัสสำหรับเดินทางไปCappadocia นั่งรถรางต่อเมโทรมาลงสถานีOctogar ไม่ว่าจะไปเมืองไหนต้องมาขึ้นรถบัสที่นี่ ซื้อตั๋วเสร็จแล้วนั่งเมโทรกลับสถานีZentinburnu เพื่อต่อรถรางที่สถานีนี้มีสวนสาธารณะอยู่ด้านหน้า เราจึงแวะเดินเล่นที่สวน มีหนุ่มมาขอเดินด้วยอีกแล้ว พูดอังกฤษแทบไม่ได้เลยสื่อสารกันไม่รู้เรื่อง เริ่มไม่สนุกออกดีกว่า ยังเดิมตามมาถึงสถานีอีก
นั่งรถรางมาลงสถานีEminonu จะนั่งเรือชมช่องแคบBophorus เรือออกบ่ายสองครึ่ง ยังมีเวลาอีกเกือบสองชั่วโมง แวะไปชมNew mosque ก่อน ไปได้จังหวะกำลังมีการเทศนา คนที่นี่เขาเคร่งครัดในศาสนามาก แต่ละคนดูกุลีกุจอที่จะเข้าร่วมพิธีกรรม อยู่จนเสร็จพิธีออกมาเดินเล่นด้านหน้า
เริ่มหิวซื้อขนมปังโรยงา(simit)มาลองทาน เห็นนิยมทานกันมากมีขายเกือบทุกที่ รสชาตจืดๆตัวแป้งไม่นุ่มแต่พอทานได้เพลินๆ
จวบจนใกล้บ่ายสองรีบไปขึ้นเรือ ล่องเรือใช้เวลา2ชม.มีร้านขายเครื่องดื่มและของว่างงบริการบนเรือ ถ้าอยากเห็นวิวทั้งสองฝั่งแนะนำให้ขึ้นคุ้มค่ามากๆ
กลับเข้าฝั่งไปเดินเล่นต่อที่Spice market อยู่ด้านหลังNew Mosque ตลาดนี้มีขายของหลายอย่าง ทั้งขนม เสื้อผ้า จานชาม กระเป๋า รองเท้า แต่สินค้าหลักๆจะเป็นเครื่องเทศและเตอร์กิชดีไลต์(ขนมหวานชนิดหนึ่งที่นิยมมากในตุรกี) และมีร้านเคบับหลายร้าน ตึกแถวถัดไปจากตลาดเป็นร้านค้าจำหน่ายสินค้าแบรนด์ประเภทนาฬิกา ปากกา กล้องถ่ายรูป จากจุดนี้ถ้าย้อนไปขึ้นรถรางระยะทางไม่ต่างจากเดินกลับที่พักมากนักจึงเลือกเดินกลับ ซื้อDurum Tavuk มาทานเป็นมื้อเย็น ราคา6ลีร่า ถ้าฝากท้องกับอาหารฟาส์ตฟู๊ด แบบนี้คงประหยัดไปได้เยอะเลย แต่ละมื้อที่ทานในร้านอาหารไม่ต่ำกว่า20ลีร่า
(Day18) มัวแต่โอนรุปเข้าEx HDD ออกจากที่พักเกือบเที่ยง จุดหมายคือสุดปลายทางรถรางสถานีAbakas เพื่อไปพระราชวังDomalbahce ที่นี่แยกออกเป็น2ส่วนคือ HaremกับSelamilik เราซื้อบัตรทั้งสองที่ แต่ละที่จะมีรอบเวลาในการเข้าชม มีไกด์บรรยายทั้งภาษาอังกฤษและตุรกี เพราะฉะนั้นเลือกเข้าแถวให้ถูกรอบเวลาของไกด์แต่ละภาษา ซึ่งจะมีป้ายบอกอยู่ด้านทางเข้า เราเข้าชมในส่วนของHaremก่อน ภายในเน้นการตกแต่งด้วยโคมไฟแชงกรีล่าใหญ่โตระยิบระยับ เพดานเพ้นท์เป็นลวดลายต่างๆเต็มพื้นที่ เสียดายไม่อนุญาตให้ถ่ายรูปด้านใน ออกมาด้านนอกเดินถ่ายรูปเพลินไปหน่อย แล้ววันนี้ดันเป็นวันที่ข้ามโซนเวลาพอดี เวลาเร็วขึ้นกว่าเดิม1ชม. (หายไป1ชม.ฟรีๆ)จากที่ควรจะเป็นบ่าย3โมง กลับกลายเป็นบ่าย4โมง ไปไม่ทันเข้าSelamilik เขาปิดพอดี
ออกจากพระราชวังนั่งรถรางไปลงสถานีkarakoy เพื่อไปหอคอยกาลาตา คิวรอขึ้นหอคอยยาวมากล้มเลิกความคิด ถ่ายรูปแค่ด้านหน้าแล้วกัน