เธอคือใคร 5 จบ

กระทู้คำถาม
เธอ คือใคร 5 (ตอนจบ)
ในคืนนั้น ผมก็ฝัน ในความฝันของผมนั้นเหมือนจริงมาก  ในฝันผมยืนอยู่ ณ สถานที่แห่งหนึ่งในช่วงเวลาเย็นมากแล้ว  ซึ่งเมื่อมองไปรอบ ๆ น่าจะเป็นมหาวิทยาลัยที่ผมเรียนอยู่นั่นเอง แต่สภาพผมที่เห็นในฝันนั้น ตรงพื้นที่บางส่วนยังเป็นพื้นที่รกร้างอยู่ ต่างจากปัจจุบันที่มีอาคารเรียนตั้งอยู่เต็มทุกพื้นที่ แล้วในฝันนี้ผมก็เห็นหญิงสาวคนหนึ่ง นั่งอยู่ที่ม้าหินอ่อนซึ่งตั้งอยู่ใต้ต้นก้ามปูต้นหนึ่ง ผมค่อย ๆ เดินเข้าไปหาเธอ เมื่อเดินเข้าไปใกล้ ๆ ผมจึงรู้ว่าเป็นคน ๆ เดียวกันกับผีที่ผมเจอที่โรงอาหาร
“อ้าว ผกา” ชายหนุ่มหน้าตาดีคนหนึ่ง ตัดทรงผมรองทรง ในชุดเสื้อเชิ้ตแขนยาวสีขาว กางเกงขายาวสีดำ สวมรองเท้าหนังขัดซะมันวับ เดินมาหาเธอ “มานั่งทำอะไรอยู่ตรงนี้หล่ะ”   “คือหนูมีเรื่องจะปรึกษาค่ะ” ผกากรองทำสีหน้ากังวล “มันเป็นเรื่องสำคัญมาก”  “ถ้าอย่างนั้นก็ขึ้นรถไปกับอาจารย์” อาจารย์หนุ่มชักชวนผกากรอง “ไม่ต้องกลัว ปัญหาทุกอย่างแก้ไขได้” แล้วทั้งคู่ก็เดินไปขึ้นรถยนต์ซึ่งจอดอยู่ที่ลานจอดรถห่างจากม้าหินอ่อนไม่ไกลนัก แล้วจากนั้นภาพในความฝันของผมก็มืดไป แล้วภาพในฝันของผมก็มาปรากฏอีกครั้ง ผมพบว่าผมนั้นยืนอยู่ ณ  โรงแรมแห่งหนึ่งในตอนเช้าตรู่ จากนั้นคนทั้งคู่ก็เดินกอดกันกลับออกมาจากโรงแรม เดินมาขึ้นรถ จากนั้นก็ขับรถออกไป แล้วผมก็สะดุ้งตื่นทันที  
เช้าวันต่อมา เป็นวันหยุด ผมจึงได้ชวนแอนและP มาคุยกันที่บ้าน  พวกเราทั้งสามคนนั่งอยู่ที่แคร่ใต้ต้นลำไยหน้าบ้านของผม โดยมีมะม่วงสดกับน้ำจิ้มสุดแซ๊บเป็นอาหารว่าง “เฮ้ย ฉันว่าแกคิดมากแล้วเก็บไปฝันมากกว่ามั้ง” ไอ้P พูดเปิดเรื่องก่อน “แกน่าจะทานยาหน่อยน่ะ” “แล้วถ้าเป็นเรื่องจริงหล่ะ” แอนพูดพูดพร้อมกับเริ่มทำการปอกมะม่วงลงใส่ในจาน “เธออยากจะบอกอะไรเรา” “นี่แค่ฝันว่าเข้าออกโรงแรม” P พูดให้เหตุผลอีกครั้ง “มันไม่ได้ช่วยบอกอะไรเลยนะ” “แล้วถ้าการตายของผกากรองไม่ใช่อุบัติเหตุ” ผมยิงคำถามใส่ไอ้ P อีกครั้ง “แต่เป็นการฆาตกรรมหล่ะ” “ฉันบอกแกแล้วไง” ไอ้ P พูดพร้อมกับมองหน้าผมด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “ฝันแค่นั้นไม่พอหรอก” “อีกอย่างพี่อ้อยก็บอกเราแล้วว่า” แอนพูดเสริม “มันเป็นอุบัติเหตุ และฉันก็ไปสืบมาแล้วว่า ช่างคนนั้นก็รับสารภาพผิด ถูกตำรวจจับไปแล้ว”  “แล้วถ้าเหตุการณ์ที่เราได้ยินมา” ผมยิงคำสามใส่แอน “มันไม่จริงหล่ะ” “ถ้าอย่างนั้น” แอนตอบผมพร้อมกับยื่นมะม่วงสดให้ผมผลหนึ่ง ให้ p ผลหนึ่ง “นายคงจะต้องจุดธูปบอกวิญญาณผกากรองให้มาหาอีกครั้งแล้วแหล่ะ” “ได้เลย จัดให้” ผมตอบพร้อมกับจิ้มมะม่วงลงในน้ำจิ้มแล้วยัดเข้าปาก แล้วทันทีที่มะม่วงเข้าปากผม “โอ้ย! เผ็ด ๆ ๆ ๆ นี่ แอน จะฆ่ากันหรือไง”  “อิอิอิ ก็นายบอกว่าเอาแซ๊บ ๆ ไม่ใช่เหรอไง” แอนพูดพร้อมกับหัวเราเบาๆ ต่างจาก P ที่ชอบกินเผ็ดอยู่แล้ว เขาจึงกินอย่างเอร็ดอร่อย
หลังจากที่ทานมะม่วงกันเสร็จแล้ว ผมจึงซื้อไอศกรีม มาเลี้ยงทั้งสองคนแล้วก็คุยกัน เรื่องสัปเพเหระ  ก่อนผมจะเดินไปส่งพวกเขาทั้งสองคนแยกย้ายกันกลับบ้าน และในเย็นวันเดียวกัน แอนก็เดินมาที่บ้านผมพร้อมกับถือถุงกระดาษที่ใส่ธูปเทียนและดอกไม้ถุงหนึ่ง อีกถุงใส่ข้าวกล่องสองกล่อง “เดี่ยวก่อนนะ” ผมเริ่มเอะใจขึ้นมาทันทีที่เห็นแอนถือถุงกระดาษมา “จะเอาคือนี้เลยเหรอ” “แล้วไง” แอนพูดพร้อมกับยกถุงกระดาษขึ้นมาให้ผมดู “นายบอกว่าจัดให้ ฉันก็เลยจัดเต็มเลย” “จะทำที่บ้านฉันนี่เหรอ” ผมเริ่มรู้สึกหวั่น ๆ ใจยังไงบอกไม่ถูก “ไม่เหมาะมั้ง” “ใครว่าไม่เหมาะกันหล่ะ” แอนตอบพร้อมกับเดินไปยืนรอที่ข้างรถยนต์ของผม “เราจะไปทำที่มหาวิทยาลัยกันและก็ทำที่ตึกที่นายนอนตอนรับน้องด้วย” “ถ้าอย่างนั้นเราชวน Pไปด้วยดีไหม” ผมเสนอความคิดเห็น “เผื่อมี อะ..อะไรเกิดขึ้น” “ไม่ได้....น้อยคนยิ่งดี” แอนพูดพร้อมกับเดินมาจูงแขนผมไปที่รถ “เร็วเข้า”
ผมจึงพาแอนไปที่มหาวิทยาลัย โดยที่ไม่เต็มใจนัก ผมเอารถยนต์ไปจอดฝากไว้ที่บ้านของเพื่อนของแอนซึ่งบ้านของเขานั้นอยู่หน้ามหาวิทยาลัยพอดี จากนั้นเราก็แอบเดินหลบ ร.ป.ภ. เข้าไป ระหว่างเดินเข้าไปข้างในตึกเรียนที่ปิดไฟฟ้ามืดสนิทผมก็ถามแอนเบา ๆ ว่า “เธอไม่เคยโดนหลอกเหมือนพวกฉันทำไมจึงสนใจเรื่องนี้ด้วย” แอนก็แค่ยิ้มและตอบสั้น ๆ กับผมว่า “แค่อยากลองพิสูจน์หน่ะ”  เมื่อไปถึงจุดที่ผมโดนหลอก ผมกับแอนก็จุดธูปบอกกล่าว ปักธูปที่กระถางธูป จากนั้นเราทั้งคู่ก็นั่งรอจะกระทั่งเวลาล่วงเลยไปจนถึงสี่ทุ่ม แต่ก็ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น แอนหยิบข้าวกล่องออกจากถุงกระดาษอีกถุงหนึ่งออกมา เธอยื่นกล่องข้าว กล่องหนึ่งให้ผม  หลังจากทานอาหารเสร็จ ซึ่งก็พอดีกับที่ธูปหมดก้าน  เหตุการณ์ต่าง ๆ ก็ยังเป็นปกติ ผมมองดูที่นาฬิกาข้อมือก็พบว่าเกือบห้าทุ่มแล้ว จึงชวนแอนกลับบ้านเพราะคิดว่าคงจะไม่มีอะไรเกิดขึ้น “เธอบอกที่บ้านว่ายังไง” ผมถามแอนด้วยความเป็นห่วง “เรื่องมาที่มหาวิทยาลัยนี่”  “ไม่เห็นต้องบอกใครนี่” แอนตอบหน้าตาเรียบ ๆ “พ่อของฉันไปทำงานที่ต่างจังหวัดส่วนแม่ก็ทำงานร้านสะดวกซื้อกะดึก ตอนเช้าโน่นถึงจะกลับ”
เราทั้งสองติดสินใจเก็บข้าวของเพื่อที่จะเตรียมตัวกลับเพราะคิดว่าคงจะไม่พบอะไรแล้ว แต่ในขณะนั้นเอง ผมก็เห็นมีเงาตะคุ่ม ๆ ๆ เดินมาจากทางเดินด้านหลังของผมกับแอน ผมจึงสะกิดแอนให้หันมามองตาม พวกเราทั้งสองยืนตัวแข็ง ขาสั่นด้วยความกลัว  เงานั้นเดินมาอย่างช้า ๆ เงียบ ๆ เดินเข้ามาใกล้ ๆ ผมกับแอนขึ้นเรื่อย ๆ  เมื่อเงานั้นมาใกล้ ๆ ผมกับแอนประมาณหนึ่งเมตร ก็มีเสียงพูดว่า “หวัดดี ฉันเอาลูกชิ้นกับซาลาเปามาเผื่อ” P เพื่อนผมนั่นเอง มันพูดพร้อมกับยื่นถุงซาลาเปาและลูกชิ้นให้ “เผื่อพวกนายจะหิว”  “ไอ้บ้า” แอนพูดพร้อมเขกหัว P หนังครั้ง “ให้เสียงมั่งสิวะ” “โอ้ย..เจ็บนะ..ขืนให้เสียง” P ตอบพร้อมกับลูบศรีษะของเขา “ร.ป.ภ. ก็วิ่งมาสิ” “ว่าแต่นายมาได้ยังไง” ผมถาม P พร้อมกับหยิบซาลาเปาออกจากถุงสองลูก ลูกหนึ่งยื่นให้แอน อีกลูกให้ตัวเอง  “ฉันก็ขับรถมาไง ว่าแต่ฉันมาตอนงานเลิกแล้วอย่างนั้นเหรอ” P พูดกับผมพร้อมกับมองไปรอบ ๆ “เห็นพวกนายเก็บของแล้วนี่” “ใช่” ผมตอบ “วันนี้คงจะไม่ใช่วันดี” “หรืออาจจะเป็นวันดี” P ตอบกลับพร้อมกับหยิบซาลาเปาขึ้นมากินบ้าง “ผีจึงไม่มา”  ในตอนนั้นจู่ ๆ แอนก็เกิดปวดท้องเธอจึงขอตัวไปเข้าห้องน้ำก่อน โดยให้พวกเราเดินลงไปรอกันที่ข้างล่าง  ผมกับP นั่งรอกันอยู่ชั้นล่างของตึกรู้สึกว่าแอนเข้าห้องน้ำนานจนผิดสังเกต จึงชวนกันเดินกลับขึ้นไปดูแล้วก็ผมก็พบว่า  แอนนั้นยืนนิ่ง ๆ ตัวแข็งทื่อที่หน้าห้องน้ำ “แอน ๆ ๆ “ ผมเรียกพร้อมกับเขย่าตัวของเธอไปด้วย “ไปอะไรไปหรือเปล่า” “ปะ..เปล่า” แอนเริ่มมีสติ ” เรารีบกลับบ้านกันเถอะ” หลังจากนั้นพวกเราก็เดินทางกลับบ้านใครบ้านมันทันที
เช้าวันต่อมา ผมเดินทางไปรับแอนตั้งแต่เช้าเพื่อที่จะไปเรียนยังมหาวิทยาลัย  “เอ่อ...แอน” ผมถามแอนขณะกำลังจะออกรถ “เมื่อคืนวานก่อนเธอเห็นอะไร” แอนเล่าให้ผมฟังว่า เธอนั้นจำได้แค่เพียงว่าในขณะที่กำลังจะเดินออกจากห้องน้ำ เธอก็ได้ยินเสียงเหมือนกับว่ามีอะไรบางอย่างอยู่บนเพดาน จึงเงยหน้าขึ้นไปดู พบว่า เป็นเหมือนหญิงสาวผมยาวคนหนึ่งกำลังไต่อยู่บนเพดาน และกำลังจะไต่มาหาเธอ เมื่อร่างนั้น ไต่เข้ามาใกล้ ก็ค่อย ๆ ลอยลงมาที่พื้นแล้วก็ลอยไปยัง หน้าต่างกระจกบานหนึ่งตรงฝั่งทางเดิน แล้วก็หันหน้ามายิ้มให้เธอและจางหายไป ในขณะที่ตัวของเธอในตอนนั้นขยับตัวไม่ได้ ตะโกนก็ไม่ได้ พูดก็ไม่ได้ จนกระทั่งพวกของผมมาแตะที่ตัวของเธอ  ดังนั้นหลังจากที่ผมไปส่งแอนที่ตึกอาคารเรียนแล้ว ช่วงพักเที่ยงผมจึงเดินขึ้นไปที่ตึกนั้นอีกครั้ง ผมเดินสำรวจทางเดินของชั้นนั้นจนทั่วก็ไม่พบอะไร ผมจึงเดินไปยืนที่หน้าต่างกระจกบานหนึ่งของตึก สายตามองดูวิวด้านนอกของอาคาร ซึ่งก็คือหน้าต่างกระจกบานที่ แอนเล่าให้ผมฟัง ในขณะที่ผมมองวิวของมหาวิทยาลัยพร้อมกับคิดปวดสมองอยู่นั้น เท้าของผมก็เหยียบที่พื้นกระเบื้องแตกดัง “แกร๊ก” ผมจึงมองลงไปที่พื้น “อ้าวซวยแล้วไง” ผมบ่นพร้อมกับหยิบชิ้นส่วนแผ่นกระเบื้องปูพื้นที่แตกขึ้นมาก “ดันทำพื้นกระเบื้องแตกซะได้” แล้วสิ่งที่แปลกเมื่อผมมองไปรอบ ๆ คือ พื้นของตึกชั้นนี้นั้น เป็นพื้นลายหินอ่อน แต่ตรงจุดที่ติดกับผนังหน้าต่างนี้กลับนำแผ่นกระเบื้องแผ่นเล็ก ๆ มาปิดทับซะงั้น มันเป็นแผ่นกระเบื้องสีและลายเดียวกันกับพื้นหินอ่อนดังนั้นคนทั่วไปจึงไม่ได้ทันสังเกต ผมจึงหยิบเศษกระเบื้องที่แตกออกมาจนหมด พบว่ามันเป็นพื้นซีเมนต์ แต่มันมีรอยเท้ารอยเท้าหนึ่งในพื้นนั้น ผมสังเกตว่าน่าจะเป็นรอยเท้าข้างซ้ายของผู้หญิงเนื่องจากว่ามันเป็นรอยเท้าของคนที่สวมรองเท้าส้นสูง และคิดว่าเธอน่าจะมาเหยียบตอนที่พื้นยังไม่แห้งเท่าไหร่นัก ผมจึงรีบวิ่งลงไปที่รถ นำกล้องถ่ายรูปขึ้นมาถ่ายรูปไว้จากนั้นก็ปิดแผ่นกระเบื้องปูพื้นเอาไว้ตามเดิม แล้วก็กลับเข้าไปเรียนในช่วงภาคบ่าย
ตอนเย็นหลังเลิกเรียน ผมได้นำรูปที่ถ่ายได้ไปให้ p และ แอนดู  “อืม” แอนนั่งค้ำคางเหมือนกับว่ากำลังคิดอะไรบางอย่างแล้วพูดว่า “ดูจากลายและสัญลักษณ์ตรายี่ห้อในพื้นรองเท้าไม่ใช่นักศึกษาแน่นอน” “แล้วยังไง” P พูดพร้อมกับเลื่อนดูภาพในกล้อง “เราจะหาเจ้าของรองเท้านี่หน่ะเหรอ ชาตินี้จะหาเจอใหมหล่ะ” “คงจะไม่ยากเท่าไหร่” แอนตอบ “คนใส่รองเท้ายี่ห้อนี้มีไม่กี่คนหรอกเพราะมันราคาค่อนข้างจะแพงที่เดียวเลยหล่ะ” “แต่มีอีกอย่างที่ฉันแปลกใจ” ผมหยิบกล้องถ่ายรูปมาจากมือของ p ยื่นให้แอนดู “ทำไมไม่มีใครเห็นรอยเท้านี้ ช่างปูนน่าจะเห็นนี่นา” “เอาเป็นว่า” แอนพูดต่อพร้อมกับยื่นกล้องคืนให้ผม “ถ้าเราหาเจ้าของรองเท้านี่เจอ ก็คงจะรู้ว่าไปไงมาไง” “ยังไง” ผมกับ p พูดพร้อมกับแล้วก็จ้องหน้าแอน “ก็พี่สาวแฟนเก่านายไง” แอนพูดขึ้นพร้อมกับชี้นิ้วไปยังห้องสมุด “ฉันสังเกตเห็น เธอก็ใส่รองเท้าส้นสูงยี่ห้อนี้ แถมยังใส่สูงตั้งห้านิ้วแหน่ะ” “ไม่จริงหรอก” ผมปฏิเสธเสียงแข็ง “เป็นไปไม่ได้ ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงเราก็ต้องเห็นคราบปูนในรองเท้าเธอสิ” “จริงด้วย” “อาจจะมีก็ได้” แอนตอบ “แต่ป่านนี้เธอคงจะเอารองเท้าคู่นั้นไปทิ้งแล้วก็ได้ เพราะมีนผ่านมาหลายปีแล้ว” “แต่มันดูไม่มีเหตุผลนะ” P พูดขึ้นมาบ้าง “ที่จะสงสัยผู้หญิงตัวเล็ก ๆ อย่างพี่อ้อยหน่ะ แล้วผู้ชายในความฝันของนายหล่ะเอก น่าสงสัยใหมหล่ะ” หลังจากคำพูดของ P จึงทำให้ผมนึกขึ้นได้ทันที “เออจริงสิ แล้วอาจารย์คนนั้นเป็นใครกัน”  “ถ้าอย่างนั้นคงต้องไปดูที่ทำเนียบบุคลากรแล้วแหล่ะ” แอนพูดพร้อมกับลุกขึ้น “ไปดูกันไหมหล่ะ”  ผมกับพีและแอนจึงตัดสินใจเดินไปดูทำเนียบบุคลากร ซึ่งติดไว้ที่ตึกอำนวยการของมหาวิทยาลัย เมื่อไปถึง ผมก็พบป้ายชื่อและรูปของ        อาจารย์คนหนึ่งที่ติดไว้ที่ทำเนียบบุคลากรระบุชื่อ ว่า อาจารย์ วรวิทย์ มหาศาล อาจารย์ ประจำคณะบริหารธุรกิจ มีวงเล็บใต้ชื่อว่า “ลาศึกษาต่อต่างประเทศ” ซึ่งมีใบหน้าที่เหมือนกันอาจารย์หนุ่มคนที่เจอในฝันของผมแป๊ะ “อ้าวจบกัน” P อุทานเสียงดังพร้อมกับหันหน้ามาทางผมและแอน “แล้วเราจะทำยังไงต่อ” “ฉันว่าถ้าจะแก้ปริศนา” แอนพูดเสริม “คงจะเกินความสามารถของเราแล้วหล่ะ” พวกเราทั้งสามคนเดินออกจากตึกอำนวยการด้วยท่าทางผิดหวัง แล้วก็แยกย้ายกันไปทำธุระของตนเอง โดยที่วันนี้พวกเราทั้งสามคนไม่ได้กลับบ้านพร้อมกัน ผมเลือกที่จะเดินเข้าไปที่ห้องสมุดสักพัก เผื่อจะพบอะไรเพิ่มเติม  เมื่อผมไปถึงที่ห้องสมุดก็พบพี่อ้อยกำลังเก็บหนังสืออยู่ แต่สิ่งที่ผมแปลกใจอย่างมากคือ การแต่งตัวของพี่เขานั้นเปรี้ยวมาก โดยพี่อ้อยนั้นใส่เพียงเสื้อเกาะอกต่ำ เอวลอยสีเหลือง กระโปรงรัดรูปสั้น ๆ สีดำแหกข้างซ้ายขั้นไปอีกประมาณ 2 นิ้ว มองจากสายตากระโปรงน่าจะยาวเพียง 12 – 12.5 นิ้วเท่านั้น แล้วสวมร้องเท้าส้นสูง ส้นเข็ม สูง ประมาณ 6 นิ้ว สีเหลือง อีกทั้งยังแต่งหน้าทำผมซะสวยไปเลย “เอ่อ สวัสดีครับ พี่อ้อย” ผมพูดทักทายพี่อ้อย จากนั้นพี่อ้อยกันหันกลับมามองผมด้วยท่าทางเขิน ๆ “ว่าแต่พี่จะไปไหนเหรอครับ ทำไมวันนี้แต่งตัวสวยจัง” “เอ่อ...ไม่ได้ไปไหนหรอกจ๊ะ” พี่อ้อยตอบยิ้มเขิน ๆ “ช่วงนี้มีแต่เรื่องเครียด ๆ หน่ะ พี่ก็เลยอยากจะลองเปลี่ยนตัวเองดู และอาจจะเปลี่ยนอย่างถาวรเลยด้วย” “แล้วทางมหาวิทยาลัย” ผมถามพี่อ้อยต่อพร้อมกับมองเธอตั้งแต่หัวจรดเท้า “เขาไม่ว่าอะไรเหรอครับ” “ไม่ว่าหรอก” พี่อ้อยตอบพร้อมกับเดินเอา
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่