ธารทิพย์ บทที่ 61

กระทู้สนทนา
ธารทิพย์

โดย อัศวรักษ์


ธารทิพย์ บทที่ 60 http://pantip.com/topic/33808025

            บาทของเชษฐาและพระอนุชาเริ่มก้าวเดินออกไปบนพื้นป่า แสงระยิบระยิบสะท้อนกันไปมาเริ่มเรืองขึ้นอีกครั้งด้วยการเคลื่อนพล ทัพม้าและพลเดินเท้าแก้วผลึกใสเหยาะย่างฝีเท้าทันทีที่สองพยัคฆ์แห่งอินทปัตถ์เคลื่อนวรกาย แปรขบวนครึ่งวงกลมรายล้อมอารักขา คืบไปตามการเคลื่อนที่ของเจ้านายทั้งสององค์มุ่งหน้าสู่พื้นที่อันเคยเป็นวังหลวงของอินทปัตถ์นคร ณ ที่ราบบนหน้าผา

                ร่างของท่านไกรศักดิ์และพีชายหนุ่มเวลานี้ก้าวไปด้วยท่วงท่าสง่างามสมกับที่เคยเป็นจอมทัพบนดินแดนนี้ ไม่มีอาการอิดโรยเหน็ดเหนื่อยสายตัวแทบขาดให้ได้เห็น ก้าวเท้ามั่นคง แผ่นหลังยืดตรง ไหล่และใบหน้าเชิดขึ้นเล็กน้อย สองแขนที่แกว่งอยู่ข้างลำตัวเปิดศอกพองามกำมือหลวม ทั้งสองต้องเดินไปด้วยสองขาของตนเองบนผืนป่า ไม่มีการร้องขอพาหนะใดมารับใช้ช่วยเหลือ ด้วยศรัทธาที่จะยอมเดินไปชดใช้

                ยิ่งระยะห่างลดลงเท่าใดโทสะอันเกิดจากความโกรธแค้นของกาวะวิกะยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้นหลายเท่า พายุฝนกระหน่ำหนักจนมองแทบไม่เห็นขุนเขาและที่ราบบนหน้าผา สายฟ้านับร้อยสายฟาดเปรี้ยงๆจนเศษดินเศษหินปลิวว่อน แต่ไม่มีพลังมืดส่วนใดลุกล้ำเกินเขตของกองทัพแก้วเข้ามาได้ ทัพใหญ่ยังคงเคลื่อนเข้าหาอย่างไม่มีทีท่าจะกริ่งเกรง

                “เจ้าประจักษ์โทสะของนางเยี่ยงนั้นแล้วรึไรพยัคฆราช” อุเทนธิกะตรัสขณะเดินอยู่โดยไม่ได้หันพักตร์มาหาอนุชา

                “เจ้าข้าฯ หม่อมฉันประจักษ์แล้วเจ้าพี่” พยัคฆราชตรัสตอบ

                “พยัคฆราช” อุเทนธิกะตรัสเรียกนาม

                “เจ้าข้าฯเจ้าพี่” พยัคฆราชขานตอบ

                “เจ้าสำเหนียกรู้หรือไม่ ว่าใยอำนาจแค้นของนางยังมีพลังเหนือกว่าอำนาจรักอันเพลานี้”

                พระอนุชาพยัคฆราชเดินก้มหน้าคิดอยู่อึดใจแล้วตรัสตอบ

                “หม่อมฉันมิสำเหนียกการณ์นั้นเจ้าข้าเจ้าพี่”

                “เจ้าบอกกล่าวต่อข้า ว่าเจ้าคือผู้ต้องอาญา ใช่รึไรพยัคฆราช” อุเทนธิกะตรัสถาม

                “เจ้าข้าฯ” พระอนุชาเดินพนมมือไหว้แล้วตรัสตอบรับ

                “มือของเจ้าอีกทั้งดาบคู่นรรัตน์นั่นใช่หรือไรที่บั่นศอของนางในอดีต” อุเทนธิกะตรัสบอก

                “เพลานี้ทั้งสองสิ่งยังอยู่ยั้งกัน วิญญาณแค้นของนางสำเหนียก ว่าสองสิ่งนั้นเข้าใกล้นาง”

                “อีกทั้งเจ้ายังเป็นเยี่ยงผู้ต้องอาญา เจ้าจงมอบดาบคู่อันเจ้าสะพายหลังอยู่นั้นให้ข้าเสียเถิด”

                พระเชษฐาอุเทนธิกะหันมาตรัสบอก

                “เจ้าข้าฯเจ้าพี่ หม่อมฉันขอนอบน้อมมอบดาบคู่นรรัตน์นี้ไว้ในหัตถ์เจ้าพี่เจ้าข้าฯ”

                พยัคฆราชผู้อนุชาปลดดาบคู่ที่สะพายหลังอยู่คุกเข่าลงชูถวายให้ด้วยสองมือ

                “น้องข้า เราจงมาเฝ้าพินิจดู ว่าโทสะของนางจะเบาบางลงหรือไม่” อุเทนธิกะยิ้มตรัสบอกแล้วรับดาบมา

                กองทัพแก้วขยับเคลื่อนพลเดินหน้าต่อไป เมื่ออุเทนธิกะและพยัคฆราชเริ่มก้าวพระบาท เสียงย่ำเท้าพร้อมเพรียงพรึ่บพรั่บเป็นจังหวะเดียวกันนั้น บ่งบอกถึงวินัยและความเข้มแข็งแห่งอินทปัตถ์ที่มีมาแต่อดีต ความทรงพลังที่สุดแห่งดินแดนอันนำมาซึ่งการลุแก่อำนาจของเจ้าผู้ครองนคร ลุ่มหลง มัวเมา กดขี่ บีฑา ไร้ปราณี ลืมสิ้นว่ามิมีสิ่งใดคงอยู่ค้ำฟ้าได้ จนที่สุดบาปเวรก็ชอนไชถึงศูนย์กลางอำนาจด้วยเพียงตัณหามืดบอด อนิจจา หลุมพรางที่จักรวาลวางดักผู้ยิ่งใหญ่ทั้งหลายไว้แต่อดีตจนปัจจุบัน หลุมพรางที่ผู้ยิ่งใหญ่คนแล้วคนเล่าต้องตกลงไปทันทีที่หลงลืมตน

                ตะวันคล้อยบ่ายแล้ว ในที่สุดทัพหน้าม้าแก้วซึ่งเคลื่อนที่เร็วเพียงเท่าการก้าวบาทเดินของจอมทัพก็เข้าประชิดตีนผาอันถือเป็นเขตวังหลวงของนครโบราณ ขุนศึกแก้วผู้บัญชาทัพม้าแปรขบวนซ้อนแถวกันหลายชั้นเป็นแนวยาวตั้งแต่ซ้ายจรดขวาของหน้าผา ตามมาด้วยขุนศึกแก้วผู้บัญชาพลเดินเท้านับหมื่น พลธนูแก้วหลายพันนายตั้งขบวนซ้อนกันสิบแถว ยาวพอกันกับแนวของทัพม้าห่างออกมาไม่มากนัก จากนั้นจึงเป็นพลเดินเท้าซึ่งแบ่งกลุ่มกองเท่าๆกันจัดแถวเป็นรูปสี่เหสี่ยมผืนผ้า กว่าหกสิบกลุ่มกองหยุดตั้งแถวเว้นระยะห่างไว้เท่าๆกันตามวิธีจัดทัพแบบโบราณ

                ทัพแก้วผลึกใสทั้งหมดบัดนี้หยุดนิ่งรอรับสั่งจากพระอุปราชจอมทัพ พลังอำนาจของกองทัพผลักดันให้พายุฝนซึ่งเวลานี้อ่อนกำลังลงอย่างมาก ทำการต่อต้านได้เพียงโปรยน้ำฝนกับฟ้าร้องอยู่บนที่ราบใหญ่บนหน้าผาเท่านั้น

                อุเทนธิกะจอมทัพและพระอนุชาประทับยืนเบี่ยงออกมาทางด้านซ้ายสุดของฐานหน้าผา อยู่ไม่ห่างจากแนวหน้านักท่ามกลางกองทัพ แหงนพักตร์มองจ้องขึ้นไปบนหน้าผา

                “กาวะวิกะ น้องเจ้าบัดนี้ขอจงละวางโทสะลงเถิด” พระอุปราชตรัสบอก

                “พี่หยั่งรู้ว่าอันเจ้าเองเพลานี้สูญสิ้นกำลังลงมากแล้ว ขอเจ้าสงบแล้วฟังคำพี่”

                “เปรี้ยง เปรี้ยง” เสียงฟ้าผ่าสองสายดังสนั่นกึกก้องบนที่ราบด้านบน เหมือนดิ้นรนเฮือกสุดท้ายพยายามต่อสู้

                “หากว่าเจ้ายังดื้อดึงเยี่ยงนี้แล้วไซร้ จำพี่ต้องกำราบเจ้าแล้วเพลานี้” อุเทนธิกะตรัสขึ้นไปบนหน้าผา

                “จงฟังบัญชาข้า” อุเทนธิกะหันไปตรัสกับขุนศึกแก้ว

                “กำราบพายุนั้นให้แตกพ่ายบัดเดี๋ยวนี้”

                เพียงเท่านั้นที่จอมทัพตรัสสั่ง พลธนูแก้วทุกคันเหนี่ยวสายออกพร้อมกันเล็งไปบนหน้าผา เสียงสั่งจากขุนศึกผู้บัญชาพลธนูดังขึ้น แล้วลูกศรแก้วผลึกหลายพันดอกก็แล่นออกจากแหล่งพร้อมกัน พุ่งโด่งเป็นวีถีโค้งตกลงบนที่ราบใหญ่บนหน้าผา แล้วตามติดมาอีกหลายระลอกด้วยพลธนูแถวถัดไป ลูกธนูแก้วผลึกใสโด่งโค้งตกลงปูพรมไปทั่วที่ราบบนหน้าผา เกิดเป็นแสงประกายวูบวาบระยิบระยับและเสียงโครมครืนดังขึ้นด้วยสองพลังเข้าปะทะกัน

                สายฝนหยุดสนิทลงทันที เหลือแต่สายฟ้าหลายสิบสายที่แล่นแปลบปลาบอยู่ในอากาศเหนือที่ราบบนหน้าผา สายฟ้านั้นพยายามอย่างสุดความสามารถที่จะทำลายลูกธนูแก้วผลึกใสให้ย่อยยับก่อนจะตกลงบนพื้น ปรากฏเป็นประกายของเส้นแสงปะทะกันดูน่าสะพรึงกลัว หากแต่ด้วยอำนาจที่มีเหนือกว่าของกองทัพทำให้สายฟ้าแม้จะฟาดโดนลูกธนูแก้วก็มิอาจทำให้ระคายได้ ทั้งหมดตกลงสู่พื้นเรืองรองไปจนทั่ว

                ระลอกแล้วระลอกเล่าของลูกธนูแก้วที่ตกลงบนที่ราบจนทั่ว ที่สุด พลังของกาวะวิกะผู้เดียวดายก็ต้องยอมจำนนต่อทัพแก้วผลึกใสแห่งอินทปัตถ์ สายฟ้าสายฝนและพยับเมฆใหญ่ทะมึนดำต้องถอยร่นอันตรธานไปจนหมดสิ้น พลธนูแก้วทั้งหมดลดคันธนูชี้ลงพื้นดินเมื่อขุนทัพร้องสั่ง

                “เจ้าพี่” พยัคฆราชคุกเข่าลงตรงหน้าพระเชษฐาอุเทนธิกะ

                “ได้โปรดเจ้าพี่อย่าทำร้ายให้นางได้ทุกข์เข็ญอีกเลยเจ้าข้า” พยัคฆราชตรัสขอแล้วมองขึ้นไปด้วยสายตาที่ห่วงใย

                “พยัคฆราช” อุเทนธิกะก้มมองอนุชา

                “ข้ามิประสงค์จะให้นางได้ทุกข์เข็ญ”

                “หากแต่ข้าจำต้องปลดพลังขุ่นแค้นของนางให้บางเบาลง”

                “มิเช่นนั้น เจ้าอีกทั้งข้าจะมิอาจเหยียบย่างคืนสู่นคราได้ เจ้าแจ้งแก่ใจรึไม่พยัคฆราช” อุเทนธิกะตรัส

                พยัคฆราชผู้อนุชาก้มพยักหน้ารับมิกล้าเงยขึ้นสบเนตร

                “ได้เพลาอันเราจะหวนคืนสู่อินทปัตถ์ในครานี้” อุเทนธิกะตรัสแล้วมองไปยังฐานของหน้าผาด้านซ้ายสุด

                “ร่างเจ้าอยู่ในช่องลี้หลบเยี่ยงนั้นมิใช่รึพยัคฆราช”

                “เจ้าข้าเจ้าพี่” พระอนุชาตอบ

                “เยี่ยงนั้นจงเร่งมาด้วยข้าบัดนี้” อุเทนธิกะตรัสแล้วก้าวบาทออกดำเนินตรงไปทางโตรกด้านซ้ายนั้น

                “เจ้าข้าเจ้าพี่” พยัคฆราชรับคำแล้วรีบลุกขึ้นก้าวบาทตามไป

                แนวทหารแก้วและม้าแก้วแปรขบวนเปิดเป็นช่องให้ทั้งสององค์ดำเนินผ่าน ขุนศึกแก้วก้าวลงจากหลังม้าตามเป็นแถวไปด้วยเพื่อถวายการอารักขา จนทั้งสองมาหยุดแหงนพักตร์มองอยู่หน้าโตรกด้านซ้ายสุดของหน้าผาใหญ่อันเป็นฐานที่ตั้งของตัวพระนครอินทปัตถ์แล้วก้มลงมองไปยังช่องปากถ้ำเล็กขนาดต้องคลานเข้าไป กลุ่มกอไม้ขึ้นกระจัดกระจายบดบังปากทางเข้าไว้มิให้พบเห็นได้โดยง่าย ช่องทางลับลี้ภัยนี้ถูกสร้างไว้เชื่อมต่อจากพระราชวังที่ที่ราบบนหน้าผายาวมาจนถึงบริเวณนี้ มีเพียงราชวงศ์ลำดับต้นๆไม่กี่องค์เท่านั้นที่ล่วงรู้

                “ข้ามิประสงค์ให้พวกเจ้าตามข้าเข้าไปขุนศึกทั้งหลาย” อุเทนธิกะหันมาตรัสสั่งทหารแก้ว

                “ข้าอีกทั้งพยัคฆราชจะเข้าไปเพียงลำพัง”

                สดับคำตรัสสั่งแล้วขุนทหารแก้วทั้งหมดจึงคุกเข่าข้างเดียวลงนิ่งอยู่อย่างนั้น

                พระอุปราชปลดดาบคู่นรรัตน์ที่สะพายหลังอยู่ลงถือไว้ด้วยหัตถ์ข้างเดียวแล้วคุกเข่าคลานเข้าไปภายในทันทีโดยไม่มีท่าทีรั้งรอ พยัคฆราชพระอนุชาจึงย่อตัวคลานตามเข้าไป

                ช่องถ้ำเริ่มขยายขนาดออกทันทีที่ผ่านปากทางเข้ามาไม่กี่ช่วงตัว ลักษณะเป็นพื้นเรียบความสูงเหนือหัวไม่มากนักทอดยาวลึกเข้าไปในเทือกเขา ชี้ชัดว่าเป็นถ้ำที่มนุษย์ขุดขึ้นเองและเจตนาบีบปากทางออกเพื่อมิให้ภายนอกมองเห็นได้ง่าย พื้นถ้ำและผนังรูปโค้งเป็นหินตัด เรียงเป็นก้อนป้องกันถ้ำถล่มลงมา แสงสว่างที่เรืองพอมองเห็นน่าจะเป็นการเจาะช่องแสงไว้ที่ใดที่หนึ่งภายใน

                อุเทนธิกะและพระอนุชาพยัคฆราชก้าวบาทเดินไปข้างหน้าภายในถ้ำลี้ภัยอย่างผู้ชำนาญเส้นทางไม่มีทีท่าจะรีรอหรือเกรงกลัว เพียงไม่นานทั้งสององค์ก็มาถึงโถงใหญ่พอประมาณที่สร้างไว้ด้วยเหตุผลอะไรสักอย่างที่ผู้สร้างต้องการใช้งาน บาทของอุเทนธิกะหยุดลงเมื่อก้าวเข้ามาในโถงถ้ำทอดเนตรมองนิ่งไปที่พื้นกลางห้องโถง พยัคฆราชคุกสองเข่าลงข้างๆพระเชษฐามองตามไป

                “เจ้าทนทุกข์อยู่เยี่ยงนี้แสนนานพยัคฆราช” พระเชษฐารำพึงเบาๆด้วยสุรเสียงโทมนัส

                “เจ้าข้า” พยัคฆราชรับคำด้วยเสียงปนสะอื้นก้มพักตร์ลงมองพื้น

                ณ ริมด้านหนึ่งของผนังโถงถ้ำ โครงกระดูกของบุรุษร่างหนึ่งวางเรียงเหยียดยาวอยู่บนพื้นด้วยท่าตะเกียกตะกายยืดแขนข้างหนึ่งจนสุดเพื่อไขว่คว้าบางสิ่งก่อนสิ้นใจ กระดูกข้อเท้ามีตรวนกับโซ่เหล็กโบราณเก่าคร่ำคร่ายาวแค่ช่วงแขนล่ามติดไว้กับผนังแน่นหนา มีเศษผืนผ้ารุ่งริ่งที่หลงเหลืออยู่กับกองกระดูกประปรายบอกฐานะชนชั้นสูงของเจ้าของ ผนังด้านตรงข้ามกับที่โครงกระดูกแรกเอื้อมคว้าสุดแขนไป มีอีกหนึ่งร่างนอนเหยียดยาวเป็นโครงกระดูกอยู่ชิดริมผนัง ร่างของสตรีนางกษัตริย์ที่ดูได้จากเศษผ้าบางส่วนที่หลงเหลือห่อหุ้มอยู่ไม่มาก โครงกระดูกนี้มีสิ่งที่มิใช่เครื่องประดับปะปนอยู่ด้วย คือลูกธนูโบราณที่กระดูกท่อนขาขวาวางทับเอาไว้

                “ใยเจ้ามิหลีกลี้หนีให้พ้นมือข้าเพลานั้นพยัคฆราช” อุเทนธิกะตรัสถามด้วยความร้าวรานใจ

                พระอนุชาก้มพักตร์มองพื้นไม่ตรัสตอบ

                “อีกเพียงมิกี่ช่วงก้าวเดินก็จะถึงทางออก ใยเจ้ามิเร่งหนีไป บอกข้าพยัคฆราช” อุเทนธิกะตรัสย้อนความในอดีต

                “เจ้าพี่” พยัคฆราชเอ่ยโอษฐ์

                “หม่อนฉันมิอาจทอดทิ้งจันทร์สุดาอันลมหายใจแผ่วลงแล้วไปได้เจ้าข้า”

                “นางต้องธนูทหารของเจ้าพี่ที่ติดตามมา มันต้องที่น่องขาขวาตัดสายโลหิตใหญ่เจ้าข้า” พยัคฆราชเล่าความ

                “โลหิตหลั่งมิยอมขาดสาย จนนางเริ่มหายใจแผ่วลง” พยัคฆราชตรัสเล่าแผ่วเบาเมื่อภาพอดีตหวนกลับมา

                “หม่อนฉันอุ้มนางมา แล้ววางลงบนพื้นเยี่ยงนั้นเจ้าข้า”

                “เจ้ารู้รับว่านางใกล้เพลาตาย แล้วใยเจ้าจึงมิคิดเห็นควรหลีกหนีไปต่อ” อุเทนธิกะตรัสถาม

                “เฝ้ารออยู่เยี่ยงนั้นจนข้ามิอาจหลีกพ้นต้องมีกรรมกับพวกเจ้าทั้งสองด้วย”

                “นางสิ้นชีวีด้วยอนาถ เป็นเพราะหม่อมฉันโฉดเขลา” พยัคฆราชตรัสด้วยความรู้สึกสำนึกความผิดในอดีต

                “หม่อมฉันจึ่งมิคิดหนีรอดเพียงผู้เดียวอีกต่อไป จึ่งคิดยั้งกายไว้รอเจ้าพี่ลงอาญาเจ้าข้า”

                พระอุปราชยืนมองอนุชาของตนนั่งคุกเข่าก้มหน้า น้ำตาของแม่ทัพหน้าแห่งอินทปัตถ์ไหลหลั่งรด หยดลงบนพื้นถ้ำที่เกิดเหตุในอดีตอีกครั้ง
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่