ธารทิพย์
โดย อัศวรักษ์
ธารทิพย์ บทที่ 53
http://pantip.com/topic/33667461
“พยัคฆราช” ท่านครูพะลุเวษาเอ่ยนาม
“ขอวิญญาณท่านจงรู้แจ้งจนกระจ่างแก่ใจ ขอให้ท่านมั่นคงทั้งแน่วแน่ไว้ในจิต”
“อันคู่บารมีแห่งบพิตรนั้น จะพานพบสบกันไม่อาจคลาดคลา”
“บางภพบางชาติอาจมิพบมิเจอ หากแต่จะพบอีกเสมอในภพหน้า”
“ตามผลแห่งบาปบุญเกื้อหนุนพา อันทั้งสองสั่งสมมามิเทียมเท่ากัน”
“ในชาติภพแห่งองค์พยัคฆราช กาวะวิกะนางมิอาจเคียงคู่ได้”
“ด้วยบาปเวรที่นางได้ทำไว้ นำส่งให้นางเข้าสู่ความมืดแห่งมนต์ดำ”
“นางชดใช้ท่านแล้วด้วยคมดาบ ยอมชดใช้ด้วยศิโรราบตามจิตมั่น”
“จิตของนางมิพรั่นพรึงขอชีวัน เพลานั้นนางมอบให้ท่านทั้งกายใจ”
“เสี้ยวเพลาก่อนท่านประหารประหัต นางมิได้ข้องขัดนางอธิษฐาน”
“ขอตามไปได้อยู่เคียงคู่กัน ทุกภพชาติเฉกเช่นนั้นตลอดไป”
“พยัคฆราช” ท่านครูเอ่ยเรียกขณะร่างของพีนั่งก้มหน้ามองพื้นนิ่งอยู่
“เจ้าข้าฯท่านครู” พยัคฆราชเงยหน้ารับคำด้วยน้ำตาที่ไหลริน
“ชาติภพนี้ท่านได้เกิดเป็นมนุษย์ คือร่างอันท่านลงฉุดครอบครองไว้”
“ชายที่นั่งตรงหน้าเรานี่ประไร คือชาติภพชาติใหม่ท่านอีกครา”
“หากแต่วิญญาณแห่งคู่บารมี นางเป็นผีสิงสู่อยู่บนหน้าผา”
“ติดกับอยู่กับความแค้นแน่นอุรา คอยท่านมาปล่อยปลดลดโทสะลง”
“อีกสิ่งหนึ่งท่านจงจำคำครูให้มั่น เสี้ยวจิตที่นางนั้นอธิษฐานประสงค์”
“ได้ตามท่านไปเกิดแล้วดั่งใจจง คือนางที่ยังคงในนิทรา”
“หากท่านชดใช้ให้นางหายคลางแคลงในจิต ปล่อยวิญญาณที่สถิตบนหน้าผา”
“จึ่งเท่ากับท่านปลดปล่อยโฉมกัลยา ในนิทราให้ตื่นขึ้นฟื้นมาครอง”
“ท่านแจ้งแล้วแก่ใจรึไรพยัคฆราช” ท่านครูถาม
“เจ้าข้าฯท่านครู ข้าแจ้งแก่ใจแล้ว” พยัคฆราชตรัสกับท่านครูพะลุเวษาด้วยน้ำตา
“พระนางจันทร์สุดา” ท่านครูเอ่ยเรียกมองไปที่ร่างของสร้อยแก้วที่ร้องไห้เบาๆอยู่
“พระนางจงอย่าโทมนัสเลย คู่บารมีแห่งพระนางมิได้ถือกำเนิดในชาติภพของพระนาง”
“บุรุษนั้นบำเพ็ญบารมีอยู่ยังที่หนึ่ง อันบัดนี้ลิขิตพึงได้เพรียกขาน”
“ให้กำเนิดในชาติภพแห่งนงคราญ อีกไม่นานจะได้พบประสบกัน”
“เจ้าสร้อยแก้วจะพบพานสราญสุข จะหมดทุกข์หมดโศกหมดสิ้นโหยหา”
“ด้วยผู้คู่บารมีที่ตามมา จะได้อยู่พร้อมหน้าอีกคราครัน”
“เหตุอันที่พระนางนั้นต้องตามมา ด้วยเพราะฐานะของท่านนั้นเสมือน”
“ผู้เป็นจันทร์ส่องฟ้าสกาวเรือง งามประเทืองทั่วแคว้นแดนราตรี”
“ท่านผู้เป็นองค์แทนแห่งราตรี ขอท่านจงรับสิ่งนี้จากเราไว้”
“เพื่อก้าวข้ามผ่านภพสู่ภายใน ดินแดนอันท่านทั้งหลายด้นดั้นมา”
“ขอพระนางรับไป” ท่านครูบอกกล่าวแล้วยื่นมือให้
พระนางจันทร์สุดาในร่างของสร้อยแก้วขยับเข้ามาใกล้แล้วแบฝ่ามือข้างหนึ่งไปรับ
สิ่งที่ท่านครูพะลุเวษาวางลงบนฝ่ามือของสร้อยแก้วคือวัตถุสีเหลือบน้ำเงินเงาเป็นประกาย มีเพียงสามคนในที่นี้เท่านั้นที่เคยเห็น คือพี โจและท่านลุงไกรศักดิ์ ร่างพียังนั่งนิ่งด้วยถูกประทับโดยวิญญาณของพยัคฆราช ท่านลุงไกรศักดิ์ก็ยังคงฐานะของท่านอุเทนธิกะอยู่ จึงนิ่งเฉยไม่ตรัสอะไร มีเพียงโจเท่านั้นที่จำได้ว่านั่นคือหนึ่งในสองชิ้นของวัตถุประหลาดที่เขาและพีนำไปฝากแม่โสภากับเงาะน้องสาวที่ห้องอาหารภายในคฤหาสน์ธำรงสัตย์
“ท่านมิพักต้องแปลกใจองค์มาริช” ท่านครูพูดมองมาที่โจ
“ท่านผู้เป็นองค์แทนแห่งทิวา ขอท่านจงเข้ามายังเราแล้วรับเอาสิ่งนี้ไป”
“เจ้าค่ะท่านครู” โจรับคำ
โจขยับเข้าไปหาแล้วเอื้อมฝ่ามือแบให้ท่านครูวางก้อนวัตถุสีเหลืองเหลือบลายลงมาให้ ชายหนุ่มกำมือแน่นไว้ด้วยความรู้สึกว่าคือของสำคัญที่ต้องรักษาไว้ด้วยชีวิต
“ท่านครู” โจมองท่านครูพะลุเวษาทั้งที่เปลือกตาหลับอยู่
“องค์มาริช” ท่านครูเอ่ย
“เราขอแจ้งกล่าวต่อท่านให้กระจ่างใจ ท่านผู้เป็นชาติภพใหม่แห่งมาริช”
“เพลานี้ท่านผู้เดียวอันคงความคิดจดจำ อันก้อนกำประหลาดสองสิ่งนี้”
“ท่านอีกสหายท่านได้รับให้ชี้ให้นำไป ยังกรุงเมืองเรืองไกรอันท่านเนาว์”
“มอบไว้ให้มารดาท่านก้อนหนึ่ง อีกหนึ่งนั้นท่านมอบให้ขนิษฐา”
“เพลานั้นท่านมิสำเหนียกอันใดว่า สองสิ่งนั้นจักต้องตามมาให้พบกัน”
“สิ่งหนึ่งคือมณีแห่งทิวา อีกสิ่งหนึ่งมณีแห่งราตรีนั้น”
“สองสิ่งมิอาจพบบรรจบกัน ในภพภูมิของท่านเช่นนั้นนา”
“จึ่งเกิดอาเพศเหตุประหลาด ในเขตเรือนว่ามิอาจเก็บรักษา”
“มารดาท่านจึ่งมอบของสองสิ่งมา ให้ในมืออุเทนธิกะผู้พี่ชาย”
“ลุงของท่านนำมาบูชาไว้ วางถวายบนแท่นใหญ่ในเรือนท่าน”
“มอบแด่องค์มหาเทพแห่งโลกันตร์ พญายมราชท่านรับถวายไว้รอเพลา”
“จนมาถึงซึ่งคราเพลานี้ พระองค์ท่านจึ่งมอบสองมณีอันล้ำค่า”
“ประทานคืนให้มนุษย์อันดั้นด้นมา มันผู้ยอมศรัทธาชดใช้กรรม”
“ให้มันใช้เปิดทวารวะสะออก ได้พบแดนแล้วจงบอกกล่าวคำมั่น”
“ว่าเหล่ามันยอมชดใช้ให้แก่กัน คงศรัทธาจิตมิหวั่น ขออโหสิกรรม”
“ท่านแจ้งแก่ใจแล้วรึไม่ องค์มาริช” ท่านครูถาม
“เจ้าข้าฯ ท่านครู” โจหรือองค์มาริชตอบรับคำ
“ถึงเพลาแล้ว” ท่านครูพะลุเวษาเอ่ย
“ขอทุกองค์ท่านอีกทั้งกุณฑลจงตามเรามา” ท่านครูกล่าวแล้วลุกขึ้นเดินไปยังริมลำน้ำ
สี่ร่างประทับ สองวิญญาณและอีกสองมนุษย์ลุกขึ้นเดินตามท่านครูไป อุเทนธิกะดำเนินนำไปข้างหน้าสองข้างวรกายมีวิญญาณพระนางอลิยาเทวีกับท่านแม่กมุทและกุณฑล ตามไปด้วยพยัคฆราชและพระนางจันทร์สุดาแล้วสองมนุษย์สุดท้ายคือโจกับเหมียว คือองค์มาริชและพระนางจิระประไพคู่บารมี
ณ ริมนที ท่านครูหยุดยืนทอดสายตามองไปฝั่งตรงข้ามแล้วเงยหน้ามองท้องฟ้าซึ่งเริ่มจะมีแสงเรืองของรุ่งอรุณปรากฏขึ้นครู่หนึ่ง ทุกวิญญาณแห่งอินทปัตถ์ที่เดินตามมานั่งลงไม่ห่างจากท่านครูนัก
“ได้เพลาแห่งพระนางแล้ว” ท่านครูพูดแล้วหันกลับมา
“พระนางอลิยาเทวี” ท่านครูเอ่ยนาม
“เราขอทูลให้พระนาง ท่านพยัคฆราช อีกองค์อุปราชอุเทนธิกะ ดำเนินมายังริมฝั่งนทีนี้ด้วยเถิด”
ทั้งสามองค์ขยับวรกายลุกขี้นดำเนินไปที่ริมน้ำตามที่ท่านครูบอก
“ขอพระนางอีกทั้งท่านพยัคฆราชประทับยังริมนที โปรดหันพระพักตร์หากัน”
“พระองค์อุเทนธิกะ ท่านกมุท” ท่านครูหันไปทูลพระอุปราชและพระมารดาของพยัคฆราช
“ขอพระองค์และท่านแม่กมุทประทับอยู่ อันเพื่อสดับเป็นทิพย์ยานด้วยเถิด”
อุเทนธิกะดำเนินเข้าไปประทับนั่งหันพระพักตร์เข้าหาพระนางอลิยาเทวีและพยัคฆราชที่ประทับตรงหน้ากันอยู่ โดยมีวิญญาณของท่านแม่กมุทนั่ง
พับเพียบอยู่ข้างๆด้วย โจและเหมียวยังคงปิดเปลือกตาอยู่เช่นเดิมเพื่อมองทุกสิ่งด้วยตาทิพย์ ร่างและสมองของเหมียวหรือพระนางจิระประไพจ้องมองอย่างไม่ยอมพลาดสายตาเพื่อจะเข้าใจและจดจำทุกคำพูดในการสนทนา
“พระนางอลิยาเทวี” ท่านครูกล่าวนำ
“บัดนี้ มีกรรมอันใด อันท่านได้จงใจกระทำ ให้เกิดเป็นวิบากกรรมแก่พยัคฆราช”
“อีกเป็นผลให้เกิดวิบากกรรมต่อท่านในชาติภพใหม่”
“จงแถลงให้แจ้งแก่ใจต่อพยัคฆราช อีกทั้งต่อหน้าพระพักตร์แห่งสวามีท่านพร้อมท่านกมุทด้วยเถิด”
ดวงวิญญาณของพระนางอลิยาเทวีทรงกรรแสงสะอื้น กราบลงบนพื้นต่อพระสวามีอุเทนธิกะแล้วหันมากราบลงอีกครั้งให้กับพยัคฆราชที่นั่งอยู่ตรงหน้าและท่านแม่กมุทด้วย
“เจ้าพี่ ท่านกมุท พยัคฆราชน้องเรา เราได้กระทำผิดต่อท่านพยัคฆราช” วิญญาณพระนางบอกกล่าวทั้งสามองค์
“เจ้าพี่อุเทนธิกะ น้องจงใจละมิทูลความให้เจ้าพี่ทรงทราบ ว่ากาวะวิกะนั้นนางเฝ้ากราบกับหม่อมฉัน”
“เล่าแจ้งแถลงความในใจอัน นางคงมั่นคงรักคงภักดี”
“ในองค์อนุชาพยัคฆราช นางขอเพียงรองพระบาทในชาตินี้”
“เยี่ยงสนมข้าทาสนางยอมพลี นางทูลความขอเจ้าพี่ทรงโปรดเมตตา”
“ให้ช่วยกราบบังคมทูลเจ้าเหนือหัว ขอตัวนางนั้นกลับมาหา”
“ให้ได้อยู่รับใช้พระอนุชา เป็นเยี่ยงนั้นอันนางมากราบวิงวอน”
“หากแต่ น้องนั้นมิพลันคิด ด้วยจิตอันตั้งไว้ในมิจฉา”
“จึ่งละไว้ในเหตุอันควรเมตตา เพียงเพราะโฉมกัลยานั้นงดงาม”
“อันเพียงน้องคิดเขลาเบาปัญญา มิประสงค์ให้นางมาชูหน้าสลอน”
“ทั้งเวียงวังทัพหน้าอย่าเห็นจร ทั้งเวียงวังบรรทมนอนของพี่ยา”
“อันกล่าวนั้นจึ่งเป็นเช่นเหตุปฐม กาวะวิกะนางระทมทุกข์หนักหนา”
“เสียจิตเสียใจต่อนั้นมา จึงแช่งสาบนคราสบโพยภัย”
“อีกตัวน้องนางให้ต้องความวิบัติ ลูกผัวจงพรากพลัดถูกผลักไส”
“วิบากกรรมจะตามพบทุกชาติไป ให้เจ็บปวดเยี่ยงนางไซร้ให้เทียมกัน”
“เจ้าพี่ พยัคฆราชน้องเรา ท่านกมุท” พระนางอลิยาเทวีเอ่ยนามแล้วพนมพระหัตถ์ไหว้ทั้งสามองค์
“หม่อมฉันคือปฐมเหตุอันให้เกิดวิบัติทั่วอินทปัตถ์” อลิยาเทวีตรัสแล้วก็ก้มพักตร์ลงทรงกรรแสง
“พระนาง จงอย่าได้กล่าวโทษแต่ตนเองเลย” ท่านครูพะลุเวษากล่าว
“กาวะวิกะนั้นคือกรรมอันเกิดแต่ที่อินทปัตถ์รานรุกย่ำยีผู้อื่น”
“กรรมนั้นจึ่งคืนสนองกลับมา ด้วยลูกศรแห่งมนตราดำมืดอำมหิต”
"อันน้าวเหนี่ยวทิ่มปักติดเข้าใจกลางอินทปัตถ์ คือวรชายาผู้เคียงเขนย อดิรถาธิราชเจ้านั้นเอง”
“เจ้าพี่อุเทนธิกะ” อลิยาเทวีเงยพักตร์ขึ้นมองพระสวามีด้วยน้ำตานองหน้า
“เพลาบัดนี้ หม่อมฉันกราบลงขอขมาอภัย อันกรรมชั่วที่หม่อมฉันทำไว้กับเจ้าพี่”
“ทุกสิ่งอันได้ผิดทั้งกายา วาจา อีกทั้งจิต น้องขออโหสิกรรมจากเจ้าพี่เพคะ”
“อีกทั้งมวลในอันที่เจ้าพี่ผิดต่อน้อง น้องก็อโหสิกรรมให้เจ้าพี่ด้วย”
“ชาติภพใดในกาลข้างหน้า ขอวิญญาณของหม่อมฉันตามหาไปจนพบเจอ”
“จะบำรุงบำเรอถวายงานเจ้าพี่ด้วยรักภักดีตลอดไปเพคะ”
กล่าวจบลงพระนางอลิยาเทวีจึงกราบลงตรงหน้าบนฝ่าพระหัตถ์ของอุเทนธิกะที่ทรงแบไว้รับอยู่
“อลิยาน้องข้า เจ้าจงรู้รับให้จงดีกลางจิตกลางวิญญาณ” อุเทนธิกะตรัสวางหัตถ์อีกข้างไว้บนเศียรชายา
“พี่ขอรับอโหสิกรรมจากเจ้า อีกทั้งขอกล่าววาจา”
“ผิดโทษอันใดนาที่พี่มีต่อเจ้า ด้วยกายา วาจา อีกทั้งจิต พี่ขอเจ้าอโหสิกรรมนั้นต่อพี่ด้วย”
“รักอีกทั้งภักดีแห่งพี่และเจ้า ขอจงเฝ้าติดตาม ให้พานพบสบสุขต่อกันทุกชาติภพด้วยเถิด”
“น้องอโหสิกรรมให้เจ้าพี่อุเทนธิกะเพคะ” อลิยาเทวีกล่าวเงยพักตร์ขึ้นมองสวามีด้วยน้ำตา
“บัดนี้ ขอสองพระองค์วักน้ำในนทีด้วยอุ้งมือ ทรงป้อนให้กันเพลานี้ด้วยเถิด” ท่านครูกล่าว
ภาพของพระนางอลิยาเทวีก้มลงดื่มน้ำในอุ้งมือพระสวามีอุเทนธิกะแล้วเงยพักตร์ขึ้นตรัส
“เจ้าพี่ วิญญาณน้องจะล่วงไปรอเจ้าพี่ทุกหนแห่งเพคะ”
แล้วอุเทนธิกะก็ก้มลงเสวยน้ำในอุ้งมือของพระชายา
“ขอเจ้าจงสราญใจ พี่จะตามไปพบพักตร์เจ้าให้จงได้นะลอยา” อุเทนธิกะตรัสบอก
“พยัคฆราชน้องเรา อีกท่านแม่กมุท” อลิยาเทวีเบี่ยงพระวรกายหันมาหาแล้วกราบลงกับพื้นตรงหน้าทั้งสององค์
ธารทิพย์ บทที่ 54
ธารทิพย์ บทที่ 53 http://pantip.com/topic/33667461
“พยัคฆราช” ท่านครูพะลุเวษาเอ่ยนาม
“ขอวิญญาณท่านจงรู้แจ้งจนกระจ่างแก่ใจ ขอให้ท่านมั่นคงทั้งแน่วแน่ไว้ในจิต”
“อันคู่บารมีแห่งบพิตรนั้น จะพานพบสบกันไม่อาจคลาดคลา”
“บางภพบางชาติอาจมิพบมิเจอ หากแต่จะพบอีกเสมอในภพหน้า”
“ตามผลแห่งบาปบุญเกื้อหนุนพา อันทั้งสองสั่งสมมามิเทียมเท่ากัน”
“ในชาติภพแห่งองค์พยัคฆราช กาวะวิกะนางมิอาจเคียงคู่ได้”
“ด้วยบาปเวรที่นางได้ทำไว้ นำส่งให้นางเข้าสู่ความมืดแห่งมนต์ดำ”
“นางชดใช้ท่านแล้วด้วยคมดาบ ยอมชดใช้ด้วยศิโรราบตามจิตมั่น”
“จิตของนางมิพรั่นพรึงขอชีวัน เพลานั้นนางมอบให้ท่านทั้งกายใจ”
“เสี้ยวเพลาก่อนท่านประหารประหัต นางมิได้ข้องขัดนางอธิษฐาน”
“ขอตามไปได้อยู่เคียงคู่กัน ทุกภพชาติเฉกเช่นนั้นตลอดไป”
“พยัคฆราช” ท่านครูเอ่ยเรียกขณะร่างของพีนั่งก้มหน้ามองพื้นนิ่งอยู่
“เจ้าข้าฯท่านครู” พยัคฆราชเงยหน้ารับคำด้วยน้ำตาที่ไหลริน
“ชาติภพนี้ท่านได้เกิดเป็นมนุษย์ คือร่างอันท่านลงฉุดครอบครองไว้”
“ชายที่นั่งตรงหน้าเรานี่ประไร คือชาติภพชาติใหม่ท่านอีกครา”
“หากแต่วิญญาณแห่งคู่บารมี นางเป็นผีสิงสู่อยู่บนหน้าผา”
“ติดกับอยู่กับความแค้นแน่นอุรา คอยท่านมาปล่อยปลดลดโทสะลง”
“อีกสิ่งหนึ่งท่านจงจำคำครูให้มั่น เสี้ยวจิตที่นางนั้นอธิษฐานประสงค์”
“ได้ตามท่านไปเกิดแล้วดั่งใจจง คือนางที่ยังคงในนิทรา”
“หากท่านชดใช้ให้นางหายคลางแคลงในจิต ปล่อยวิญญาณที่สถิตบนหน้าผา”
“จึ่งเท่ากับท่านปลดปล่อยโฉมกัลยา ในนิทราให้ตื่นขึ้นฟื้นมาครอง”
“ท่านแจ้งแล้วแก่ใจรึไรพยัคฆราช” ท่านครูถาม
“เจ้าข้าฯท่านครู ข้าแจ้งแก่ใจแล้ว” พยัคฆราชตรัสกับท่านครูพะลุเวษาด้วยน้ำตา
“พระนางจันทร์สุดา” ท่านครูเอ่ยเรียกมองไปที่ร่างของสร้อยแก้วที่ร้องไห้เบาๆอยู่
“พระนางจงอย่าโทมนัสเลย คู่บารมีแห่งพระนางมิได้ถือกำเนิดในชาติภพของพระนาง”
“บุรุษนั้นบำเพ็ญบารมีอยู่ยังที่หนึ่ง อันบัดนี้ลิขิตพึงได้เพรียกขาน”
“ให้กำเนิดในชาติภพแห่งนงคราญ อีกไม่นานจะได้พบประสบกัน”
“เจ้าสร้อยแก้วจะพบพานสราญสุข จะหมดทุกข์หมดโศกหมดสิ้นโหยหา”
“ด้วยผู้คู่บารมีที่ตามมา จะได้อยู่พร้อมหน้าอีกคราครัน”
“เหตุอันที่พระนางนั้นต้องตามมา ด้วยเพราะฐานะของท่านนั้นเสมือน”
“ผู้เป็นจันทร์ส่องฟ้าสกาวเรือง งามประเทืองทั่วแคว้นแดนราตรี”
“ท่านผู้เป็นองค์แทนแห่งราตรี ขอท่านจงรับสิ่งนี้จากเราไว้”
“เพื่อก้าวข้ามผ่านภพสู่ภายใน ดินแดนอันท่านทั้งหลายด้นดั้นมา”
“ขอพระนางรับไป” ท่านครูบอกกล่าวแล้วยื่นมือให้
พระนางจันทร์สุดาในร่างของสร้อยแก้วขยับเข้ามาใกล้แล้วแบฝ่ามือข้างหนึ่งไปรับ
สิ่งที่ท่านครูพะลุเวษาวางลงบนฝ่ามือของสร้อยแก้วคือวัตถุสีเหลือบน้ำเงินเงาเป็นประกาย มีเพียงสามคนในที่นี้เท่านั้นที่เคยเห็น คือพี โจและท่านลุงไกรศักดิ์ ร่างพียังนั่งนิ่งด้วยถูกประทับโดยวิญญาณของพยัคฆราช ท่านลุงไกรศักดิ์ก็ยังคงฐานะของท่านอุเทนธิกะอยู่ จึงนิ่งเฉยไม่ตรัสอะไร มีเพียงโจเท่านั้นที่จำได้ว่านั่นคือหนึ่งในสองชิ้นของวัตถุประหลาดที่เขาและพีนำไปฝากแม่โสภากับเงาะน้องสาวที่ห้องอาหารภายในคฤหาสน์ธำรงสัตย์
“ท่านมิพักต้องแปลกใจองค์มาริช” ท่านครูพูดมองมาที่โจ
“ท่านผู้เป็นองค์แทนแห่งทิวา ขอท่านจงเข้ามายังเราแล้วรับเอาสิ่งนี้ไป”
“เจ้าค่ะท่านครู” โจรับคำ
โจขยับเข้าไปหาแล้วเอื้อมฝ่ามือแบให้ท่านครูวางก้อนวัตถุสีเหลืองเหลือบลายลงมาให้ ชายหนุ่มกำมือแน่นไว้ด้วยความรู้สึกว่าคือของสำคัญที่ต้องรักษาไว้ด้วยชีวิต
“ท่านครู” โจมองท่านครูพะลุเวษาทั้งที่เปลือกตาหลับอยู่
“องค์มาริช” ท่านครูเอ่ย
“เราขอแจ้งกล่าวต่อท่านให้กระจ่างใจ ท่านผู้เป็นชาติภพใหม่แห่งมาริช”
“เพลานี้ท่านผู้เดียวอันคงความคิดจดจำ อันก้อนกำประหลาดสองสิ่งนี้”
“ท่านอีกสหายท่านได้รับให้ชี้ให้นำไป ยังกรุงเมืองเรืองไกรอันท่านเนาว์”
“มอบไว้ให้มารดาท่านก้อนหนึ่ง อีกหนึ่งนั้นท่านมอบให้ขนิษฐา”
“เพลานั้นท่านมิสำเหนียกอันใดว่า สองสิ่งนั้นจักต้องตามมาให้พบกัน”
“สิ่งหนึ่งคือมณีแห่งทิวา อีกสิ่งหนึ่งมณีแห่งราตรีนั้น”
“สองสิ่งมิอาจพบบรรจบกัน ในภพภูมิของท่านเช่นนั้นนา”
“จึ่งเกิดอาเพศเหตุประหลาด ในเขตเรือนว่ามิอาจเก็บรักษา”
“มารดาท่านจึ่งมอบของสองสิ่งมา ให้ในมืออุเทนธิกะผู้พี่ชาย”
“ลุงของท่านนำมาบูชาไว้ วางถวายบนแท่นใหญ่ในเรือนท่าน”
“มอบแด่องค์มหาเทพแห่งโลกันตร์ พญายมราชท่านรับถวายไว้รอเพลา”
“จนมาถึงซึ่งคราเพลานี้ พระองค์ท่านจึ่งมอบสองมณีอันล้ำค่า”
“ประทานคืนให้มนุษย์อันดั้นด้นมา มันผู้ยอมศรัทธาชดใช้กรรม”
“ให้มันใช้เปิดทวารวะสะออก ได้พบแดนแล้วจงบอกกล่าวคำมั่น”
“ว่าเหล่ามันยอมชดใช้ให้แก่กัน คงศรัทธาจิตมิหวั่น ขออโหสิกรรม”
“ท่านแจ้งแก่ใจแล้วรึไม่ องค์มาริช” ท่านครูถาม
“เจ้าข้าฯ ท่านครู” โจหรือองค์มาริชตอบรับคำ
“ถึงเพลาแล้ว” ท่านครูพะลุเวษาเอ่ย
“ขอทุกองค์ท่านอีกทั้งกุณฑลจงตามเรามา” ท่านครูกล่าวแล้วลุกขึ้นเดินไปยังริมลำน้ำ
สี่ร่างประทับ สองวิญญาณและอีกสองมนุษย์ลุกขึ้นเดินตามท่านครูไป อุเทนธิกะดำเนินนำไปข้างหน้าสองข้างวรกายมีวิญญาณพระนางอลิยาเทวีกับท่านแม่กมุทและกุณฑล ตามไปด้วยพยัคฆราชและพระนางจันทร์สุดาแล้วสองมนุษย์สุดท้ายคือโจกับเหมียว คือองค์มาริชและพระนางจิระประไพคู่บารมี
ณ ริมนที ท่านครูหยุดยืนทอดสายตามองไปฝั่งตรงข้ามแล้วเงยหน้ามองท้องฟ้าซึ่งเริ่มจะมีแสงเรืองของรุ่งอรุณปรากฏขึ้นครู่หนึ่ง ทุกวิญญาณแห่งอินทปัตถ์ที่เดินตามมานั่งลงไม่ห่างจากท่านครูนัก
“ได้เพลาแห่งพระนางแล้ว” ท่านครูพูดแล้วหันกลับมา
“พระนางอลิยาเทวี” ท่านครูเอ่ยนาม
“เราขอทูลให้พระนาง ท่านพยัคฆราช อีกองค์อุปราชอุเทนธิกะ ดำเนินมายังริมฝั่งนทีนี้ด้วยเถิด”
ทั้งสามองค์ขยับวรกายลุกขี้นดำเนินไปที่ริมน้ำตามที่ท่านครูบอก
“ขอพระนางอีกทั้งท่านพยัคฆราชประทับยังริมนที โปรดหันพระพักตร์หากัน”
“พระองค์อุเทนธิกะ ท่านกมุท” ท่านครูหันไปทูลพระอุปราชและพระมารดาของพยัคฆราช
“ขอพระองค์และท่านแม่กมุทประทับอยู่ อันเพื่อสดับเป็นทิพย์ยานด้วยเถิด”
อุเทนธิกะดำเนินเข้าไปประทับนั่งหันพระพักตร์เข้าหาพระนางอลิยาเทวีและพยัคฆราชที่ประทับตรงหน้ากันอยู่ โดยมีวิญญาณของท่านแม่กมุทนั่ง
พับเพียบอยู่ข้างๆด้วย โจและเหมียวยังคงปิดเปลือกตาอยู่เช่นเดิมเพื่อมองทุกสิ่งด้วยตาทิพย์ ร่างและสมองของเหมียวหรือพระนางจิระประไพจ้องมองอย่างไม่ยอมพลาดสายตาเพื่อจะเข้าใจและจดจำทุกคำพูดในการสนทนา
“พระนางอลิยาเทวี” ท่านครูกล่าวนำ
“บัดนี้ มีกรรมอันใด อันท่านได้จงใจกระทำ ให้เกิดเป็นวิบากกรรมแก่พยัคฆราช”
“อีกเป็นผลให้เกิดวิบากกรรมต่อท่านในชาติภพใหม่”
“จงแถลงให้แจ้งแก่ใจต่อพยัคฆราช อีกทั้งต่อหน้าพระพักตร์แห่งสวามีท่านพร้อมท่านกมุทด้วยเถิด”
ดวงวิญญาณของพระนางอลิยาเทวีทรงกรรแสงสะอื้น กราบลงบนพื้นต่อพระสวามีอุเทนธิกะแล้วหันมากราบลงอีกครั้งให้กับพยัคฆราชที่นั่งอยู่ตรงหน้าและท่านแม่กมุทด้วย
“เจ้าพี่ ท่านกมุท พยัคฆราชน้องเรา เราได้กระทำผิดต่อท่านพยัคฆราช” วิญญาณพระนางบอกกล่าวทั้งสามองค์
“เจ้าพี่อุเทนธิกะ น้องจงใจละมิทูลความให้เจ้าพี่ทรงทราบ ว่ากาวะวิกะนั้นนางเฝ้ากราบกับหม่อมฉัน”
“เล่าแจ้งแถลงความในใจอัน นางคงมั่นคงรักคงภักดี”
“ในองค์อนุชาพยัคฆราช นางขอเพียงรองพระบาทในชาตินี้”
“เยี่ยงสนมข้าทาสนางยอมพลี นางทูลความขอเจ้าพี่ทรงโปรดเมตตา”
“ให้ช่วยกราบบังคมทูลเจ้าเหนือหัว ขอตัวนางนั้นกลับมาหา”
“ให้ได้อยู่รับใช้พระอนุชา เป็นเยี่ยงนั้นอันนางมากราบวิงวอน”
“หากแต่ น้องนั้นมิพลันคิด ด้วยจิตอันตั้งไว้ในมิจฉา”
“จึ่งละไว้ในเหตุอันควรเมตตา เพียงเพราะโฉมกัลยานั้นงดงาม”
“อันเพียงน้องคิดเขลาเบาปัญญา มิประสงค์ให้นางมาชูหน้าสลอน”
“ทั้งเวียงวังทัพหน้าอย่าเห็นจร ทั้งเวียงวังบรรทมนอนของพี่ยา”
“อันกล่าวนั้นจึ่งเป็นเช่นเหตุปฐม กาวะวิกะนางระทมทุกข์หนักหนา”
“เสียจิตเสียใจต่อนั้นมา จึงแช่งสาบนคราสบโพยภัย”
“อีกตัวน้องนางให้ต้องความวิบัติ ลูกผัวจงพรากพลัดถูกผลักไส”
“วิบากกรรมจะตามพบทุกชาติไป ให้เจ็บปวดเยี่ยงนางไซร้ให้เทียมกัน”
“เจ้าพี่ พยัคฆราชน้องเรา ท่านกมุท” พระนางอลิยาเทวีเอ่ยนามแล้วพนมพระหัตถ์ไหว้ทั้งสามองค์
“หม่อมฉันคือปฐมเหตุอันให้เกิดวิบัติทั่วอินทปัตถ์” อลิยาเทวีตรัสแล้วก็ก้มพักตร์ลงทรงกรรแสง
“พระนาง จงอย่าได้กล่าวโทษแต่ตนเองเลย” ท่านครูพะลุเวษากล่าว
“กาวะวิกะนั้นคือกรรมอันเกิดแต่ที่อินทปัตถ์รานรุกย่ำยีผู้อื่น”
“กรรมนั้นจึ่งคืนสนองกลับมา ด้วยลูกศรแห่งมนตราดำมืดอำมหิต”
"อันน้าวเหนี่ยวทิ่มปักติดเข้าใจกลางอินทปัตถ์ คือวรชายาผู้เคียงเขนย อดิรถาธิราชเจ้านั้นเอง”
“เจ้าพี่อุเทนธิกะ” อลิยาเทวีเงยพักตร์ขึ้นมองพระสวามีด้วยน้ำตานองหน้า
“เพลาบัดนี้ หม่อมฉันกราบลงขอขมาอภัย อันกรรมชั่วที่หม่อมฉันทำไว้กับเจ้าพี่”
“ทุกสิ่งอันได้ผิดทั้งกายา วาจา อีกทั้งจิต น้องขออโหสิกรรมจากเจ้าพี่เพคะ”
“อีกทั้งมวลในอันที่เจ้าพี่ผิดต่อน้อง น้องก็อโหสิกรรมให้เจ้าพี่ด้วย”
“ชาติภพใดในกาลข้างหน้า ขอวิญญาณของหม่อมฉันตามหาไปจนพบเจอ”
“จะบำรุงบำเรอถวายงานเจ้าพี่ด้วยรักภักดีตลอดไปเพคะ”
กล่าวจบลงพระนางอลิยาเทวีจึงกราบลงตรงหน้าบนฝ่าพระหัตถ์ของอุเทนธิกะที่ทรงแบไว้รับอยู่
“อลิยาน้องข้า เจ้าจงรู้รับให้จงดีกลางจิตกลางวิญญาณ” อุเทนธิกะตรัสวางหัตถ์อีกข้างไว้บนเศียรชายา
“พี่ขอรับอโหสิกรรมจากเจ้า อีกทั้งขอกล่าววาจา”
“ผิดโทษอันใดนาที่พี่มีต่อเจ้า ด้วยกายา วาจา อีกทั้งจิต พี่ขอเจ้าอโหสิกรรมนั้นต่อพี่ด้วย”
“รักอีกทั้งภักดีแห่งพี่และเจ้า ขอจงเฝ้าติดตาม ให้พานพบสบสุขต่อกันทุกชาติภพด้วยเถิด”
“น้องอโหสิกรรมให้เจ้าพี่อุเทนธิกะเพคะ” อลิยาเทวีกล่าวเงยพักตร์ขึ้นมองสวามีด้วยน้ำตา
“บัดนี้ ขอสองพระองค์วักน้ำในนทีด้วยอุ้งมือ ทรงป้อนให้กันเพลานี้ด้วยเถิด” ท่านครูกล่าว
ภาพของพระนางอลิยาเทวีก้มลงดื่มน้ำในอุ้งมือพระสวามีอุเทนธิกะแล้วเงยพักตร์ขึ้นตรัส
“เจ้าพี่ วิญญาณน้องจะล่วงไปรอเจ้าพี่ทุกหนแห่งเพคะ”
แล้วอุเทนธิกะก็ก้มลงเสวยน้ำในอุ้งมือของพระชายา
“ขอเจ้าจงสราญใจ พี่จะตามไปพบพักตร์เจ้าให้จงได้นะลอยา” อุเทนธิกะตรัสบอก
“พยัคฆราชน้องเรา อีกท่านแม่กมุท” อลิยาเทวีเบี่ยงพระวรกายหันมาหาแล้วกราบลงกับพื้นตรงหน้าทั้งสององค์