ธารทิพย์ บทที่ 53

กระทู้สนทนา
ธารทิพย์

โดย อัศวรักษ์


ธารทิพย์ บทที่ 52 http://pantip.com/topic/33658452

            “กุณฑล” อุเทนธิกะตรัสเรียกชื่อ

                “เจ้าเคียงข้างกายข้าทุกเพลาทุกชาติภพ ข้าตรึงใจอันความภักดีของเจ้า”

                “หม่อมฉันถวายสัตย์ต่อทั้งสองพระองค์แล้วเจ้าค่ะ” กุณฑลก้มหน้าพูด

                “ข้าเห็นเยี่ยงเจ้าพี่นะกุณฑล อันความภักดีของเจ้า” อลิยาเทวีตรัสบอก

                “เจ้าค่ะ” กุณฑลรับคำตรัส

                ร่างของท่านไกรศักดิ์ถอยหลังไปสองสามก้าวแล้วนั่งลงบนก้อนหินขนาดเท่าที่นั่งก้อนหนึ่ง ร่างของพี สร้อยแก้วและพรานโละขยับตามเข้าไปนั่งเหมือนเข้าเฝ้า

                “ท่านทั้งสอง” อุเทนธิกะในร่างของไกรศักดิ์แย้มสรวลมองมาที่โจกับเหมียว

                “เจ้าค่ะ” “เพคะ” โจและเหมียวขานรับคำตรัสทักด้วยท่าทีอึกอักแล้วพนมมือไหว้

                “ท่านมาริช” อุเทนธิกะเอ่ยนามมองไปที่โจ

                “น้องนางจิระประไพ” อุเทนธิกะหันไปสบตาเหมียว

                “ท่านทั้งสองยังคงสำนึกแห่งชาติภพนี้อยู่เยี่ยงนั้นสินะ” อุเทนธิกะตรัส

                “เจ้าค่ะ” “เพคะ” สองคนรับคำ

                “เราขอให้ท่านทั้งสองแจ้งแก่ใจ” อุเทนธิกะตรัส

                “เราคืออุเทนธิกะแม่ทัพม้า ผู้รั้งในที่อุปราชแห่งอินทปัตถ์นครา”

                “ผู้นั้นพยัคฆราช อนุชาเรา” อุเทนธิกะชี้หัตถ์ไปที่พี

                “นางนี้จันทร์สุดา อันเราสิเน่หาดุจธิดาแห่งเรา” หัตถ์ของอุเทนธิกะชี้ไปที่สร้อยแก้ว

                “นั่นกุณฑล ขุนศึกข้างกายเราทุกเพลา” อุเทนธิกะหันไปมองที่พรานโละ

                “อันที่ท่านทั้งสองยังรั้งสำนึกแห่งมนุษย์อยู่เยี่ยงนั้น”

                “ท่านจึ่งมิอาจมองเห็นท่านกมุท พระมารดาแห่งพยัคฆราช”

                “อีกทั้งพระนางอลิยาเทวีผู้รั้งในที่พระชายาแห่งเรา”

                “สองพระนางนั้นประทับอยู่สองข้างกายเราอยู่บัดนี้” อุเทนธิกะตรัสกับโจและเหมียวแล้วมองไปข้างตัวซ้ายขวา

                โจและเหมียวยิ้มน้อยๆอย่างเคารพแล้วยกมือไหว้ไปสองข้างตัวของท่านลุงไกรศักดิ์ที่ว่างเปล่าอยู่

                แล้วจู่ๆอุเทนธิกะก็รีบขยับวรกายคุกเข่าลงกับพื้นพนมมือไหว้ไปที่ด้านหลังของโจและเหมียว ทำให้พยัคฆราช จันทร์สุดาและกุณฑลรีบหันมากราบลงบนพื้นไปทางเดียวกันด้วย โจและเหมียวรีบขยับตัวหลบแล้วยกมือไหว้ตาม ทั้งสองเข้าใจได้ในทันที ว่าใครบางคนที่สำคัญมากๆกำลังเข้ามา แม้ทั้งสองจะมองไม่เห็นอะไรก็ตาม

                “ข้าขอน้อมนบท่านครูแห่งข้า” อุเทนธิกะตรัสแล้วขยับออกห่างก้อนหินที่นั่งอยู่เมื่อครู่

                “ขอท่านครูประทับยังที่ของข้าเถิด” อุเทนธิกะตรัสขยับตัวหันไปหาก้อนหินนั้น

                วิญญาณทิพย์ของท่านผาคือผู้ที่ปรากฏร่างเดินเข้ามาแล้วนั่งลงบนก้อนหินที่อุเทนธิกะเคยประทับนั่ง ซึ่งทั้งโจและเหมียวยังคงมองเห็นแต่ความว่างเปล่าอยู่เช่นเดิม

                “ท่านครู” อุเทนธิกะตรัสทักอีกครั้ง

                “ลดหัตถ์ของพระองค์ลงเถิดอุเทนธิกะ” วิญญาณท่านผาพูด

                อุเทนธิกะลดพระหัตถ์ที่พนมไหว้อยู่ลง คนอื่นๆจึงลดมือลงตามไปด้วย

                “บัดนี้ ทุกวิญญาณแห่งอินปัตถ์ ได้นิวัตหวนคืนยังอดีตอีกครา” วิญญาณท่านผาพูด

                “เจ้าค่ะท่านครู” อุเทนธิกะตรัสรับคำครู

                “ท่านทั้งสอง ท่านครูแห่งเรา พะลุเวษา” อุเทนธิกะหันมาตรัสบอกโจกับเหมียว

                “อันท่านรู้รับว่าคือท่านผาในชาติภพของท่าน”

                “ข้าพเจ้าขอน้อมนบท่านพะลุเวษาเจ้าค่ะ” โจกับเหมียวกล่าวคำเคารพพร้อมกันไปที่ที่ว่างบนก้อนหินนั้น

                “อุเทนธิกะ” ท่านครูเอ่ยนาม

                “ท่านครู” อุเทนธิกะรับคำ

                “ขอท่านแจ้งแก่องค์มาริช อีกทั้งพระนางจิระประไพ ให้ทั้งสองอันยังคงสำนึกมนุษย์อยู่” ท่านครูพูด

                “จงขัดสมาธิลดเปลือกตาลง ตั้งจิตด้วยมั่นคงแล้วจักยินการสนทนา อันเพลานี้เถิด”

                จอมทัพม้าอุเทนธิกะหันไปแย้มสรวลให้โจกับเหมียวแล้วบอกกล่าว

                “ท่านทั้งสอง” อุเทนธิกะตรัสเรียก

                “เพลานี้ท่านครูเรา ประสงค์ให้ท่านนั่งขัดสมาธิลดเปลือกตาลง”

                “ตั้งจิตแน่วนิ่งให้มั่นคง ท่านครูจำนงให้ท่านทั้งสองยินถ้อยความ อันจะนำจนแจ้งแก่ใจนั้น”

                โจกับเหมียวก้มลงกราบที่พื้น ขยับตัวนั่งหลับตาลงเข้าสู่สมาธิตามที่อุเทนธิกะบอกกล่าว เพียงไม่นาน จิตของทั้งสองที่มุ่งมั่นอยู่แล้ว และพลานุภาพบารมีของท่านครูพะลุเวษาที่เสริมให้ด้วย ความมืดดำของเปลือกตาที่หลับสนิทอยู่ก็เริ่มมองเห็นสิ่งที่เป็นทิพย์ ทั้งสองมองเห็นท่านพรานผาที่เคยรู้จัก สวมใส่ด้วยชุดขาวเกล้าผมมวยนั่งยิ้มลมัยมองมา และยังได้เห็นหญิงชราในอาภรณ์โบราณซึ่งเข้าใจได้ทันทีว่าคือท่านแม่กมุทกับนางกษัตริย์แสนโสภา พระนางอลิยาเทวี

                “ท่านมาริช พระนางจิระประไพ ขอทั้งสองท่านหลับตาสงบอยู่เยี่ยงนั้นนะ” ท่านครูยิ้มบอกกล่าวแล้วหันมาหาพระอุปราชอุเทนธิกะอีกครั้ง

                “อุเทนธิกะ ท่านยังคงสำนึกจดจำอันใดในอดีตบ้างรึไร” ท่านครูพะลุเวษาเอ่ยถาม

                “มีหลายสิ่งอันที่ข้าเลือนลืมท่านครู” อุเทนธิกะตอบครู

                “อินทปัตถ์ นคราอันยิ่งใหญ่” ท่านครูเริ่มเล่า

                “อดิรถาธิราชเจ้าจอมทัพ พระบิดาในท่านทั้งสอง ทรงแผ่เดชานุภาพออกไปรอบทิศ”

                “อินทปัตถ์เกรียงไกรด้วยสองพยัคฆ์”

                “อุเทนธิกะ พระยุพราชแม่ทัพม้า อีกทั้งพระอนุชา พยัคฆราชแม่ทัพหน้า”

                “ตัวท่าน อุเทนธิกะ ท่านถวายงานโดยมิต้องพระทัยนัก”

                “เพียงห้ามหักทัดทานโองการพระบิดามิได้”

                “อีกทั้งพระทัยที่ห่วงใยพระอนุชา ท่านจึ่งต้องนำทัพม้าเข้าร่วมศึก”

                “ตัวท่าน พยัคฆราช” ท่านครูพะลุเวษาเอ่ยนามแล้วมองไปที่ร่างของพี

                “ท่านผู้หาญฮึกแกร่งกล้า กายใจท่านมิมีอื่นใดสำคัญยิ่งไปกว่าอินทปัตถ์”

                “ดาบคู่นรรัตน์อันมิห่างหัตถ์นั้นกวัดแกว่ง ถาโถมเรี่ยวแรงรับใช้แผ่นดินเกิด”

                “อดิรถาธิราชพระบิดาท่าน จึ่งเชิดชูไว้ในที่ทัพหน้า”

                “อินทปัตถ์แผ่อาณาออกไปทั่วทิศ จนที่สุดท่านทั้งสองจึ่งร่วมพิชิต วิเสคะยา นคราน้อย”

                “เมืองเล็กๆอันอ่อนด้อยด้วยไพร่พลจะต่อสู้ หากแต่เมืองเล็กนี้เล่าขานว่าโฉมตรูผู้พระธิดา”

                “เลอล้ำสะคราญโฉมกว่านางใดในปฐพีจะเทียบทัน”

                ท่านครูพะลุเวษาหันมามองสบตาที่ร่างของสร้อยแก้วแล้วยิ้มบอกกล่าว

                “คือพระนางนั้นอันประทับอยู่ต่อหน้าเรานี้ พระนางจันทร์สุดา”

                ร่างของสร้อยแก้วก้มหน้าจรดปลายนิ้วไว้ที่หว่างคิ้วพนมมือไหว้อีกครั้ง

                “ข้าน้อยขอน้อมนบท่านครูพะลุเวษา” จันทร์สุดากล่าวคำเคารพ

                “พระนาง อีกมินานแล้วนะ อันจะได้หลุดพ้นความทุกข์” ท่านครูยิ้มทูลบอก

                “รูปอันเลอโฉมนั้น คือบุพกรรมอันตามท่านมา เยี่ยงมนตราอันเป็นเหตุแห่งเภทภัย”

                “เจ้าค่ะท่านครู” จันทร์สุดารับคำ

                ท่านครูพะลุเวษายิ้ม ยกฝ่ามือรับแล้วกล่าวต่อ

                “กาวะวิกะ นั้นคือผู้สนองพระโอษฐ์ อันท่านโปรดเปรียบไว้เป็น เช่นพระสหาย”

                “วันจนคืน มิได้ห่างจากวรกาย ด้วยใจกายของนางนั้นมั่นในภักดี”

                “รูปโฉมโนมพรรณผ่องผุด งดงามประดุจนางอัปสร”

                “อดิรถาธิราชเจ้าประทานฐานันดร เชิดนางไว้ในที่วรชายา”

                “นั้นคือสิ่งผิดพลาดครั้งใหญ่ อันที่เกิดขึ้นภายในวงศา”

                “ด้วยกาวะวิกะวรชายา นางได้พามนต์มืดมากับตน”

                “กอปรกับความแค้นแน่นในใจ อันท่านทั้งสองย่ำยีไปทุกแห่งหน” ท่านครูพูดแล้วมองไปที่อุเทนธิกะกับพยัคฆราช

                “นางจึงยอมพลีกายยอมจำนน แลกโฉมงามเปรอปรนทุกเพลา”

                “จนที่สุดนางจึ่งนั่งอยู่กลางอินทปัตถ์ ด้วยอดิรถาธิราชมิข้องขัด อันนางปรารถนา”

                “นางเกาะกุมเจ้าแผ่นดินด้วยมนตรา อีกทั้งราคะที่ปรนเปรอ”

                “ท่านคิดเห็นเยี่ยงไรพระนางจิระประไพ” ท่านครูถามมองมาทางร่างเหมียวที่หลับตาอยู่

                “เจ้าค่ะท่านครู” เหมียวหลับตาเอ่ยรับคำก่อน

                “ข้าน้อยคิดเห็นว่า เอ่อ ใยท่านครูจึงถามข้าน้อยเจ้าคะ” เหมียวอึกอักไม่เข้าใจว่าทำไมท่านพะลุเวษาจึงถาม

                “พระนาง” ท่านครูเริ่มเอ่ย

                “พระนางจิระประไพ ท่านก็คงเลือนลืมอดีตจนหมดสิ้นแล้วในชาติภพนี้”

                “ว่าอดีตนั้นท่านคือสตรีผู้ทรงปัญญา เป็นผู้อยู่ข้างกายอดิรถาธิราชเพื่อถวายความทุกการ”

                “เจ้าค่ะ” เหมียวรับคำ

                “ขอพระนางไตร่ตรองอีกทั้งย้อนคิด” ท่านครูกล่าวต่อ

                “ว่าพระนางอีกทั้งองค์มาริชพระสวามี ผู้สถิตอยู่ในที่วิหารแห่งสุริยะเทพฯ”

                “คู่บารมีทั้งสององค์เยี่ยงแสงสว่าง ฉายส่องปัญญาแห่งอินทปัตถ์”

                “หากแต่วิบัตินี้ สององค์ก็มิอาจแก้ไขให้ล่วงลุได้”

                “ด้วยบุพกรรมแห่งอินทปัตถ์ทั้งผองต้องเป็นไป”

                “จนเพลานี้ สองท่านจึ่งต้องนิวัตมาช่วยแก้ไขอีกครา”

                “ท่านครูโปรดบอกกล่าวข้าน้อยทั้งสองด้วย” โจในฐานะขององค์มาริชเอ่ยถาม

                “ให้เข้าใจว่า ข้าน้อยทั้งสองกลับมาเพื่อทำสิ่งใด”

                “องค์มาริช พระนางจิระประไพ” ท่านครูพะลุเวษาเอ่ยนาม

                “หนึ่งนั้นคือปัญญาผู้บอกกล่าวบนเส้นทาง อีกหนึ่งนั้นคือผู้ถูกวางไว้ให้เปิดประตู”

                “ประตูสู่วะสะธาราใช่หรือไม่เจ้าคะ” เหมียวถาม

                ท่านครูพะลุเวษาเพียงส่งยิ้มละมัยมาแทนคำตอบ

                “ท่านครูเจ้าคะ แล้วเกิดอะไรขึ้นในอินทปัตถ์เจ้าคะ” เหมียวถาม

                “อะไรคือจุดแตกหักของเหตุการณ์นั้นเจ้าคะ”

                “สดับคำเราให้จงดี ทุกพระองค์” ท่านครูบอกกล่าว

                “องค์พยัคฆราช ทัพหน้า” ท่านครูมองไปที่ร่างพี

                “ท่านและพระนางจันทร์สุดานั้น มีจิตปฏิพัทธ์ต่อกันยิ่งนัก ลอบลักสมสู่กัน”

                “หากแต่ปฏิพัทธ์นั้นคือบุพกรรมอันนำชัก มิเป็นบุญญาอันมีต่อกัน”

                “ใยจึ่งเป็นเยี่ยงนั้นท่านครู” พยัคฆราชเอ่ยถาม

                “จงสดับคำเราทุกองค์” ท่านครูเอ่ยย้ำอีก

                “พระนางจันทร์สุดานั้น คู่บารมีมิถือกำเนิด”

                “ชายผู้นั้นจะไปเกิดในชาติภพของสร้อยแก้ว”

                “ทั้งสองจะมิอันต้องคลาดแคล้วต่อกันอีก”

                เหมียวและโจเหลือบมองภาพของพระนางจันทร์สุดาในร่างสร้อยแก้วพร้อมกันขณะที่ยังนั่งหลับตาอยู่ คำถามเกิดขึ้นในสมองของเหมียวทันทีเมื่อฟังคำบอกกล่าวของท่านครูพะลุเวษา

            “ท่านครูเจ้าคะ” เหมียวเอ่ย

                “การอันท่านครูบอกกล่าวมานี้ ข้าน้อยรู้รับว่า ชาติภพของสร้อยแก้วยังมิมีผู้ใดอื่นนอกจากท่านพยัคฆราช”

                “หากคู่บารมีที่มิแคล้วคลาดจากกันอีกยังไม่ปรากฏ นั่นหมายถึงสร้อยแก้วจะได้คืนยังชาติภพอีกครั้ง”

                “เช่นนั้นใช่ไหมเจ้าคะ” เหมียวถาม

                ท่านครูพะลุเวษายังคงยิ้มละมัยอยู่เช่นเดิม สบตาพระนางจิระประไพในร่างเหมียวแล้วกล่าวตอบ

                “เรามิอาจตอบข้อไขอันพระนางถามเราได้หรอกนะ”

                “ความนั้นอันท่านจะต้องใคร่ครวญ แล้วท่านจะหวนคิดได้ด้วยปัญญาของท่านเอง”

                “ฉะนั้นเพียงท่านพยัคฆราชลักลอบกันกับพระนางจันทร์สุดา” เหมียวถาม

                “การลงอาญาในความผิดนี้ รุนแรงถึงขนาดทำให้อินทปัตถ์ล่มลงเลยหรือเจ้าคะ”

                “มิได้พระนาง” ท่านครูพูด

                “อาญานั้นอันเป็นหนทางให้อินทปัตถ์อ่อนแอลง ราชวงศ์เริ่มร้าวฉาน”

                “อดิรถาธิราชเจ้ามีราชโองการ ให้อุเทนธิกะพระเชษฐานั้นเป็นผู้ลงทัณฑ์”
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่