ธารทิพย์ บทที่ 46

กระทู้สนทนา
ธารทิพย์

โดย อัศวรักษ์


ธารทิพย์ บทที่ 45 http://pantip.com/topic/33441486

            “ระวังนะ” พีหันมาบอกเพื่อน

                สองหนุ่มขยับเท้าก้าวเข้าไปภายใน พีกวาดไฟฉายในมือลงสำรวจบนพื้นเพื่อระวังสัตว์มีพิษ มืออีกข้างกำด้านมีดยาวเดินป่าเตรียมพร้อม โจติดไฟฉายไว้กับที่ยึดบนไรเฟิลสงครามประทับบ่ากวาดมองด้านบน

                สภาพภายในของวิหารโบราณเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาดสิบคูณสิบห้าเมตรโดยประมาณ พื้นวิหารเป็นศิลาแลงเช่นเดียวกันกับส่วนอื่นๆ ถูกปกคลุมด้วยวัชพืชไม้เลื้อยหลายชนิดรกรุงรัง ผนังศิลาแลงสองข้างและผนังด้านในสุดแตกทรุดด้วยการเบียดแทรกของรากไม้ใหญ่ที่ขึ้นปกคลุมบางส่วนของวิหาร

                “เพดานข้างบนน่ากลัวทรุดว่ะ” โจพูดเบาๆ

                “อืม ระวังก็แล้วกัน” พีพยักหน้าพูดเตือน

                “นั่นไงบ่อที่ข้าปีนขึ้นมา” พีสาดไฟฉายไปหยุดอยู่ที่ปากบ่อก่อด้วยศิลาแลงสูงสักแปดสิบเซ็นจากพื้น

                คู่หูยืนส่องไฟฉายลงไปในความมืดก้นบ่อ

                “โห สงสารเอ็งจัง” โจพูดแล้วมองหน้าเพื่อน

                “ข้างในเป็นยังไงบ้าง” เสียงเหมียวร้องถามมาจากด้านหน้า

                “ไม่มีสัตว์ร้ายอะไร แต่เพดานน่ากลัวจะถล่มลงมาเมื่อไหร่ก็ได้” โจหันไปบอก

                “เค้าจะเข้าไปนะ” เหมียวบอก

                “สร้อยแก้วรออยู่นี่ก่อนนะ”พี่สาวบอก

                “ให้สร้อยแก้วเข้าไปด้วยเถอะจ้ะ สร้อยแก้วอยากเห็น” พรานสาวพูด

                “ไป ไปด้วยกัน” เหมียวพูดแล้วช่วยพยุงแขน

                สองสาวพยุงกันเดินกะเผลกเข้าไปภายในวิหาร มองซ้ายมองขวาไปรอบๆจนเข้ามาสมทบกับสองหนุ่มที่ปากบ่อ พีสาดไฟฉายลงไปอีกครั้งเพื่อให้หญิงสาวทั้งสองได้เห็นกับตา โจถอดไฟฉายออกจากกระบอกปืนถือสาดไปทั่วห้องโถง

                “นี่เหรอคะที่พี่พีปีนขึ้นมา” เหมียวถอนหายใจพูดแล้วเงยมองพี่พีของเธอด้วยความสงสาร

                สร้อยแก้วน้ำตาร่วงหันไปกอดเขาไว้ เธอรู้สึกเสียววูบในใจเมื่อนึกถึงว่าชายคนรักตื่นขึ้นในโพรงก้นบ่อนั้น

                “ท่านพี่” สร้อยแก้วเรียกให้ตัวเองรู้สึกว่าเขายังอยู่ตรงนี้จริงๆ

                “พี่อยู่นี่แล้ว ไม่ต้องกลัว” พีปลอบ

                “วิหารพระอาทิตย์เหรอ แล้วบ่อน้ำนั่นเอาไว้ทำอะไรกัน” โจพูดตายังมองสำรวจไปรอบๆ

                “ต้องนอนฝันนั่นล่ะถึงจะรู้ เราก็ไม่มีความรู้เรื่องโบราณคดีซะด้วย” พีพูด

                “เราย้ายมานอนกันหน้าวิหารนี่ดีมั้ย เผื่อจะสื่ออะไรได้บ้าง” โจชวน

                “อย่าดีกว่าค่ะเหมียวว่า ตื้นลึกหนาบางอะไรเรายังไม่รู้เลย นอนริมลำธารสะดวกกว่า” เหมียวบอกความเห็น

                “เอาอย่างนี้มั้ยครับ เรามาก่อกองไฟไว้ด้านหน้าวิหารนี่ตอนกลางคืน” พีพูด

                “เพื่อเป็นการบูชาด้วยแสงสว่าง แล้วก็จะได้สังเกตการณ์ภายในด้วย”

                “ห่างแค่สี่ห้าสิบเมตรนี่เองคอยเติมฟืนเอา”

                “เออ ดีนะ” โจสนับสนุน

                “แล้วคุณลุงกับพี่โละล่ะคะ เราไม่ออกตามเหรอ” เหมียวพูด

                “ผมว่าเราน่าจะอยู่ที่นี่สักสองสามวันก่อนนะ เผื่อจะได้อะไรดีๆ” พีพูด

                “อีกอย่างสร้อยแก้วขาเจ็บอย่างนี้เราคงไปได้ไม่ไกลหรอกครับ ลำบากมาก”

                สองสาวมองหน้ากันแล้วหันไปพยักหน้าให้ ตกลงเห็นด้วยตามกัน

                “เราออกไปข้างนอกกันได้แล้ว ในนี้อาจไม่ปลอดภัยนักก็ได้” โจพูดแล้วจับแขนสองสาวให้ขยับตัวออกไปก่อน

                เหมียวพยุงแขนสร้อยแก้วกลับออกมาแล้วพาเดินไปยังค่ายพัก โจกับพีเริ่มช่วยกันขนท่อนไม้แห้งทั้งเล็กใหญ่มากองสุมเตรียมไว้เป็นฟืนสำหรับกองไฟหน้าวิหาร

                “พอแค่นี้ก่อนมั้ยวะ นี่ก็กองโตพอใช้ได้ทั้งคืนแล้ว” โจพูด

                “อืม พอก่อนก็ได้” พีตอบรับ

                สองคนเดินกลับมายังค่ายพัก เหมียวกำลังตรวจดูแผลที่น่องของสร้อยแก้วเพื่อจะทำให้ใหม่อยู่

                “เป็นยังไงบ้างครับเหมียว” พีเอ่ยถาม

                “ดีขึ้นแล้วค่ะ ไม่ค่อยอักเสบเท่าไหร่แล้ว” เหมียวตอบ

                สร้อยแก้วขยับตัวจะลุกขึ้นยืน

                “สร้อยแก้วจะไปไหน” เหมียวถาม

                “สร้อยแก้วจะไปถอนรางจืดจ้ะ” พรานสาวบอก

                “ที่ไหน เอามาทำอะไรสร้อยแก้ว” เหมียวถาม พีกับโจหันมามองอยู่ด้วย

                “พี่จ๊ะ” สร้อยแก้วเรียกสายตาเธอมองห่างออกไป

                “พี่แลเห็นเถาไม้ที่หนนั้นไหมจ๊ะ” สร้อยแก้วพูด

                “ไหนสร้อยแก้ว” พีถามแล้วมองตามไป

                “อันที่พันรากไม้อยู่นั่นจ้ะ” พรานสาวชี้มือ

                “อ๋อ เห็นแล้วทำไม” เหมียวถาม

                “สร้อยแก้วจะถอนรากตำทับแผลจ้ะ” เธอบอก

                “สมุนไพรเหรอ เดี๋ยวพี่ไปเอาให้ สร้อยแก้วนั่งอยู่นี่แหละ” พีพูด

                พีกับโจเดินไปที่โคนต้นไม้ที่สร้อยแก้วชี้มือก้มลงดึงไม้เถาขึ้นมาชูขึ้น

                “อันนี้ใช่มั้ย” โจร้องถามมา

                “ใช่จ้ะ” พรานสาวร้องบอก

                “เอารากมันเหรอ” พีถามมาอีก

                “จ้ะท่านพี่” เธอตอบกลับไป

                สองหนุ่มช่วยกันใช้ปลายมีดเดินป่าขุดแซะผิวดินจนได้รากของมันขึ้นมาพวงใหญ่แล้วเดินกลับมา

                “ตำละเอียดปิดแผลเหรอจ๊ะสร้อยแก้ว” เหมียวถาม

                “จ้ะพี่เหมียว” สร้อยแก้วตอบ

                “มาเดี๋ยวพี่เอาไปล้างก่อน” เหมียวพูดแล้วรับรากไม้ในมือโจเดินไปล้างที่ริมลำธาร

                รากรางจืดบดละเอียดถูกปิดปากแผลที่น่องของสร้อยแก้วแล้วรัดไว้ด้วยเศษผ้าเรียบร้อย เหมียวนั่งมองยิ้มให้น้องสาวแล้วพูด

                “แต่สร้อยแก้วต้องกินยาด้วยนะ” เหมียวบอก

                “จ้ะพี่เหมียว” น้องสาวรับคำ

                “เอ้าทุกคนระวังนะ ขอยิงปืนสัญญาณหน่อยนะครับ” โจพูดแล้วยืนขึ้นยกปืนประทับบ่า

                “ปัง”

                ไรเฟิลสงครามแผดเสียงก้องป่าไปอีกครั้ง

                “ได้ยินด้วยนะครับคุณลุงพี่โละ” โจลั่นไกแล้วพูดภาวนา

                “อยากทำอะไรตอนนี้” โจถามเมื่อนั่งลง

                “อยากลาดตระเวนแถวนี้” พีตอบ

                “เออ ข้าก็อยาก แต่น้องสร้อยขาเจ็บอยู่ ทิ้งไว้กับเหมียวสองคนก็ไม่ดี” โจพูด

                “เหมียวว่าอย่าเพิ่งรีบร้อนเลยค่ะ เกิดมีอะไรขึ้นจะเจ็บใจว่าไม่น่าเลยนะ” เหมียวพูด

                “จริงอย่างเหมียวว่า รอน้องสร้อยแก้วหายเจ็บแล้วค่อยว่ากันอีกที” พีพูดแล้วเอนตัวเอกเขนกไม่กี่อึดใจพีก็หลับผล็อยไป

                “อ้าว หลับซะแล้ว” โจหันไปมองเพื่อน

                “ตัวเองก็นอนเถอะ ไม่ได้นอนมาทั้งคืนแล้วนะ เค้ากับน้องสร้อยแก้วจะคุ้มกันให้เอง” เหมียวพูด

                “ครับก็ดี ถ้าอย่างนั้นขอพักสักงีบแล้วกันนะครับ” โจพูดแล้วเอนตัวนอนลง

                สองสาวมองสบตากันแล้วต่างคนต่างหันไปมองสองชายที่เธอรัก เหมียวหยิบปืนเดินไปนั่งลงตรงข้ามกับสร้อยแก้วเพื่อจะระวังภัยทั้งสองด้าน

                “พี่เหมียวจ๊ะ พี่คิดเห็นเยี่ยงไร ใยท่านพี่ข้ามมายังบ่อน้ำนั่นจ๊ะ” สร้อยแก้วเอ่ยถาม

                “พี่แน่ใจอย่างนึงนะ” เหมียวพูดแล้วหันไปมองที่วิหาร

                “ดาบคู่อยู่กับพี่พี มันกลับมาแทนดาบที่ถูกโยนทิ้งน้ำ”

                “เพราะฉะนั้น บ่อนี่แหละที่ใครคนนั้นโยนดาบทิ้งลงไป” เหมียวพูดอย่างมั่นใจ

                “เค้าโยนลงไปทำไมจ๊ะ” สร้อยแก้วถาม

                “พี่เหมียวจะรู้มั้ยเนี่ย” พี่สาวตอบยิ้มๆ

                หญิงสาวฉุกคิดอะไรอย่างหนึ่งขึ้นมาทันที เธอมองจ้องตาสร้อยแก้วนิ่งแล้วตั้งจิตลองทดสอบ

                “พระนางจันทร์สุดารู้มั้ย ว่าโยนลงไปทำไม” เหมียวจ้องตาถามช้าๆ

                สร้อยแก้วหยุดนิ่งทันที สีหน้าของเธอเริ่มเปลี่ยนไป

                “เราสิรู้ข้อนั้นเยี่ยงไร พระนางประไพสิควรขานไขให้แจ้ง” สร้อยแก้วจ้องตาตอบกลับมาช้าๆเช่นกัน

                หญิงสาวทั้งสองมองจ้องตากันครู่ใหญ่เปลือกตาไม่กระพริบ เหมียวตั้งจิตมั่นที่จะไม่ยอมให้สิ่งใดก็ตามมากดข่มเธอลงได้ เธอจ้องตานิ่งแล้วถามกลับไปอีก

                “ท่านแจ้งต่อเราให้กระจ่างทีรึ ว่าใครคือพระนางประไพ” เหมียวพยายามใช้คำพูดให้ใกล้เคียงกัน

                สร้อยแก้วจ้องตายิ้มเยือกเย็นที่มุมปาก

                “ท่านมิสืบสื่ออันใดเจียวรึ” พรานสาวพูด

                สร้อยแก้วหลับตาลงก้มหน้านิ่ง เหมียวยังคงจ้องเขม็งหวังให้เธอเงยหน้าขึ้นมาพูดอะไรอีกแต่สร้อยแก้วก็ยังคงนิ่งอยู่ท่านั้นครู่ใหญ่ จนเธอสะดุ้งเบาๆเงยหน้าขึ้นมองพี่สาว

                “สร้อยแก้วหลับรึจ๊ะ พี่เหมียวใยมิเรียกปลุกจ๊ะ” สร้อยแก้วพูดด้วยสีหน้าปกติ

                “ไม่เป็นไรจ้ะ ง่วงก็งีบได้ นี่ยังกลางวันอยู่” เหมียวพูดยิ้มๆ เธอทั้งดีใจและผิดหวังที่สร้อยแก้วกลับมาเป็นคนเดิม

                “พระนางประไพ เราเหรอ ใครช่วยบอกหน่อย” เหมียวรำพึงเบาๆหันไปมองในวิหาร

                “พี่พูดอันใดจ๊ะพี่เหมียว” สร้อยแก้วถามได้ยินไม่ถนัด

                “ไม่มีอะไรจ้ะ” พี่สาวยิ้มให้แล้วลุกขึ้นเดินไปหยุดยืนอยู่ริมลำธาร

                ห่างออกไปไกลในผืนป่าโบราณ ท่านลุงไกรศักดิ์นั่งเอนหลังพิงโคนไม้ใหญ่ใกล้สระน้ำรูปวงกลม ทอดสายตามองไปยังพื้นที่ราบใกล้ๆกันที่มีร่องรอยซากฐานของสิ่งก่อสร้างเป็นตะปุ่มตะป่ำอยู่ พรานโละยืนอยู่บนเนินเตี้ยๆห่างจากที่ท่านไกรศักดิ์นั่งอยู่ไม่มากนัก เขาหมุนตัวมองไปรอบป่าเพื่อหาอะไรสักอย่างที่สามารถเป็นคำตอบหรือประโยชน์อะไรได้บ้าง

                “นายท่าน” โละร้องเรียกมา

                “ว่ายังไงโละ” ไกรศักดิ์ขยับจากเอนตัวนั่งตัวตรงขึ้น

                “ฉันจะยิงปืนอีกนะจ๊ะนายท่าน” โละบอก

                “ได้ มาเอาปืนนี่ยิงดีกว่า ปืนโละเสียงมันเบา” ไกรศักดิ์

                ท่านไกรศักดิ์ส่งไรเฟิลสงครามให้เมื่อพรานโละเดินเข้ามาหา เขาประทับปืนขึ้นบ่าแล้วลั่นไกออกไปทันที

                “ปัง”

                เสียงปืนดังก้องขึ้นอีกหนึ่งนัดเพื่อส่งสัญญาณออกไป พรานโละส่งปืนคืนให้แล้วนั่งลงข้างๆ

                “ป่าหนนี้ดั่งเคยเป็นเมืองจ้ะนายท่าน” โละพูด

                “มีเมืองโบราณอยู่ที่นี่แน่ๆ” ท่านไกรศักดิ์พูด

                “โละเคยได้ยินเรื่องเกี่ยวกับเมืองเก่าแก่ในป่าแถวบ้านเราบ้างมั้ย”

                “ฉันมิเคยรู้ว่ามีเมืองเก่า มิเคยมีผู้ใดเล่าถึงกันเลยจ้ะ” โละตอบ

                “ฉันอยากรู้ว่าเราออกมาในป่าลึกของเมืองมนุษย์ที่ยังไม่มีใครเข้ามาสำรวจ” นายท่านพูด

                “หรือว่าเรามาออกที่ป่าในภพอื่นกันแน่”

                “นายท่านคิดเห็นจะออกตามหาลูกหลานเมื่อใดจ๊ะ” โละถาม

                “พรุ่งนี้ เราจะเริ่มออกเดินกัน” ไกรศักดิ์ตอบ

                “เราจะเดินไปทิศใดนายท่าน” โละถามอีก

                ไกรศักดิ์ลุกขึ้นยืน พรานโละลุกตามขึ้นด้วย

                “โยนเหรียญ” นายท่านตอบยิ้มๆแล้วตบไหล่ชวน

            “ไป เราไปเดินเล่นรอบๆแถวนี้กัน”

                ไกรศักดิ์กับพรานโละสะพายปืนเดินสำรวจบริเวณรอบสระน้ำรูปวงกลมอีกครั้งในรัศมีห้าร้อยเมตร ทั้งสองเดินกันรอบหนึ่งแล้วเมื่อเวลาสายแต่ยังไม่พบอะไรนอกจากร่องรอยรากฐานของสิ่งก่อสร้าง รอบนี้ไกรศักดิ์หวังไว้ในใจว่าจะได้สัมผัสกับอะไรสักอย่างเมื่อใกล้พระอาทิตย์จะตกดิน ระหว่างทางพรานโละเก็บผลไม้ป่าใส่ย่ามไว้จนเกือบเต็มสำหรับมื้อเย็นของทั้งนายท่านและตัวเขาไปด้วย

                นายทหารใหญ่มาหยุดยืนมองเนินดินยกระดับสูงจากพื้นเกือบสองเมตร เขาแน่ใจว่าสภาพเนินสัณฐานขนาดสิบคูณยี่สิบเมตรด้านบนค่อนข้างราบเรียบนี้ต้องเป็นฝีมือมนุษย์อย่างแน่นอน ไกรศักดิ์หยุดนิ่งจ้องอยู่ครู่หนึ่งแล้วหันมาพยักหน้ากับพรานโละให้ตามขึ้นไปดูด้านบน
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่