ธารทิพย์ บทที่ 37

กระทู้สนทนา
ธารทิพย์

โดย อัศวรักษ์


ธารทิพย์ ยทที่ 36 http://pantip.com/topic/33280915

            ไฟฉายในมือพีดับแสงลงแล้ว ทุกคนหยุดฝีเท้ายืนอยู่ในความมืด

                “ไอ้โจ ฉายไฟหน่อย จะเปลี่ยนถ่าน” พีพูดมาในความมืด

                โจเปิดไฟฉายของเขาส่องแสงสว่างไปให้พีล้วงเอาถ่านไฟฉายสำรองในเป้ออกมาเปลี่ยน

                “เรามีไฟนี่ใช้ได้นานกี่เพลาจ๊ะ” สร้อยแก้วถามพีเบาๆ

                “ถ้าค่อยๆใช้ก็ได้หลายวันอยู่จ้ะ” พีตอบสร้อยแก้วที่ยืนอยู่ใกล้ๆ

                เขาใส่ถ่านไฟฉายใหม่สองก้อนลงไปในกระบอกไฟฉาย หมุนปิดฝาหลังของมันแล้วทดลองเปิดสวิทช์ให้แสงของมันฉายออกมา จากนั้นจึงเก็บถ่านเก่าที่หมดกำลังไฟแล้วลงในซอกกระเป๋าเล็กของเป้หลัง ชายหนุ่มตั้งใจจะไม่ทิ้งสิ่งประดิษฐ์ของมนุษย์ไว้ในสถานที่แห่งนี้

                สามสี่ชั่วโมงแล้วที่สิบสองฝ่าเท้ายังคงย่ำต่อไปข้างหน้า ความหนาวเย็นทุเลาลงเล็กน้อยอาจเนื่องมาจากภายนอกเป็นเวลากลางวัน หากเชื่อตามเข็มนาฬิกาที่อยู่บนข้อมือ ช่องโพรงของถ้ำคงสภาพอยู่เช่นเดิมอย่างมั่นคงดั่งจงใจกดดันให้มนุษย์เริ่มท้อแท้ต่อสภาพอันไร้จุดหมาย
    
            แม้จิตใจของทุกคนยังมุ่งมั่นอดทน แต่พื้นถ้ำที่ยังไต่ระดับชันขึ้นตลอดเวลาส่งผลให้ร่างกายอ่อนล้าลงทุกที เหน็ดเหนื่อยขาดอาหาร ความเย็นเยือกของอากาศรอบตัวก็ยังตามซ้ำเติม บีฑาพวกเขาอย่างไม่คิดจะปราณี “พวกเจ้าน้อมใจชดใช้มิใช่รึ” คำนี้อาจรำพึงจากสถานที่สักแห่งหนึ่งในฟ้าดิน

                เสียงคนลื่นล้มข้าวของกระทบกันดังขึ้น

                “โละ” ท่านลุงไกรศักดิ์เรียกชื่อ

                “พี หยุดก่อน” ท่านลุงส่งเสียงมาจากด้านหลัง

                สี่คนหยุดเดินหันกลับมาแล้วตั้งแต่ลุงไกรเรียกชื่อพรานโละ พีสาดไฟฉายกลับแล้วรีบเดินมาหาลุงไกรที่นั่งประคองพรานโละอยู่บนพื้นถ้ำ

                “พ่อจ๊ะ” สร้อยแก้วเรียกแล้วรีบวิ่งเข้ามาช่วยประคอง

                “เป็นยังไงบ้าง” ท่านไกรศักดิ์ถาม

                เหมียวรีบเข้ามาจับขาของพรานโละเหยียดออกแล้วค่อยๆจับหัวเข่าหน้าแข้งและข้อเท้าของเขาเพื่อดูอาการบาดเจ็บ

                “พี่โละเจ็บตรงไหนบ้างจ๊ะ” เหมียวถาม

                “ฉันมิเป็นเยี่ยงไรจ้ะ ฉันไถลจ้ะ เข่าขัดน้อยๆจ้ะ” พรานโละบอกอาการ

                “คงหมดแรง เอาอาหารออกมาให้โละซิ เอายาหม่องทาแล้วสวมสนับนี่ไว้” ท่านลุงสั่ง

                “ลูกเหมียวทำให้หน่อย” ท่านลุงหันไปบอกเหมียวแล้วส่งขวดยาหม่องกับสนับเข่าผ้ายืดจากเป้หลังให้

                เหมียวค่อยๆถลกขากางเกงของพรานโละขึ้นถึงเหนือเข่าถอดรองเท้าออกให้ บรรจงทายาหม่องจนทั่วหัวเข่าแล้วจับเท้าพรานโละยกขึ้นเพื่อสวมสนับเข่า จากนั้นจึงดึงขากางเกงกลับเข้าที่สวมรองเท้าให้จนเรียบร้อย เธอมิได้แสดงอาการรังเกียจแม้แต่น้อย ลุงไกร สร้อยแก้ว พีและโจเฝ้ามองอยู่ด้วยความรู้สึกขอบคุณต่อหญิงสาวลูกครึ่งฝรั่งเศส ที่แทบไม่มีเหตุผลเลยสักนิดว่าทำไมจะต้องมาลำบากลำบนกับพวกเขา

                ความรู้สึกเช่นนั้นพรานโละก็มีอยู่ด้วยเต็มหัวใจ เขาเฝ้ามองสิ่งที่เหมียวทำให้ด้วยใจที่มากกว่าคำขอบคุณ

                “ฉันสำนึกคุณของนายหญิงจ้ะ” พรานโละพูดแล้วพนมมือไหว้

                “ไม่เป็นไรพี่โละ ไหว้เหมียวทำไม” เธอพูดยิ้มหน้าชื่นที่ได้ทำให้

                “พ่อจ๊ะ” สร้อยแก้วเรียกพ่อโละแล้วส่งผลไม้ที่เฉาช้ำกับเห็ดย่างให้

                “กินซะก่อนโละ” ท่านไกรศักดิ์พูด

                พรานโละไม่ได้ยื่นมือไปรับจากลูกสาว เขานั่งนิ่งน้ำตาไหลลงมา

                “ฉันมิอยากจ้ะ ฉันยังมีแรงเดินจ้ะ” พรานโละก้มหน้าพูด

                “กินเถอะ กินซะ” ท่านไกรศักดิ์พูด

                “ฉันจะกินผู้เดียวได้เยี่ยงไรจ๊ะ” พรานโละยังยืนยันไม่รับ

                “พี่โละ กินเถอะนะ เราแข็งแรงไม่เท่ากัน ใครเริ่มล้มก็ต้องกินก่อน ไม่อย่างนั้นจะเดินกันต่อไม่ได้” โจพูด

                “ไอ้โจมันพูดถูกแล้วพี่โละ กินเถอะนะ” พีพูดเสริมจับแขนพรานโละให้เขาได้คิด

                “กินเถอะจ้ะพ่อ” สร้อยแก้วพูดแล้วยัดใส่มือให้พ่อพรานโละกิน

                พรานโละค่อยๆใส่ปากเคี้ยวก้มหน้าร้องไห้สะอึกสะอื้นไปด้วย ผลไม้เหี่ยวช้ำกับเห็ดย่างสองสามดอกสุดท้ายหมดลง จากนี้ไปพวกเขาไม่มีอาหารสำรองเหลืออีกแล้ว ข้างหน้าต่อไปฝากไว้กับชะตากรรมในอุ้งหัตถ์พญายมราชเท่านั้น

                ครอบครัวทั้งหกชีวิตนั่งพักอยู่ครู่ใหญ่รอให้แข้งขาเข่าของพรานโละและทุกคนได้คลายตัว

                “เดินต่อกันมั้ยครับ” พีพูด

                “โละไปไหวมั้ย” ท่านไกรศักดิ์หันไปถาม

                “จ้ะ” พรานโละรับคำแล้วขยับลุกขึ้น
    
            พวกเขาออกเดินต่อไป ลดฝีเท้าช้าลงเพื่อให้สมดุลกับสภาพร่างกายที่เริ่มมีปัญหาและความหิวที่เพิ่มทวีขึ้น

                อีกสองสามชั่วโมงต่อมาของการกัดฟันเดินด้วยความทุกข์ยากแทบสิ้นเรียวแรงในทุกมัดกล้าม แม้จิตจะตั้งมั่นอยู่ด้วยคำว่าขอยอมชดใช้ แต่เวลานี้พลังของกายหยาบใกล้หมดสิ้นลงเต็มที จากฝีเท้าที่ช้าลงช้าลงกลายเป็นแข้งขาหนักอึ้งที่ต้องฝืนลากไปในถ้ำอันมืดมิด

                หกชีวิตของครอบครัวทรุดนั่งลงเมื่อผ่านแนวโค้งของโพรงถ้ำมา ดวงตาเบิกโพลงด้วยความสิ้นหวัง ทัพหน้าคุกเข่าลงสาดแสงจากกระบอกไฟฉายไปเบื้องหน้า

                พื้นถ้ำที่ค่อยๆลาดชันขึ้นทีละน้อยตลอดทางที่ผ่านมา บัดนี้ชันเนินสูงขึ้นเหนือหัวทันที ด้วยระยะทางเกือบยี่สิบเมตรห่างจากที่พวกเขาทรุดกายนั่งอยู่คือสุดทางตัน สายน้ำเล็กๆยังคงรินไหลออกจากสุดพื้นที่ตรงนั้น

                ทัพหน้าคุกสองเข่าสูงก้มหน้ามองพื้นนิ่ง มีสร้อยแก้วคุกเข่าอยู่ข้างหลังมือเกาะไหล่เขาไว้เพื่อปลอบใจเขาและตนเอง เหมียวก็เช่นเดียวกัน หญิงสาวนั่งจับไหล่คนรักไว้หลับตาลงปลงใจแล้วที่จะตายร่วมกับเขา

                “ผมเสียใจที่นำหน้าทุกคนมาถึงทางตัน” พีพูดเบาๆ เขามีน้ำตาคลอออกมา

                “เรากลับไม่ได้ ไม่มีแรงเดินกลับอีกแล้ว” โจพูด เงยหน้ามองสุดทางนั้นด้วยน้ำตาคลอเช่นกัน

                “ตั้งสติกันไว้ เราต้องมีทางออก” ท่านลุงพูด

                “เรามีไดนาไมท์ติดมาสองลูกใช่มั้ยครับ” โจถามด้วยความคิดที่จะระเบิดก้นถ้ำเพื่อหาทางออก

                “เป็นไปไม่ได้ลูก โจ แรงอัดในที่จำกัดแบบนี้จะอัดเราจนเครื่องในแตก” ท่านลุงพูด

                “เราต้องตายก่อน เราถึงจะไปสู่วะสะธาราได้ ผมว่านะ” โจพูด

                “ถ้าฆ่าตัวตายไม่ได้ก็เท่ากับเราต้องอดและหนาวจนตายในนี้” พีพูด

                “จะนานเท่าไหร่กว่าจะตายวะเพื่อน” โจพูดกับพี

                “ไม่รู้ว่ะ คิดแล้วขนลุก” พีพูดแล้วหัวเราะหึหึอย่างยอมจำนน

                พีลุกขึ้นเดินไปห้าหกก้าวยืนมองพื้นถ้ำที่ลาดสูงเหนือหัวสุดปลายทาง น้ำที่รินไหลบนพื้นออกมาจากตรงที่นั้น

                “นั่นคงเป็นตาน้ำซับใต้ภูเขา” พีพูด

                “มีชุดดำน้ำยังไปไม่รอดเลย” พีพูดต่อ

                “ภาวนาเถอะ ให้สุดผนังถ้ำนั่นพังได้ไม่หนานัก” พีตั้งความหวัง

                ทัพหน้าฉุกความคิดหนึ่งขึ้นมา เขายืนนิ่งมองผนังถ้ำอยู่ครู่แล้วจึงพูดถึงสิ่งที่คิดนั้น

                “ถ้าทุกคนกัดฟันถอยไปให้ห่าง ให้ผมจุดไดนาไมท์เองล่ะ อาจมีคนเหลือรอดออกไปได้นะ” พีพูดจริงจัง

                “อาจทะลุออกไปภายนอกได้” พีพูดให้เหตุผล

                “ท่านพี่” สร้อยแก้วเรียกเขาด้วยความตกใจกลัวความคิดนั้น เธอเข้าสวมกอดเขาไว้แน่น

                “สร้อยแก้ว ฟังท่านพี่นะ พี่เชื่อว่าจะมีเพียงไม่กี่คนที่ไปถึงวะสะธารา พี่พร้อมสละ” พีพูดแล้วกอดเธอไว้

                เสียงร้องไห้โฮดังขึ้นจากหญิงสาวที่เขาโอบกอดไว้

                “เอ็งหยุดพูดความคิดนี้ กูไม่ยอม” โจตะโกนจ้องหน้าเพื่อนรัก น้ำตาไหลลงอาบแก้ม

                “เอ็งมีทางออกที่ดีกว่านี้มั้ยล่ะ” พีหันไปพูดกับเพื่อนด้วยน้ำเสียงเรียบเย็น

                “ยังไงกูก็ไม่ยอม ถ้าต้องทำอย่างนั้น กูทำเอง” โจยังตะโกนพูดร้องไห้อยู่อย่างนั้น

                “เอ็งทำไม่ได้” พีพูดเรียบๆ

                “ทำไม” โจตะโกนถาม

                “ฟังกูนะ เพื่อนรัก ทุกคนด้วย” พีเรียกให้ทุกคนฟังเขา

                “เราไม่ได้ไปถึงวะสะธารากันทุกคนหรอก เชื่อผมเถอะ” พีพูด

                “เราไม่รู้หรอกว่าจะต้องเสียใครบ้าง แต่ต้องเสียอย่างสมเหตุสมผล” พีพูดต่อ

                “เหตุผลอะไรของเอ็ง” โจตะโกนสวนกลับมา

                “ไอ้โจ ยอมรับเถอะนะว่าเราเหลือหนทางเดียว แม้ความหวังมันจะมีแค่เสี้ยว เราก็ต้องคว้าเอาไว้” พีค่อยๆพูด

                “ไม่อย่างนั้นตายกันหมดที่นี่ แล้วตายอย่างทรมานด้วยซิ” พีพูดหัวเราะหึหึ

                “ชนวนระเบิดมันก็สั้นนิดเดียว เราจุดมันจากระยะไกลไม่ได้”

                “เหลือแค่ทางเดียวคือใครคนนึงต้องจุด แล้วทีนี้ใครล่ะ” พีพูด

                “ก็กูไง เรื่องทั้งหมดมาจากครอบครัวกู” โจไม่ยอม

                “เข้าใจใหม่เพื่อน” พีพูด

                “กูรู้ เอ็งไม่อยากให้กูตาย กูก็รู้สึกเหมือนกับเอ็ง แต่..” พีพูดค้างไว้

                “กูทบทวนกับเอ็งนะเพื่อน ตั้งแต่วันที่ลุงไกรนั่งบนโต๊ะกระจก จนถึงวันนี้ เอ็งพูดเองว่าเชื่อแล้วสิ่งที่เป็นทิพย์”

                “ชะตาลิขิตให้กูเป็นทัพหน้า ก่อนหน้านี้กูก็ไม่เข้าใจ แต่ตอนนี้กูเข้าใจความหมายนั่นแล้ว ทัพหน้า”

                “นั่นคือหน้าที่ของกูต่อครอบครัว ไอ้โจ ครอบครัว ไม่ใช่เรื่องของเอ็งคนเดียวแล้ว” พีพูดน้ำตาไหล

                “กูยอมเห็นเอ็งตายต่อหน้ากูไม่ได้” โจพูดร้องไห้สะอึกสะอื้น

                “ไม่มีทางเลือกเพื่อน ไม่งั้นเอ็งจะต้องทนดูเหมียว สร้อยแก้ว คุณลุงแล้วก็พี่โละขาดใจตายต่อหน้า” พีพูด

                “เอ็งจะทนดูได้เหรอ” พีพูดต่อ

                “อย่าให้กูต้องทนดูอย่างนั้นเลยนะ” พีพูด

                “แล้วทำไมต้องเป็นเอ็ง” โจถาม

                ครอบครัวอีกสี่ชีวิตนิ่งเงียบสนิทฟัง มองมาที่พีกับโจ

                “คุณลุงรู้ดี เหมียวก็คงรู้” พีพูดหันไปมองลุงไกรกับเหมียว

                “ไอ้โจ การจะไปให้ถึงวะสะธารา ต้องมีอาทิตย์โสมอีกทั้งวาสนาไปด้วย”

                “ลืมแล้วรึยัง เอ็งเพิ่งจะเล่าความฝันของเอ็งแล้วไง เข้าใจรึยัง” พีพูดจ้องหน้าเพื่อนรัก

                “เอ็งต้องอยู่ เพื่อทำหน้าที่ของเอ็ง ไอ้โจ” พีพูด

                โจก้มหน้าลงร้องไห้สะอึกสะอื้นที่ต้องยอมจำนนต่อเหตุผลว่าต้องเสียเพื่อนรักของเขา เหมียวกอดเขาไว้ร้องไห้ไปด้วยกัน สร้อยแก้วปล่อยโฮออกมากอดคลุกหน้ากับอกพี เธอยังยอมรับไม่ได้

                ท่านลุงไกรศักดิ์ขยับเข้ามาหาพีจับไหล่ของเขาไว้

                “เราลองคิดวิธีอื่นก่อนลูก พี ลุงเองก็ยังยอมรับไม่ได้” ลุงไกรพูด

                “ผมรู้ คุณลุงยอมรับเหตุผลของผมได้ เหลือแค่ทำใจไม่ได้แค่นั้น” พีพูดจ้องหน้าลุงไกร

                “คุณลุงก็เคยพร้อมยอมสละชีวิตให้ประเทศชาติกับครอบครัวได้ ตอนนี้ผมก็รู้สึกเหมือนกับคุณลุงนั่นล่ะครับ”

                “ความตายมันวูบเดียวล่ะครับ แต่สวรรค์จะรู้ว่าผมไม่ได้ฆ่าตัวตาย” พีพูดจบ

                ท่านลุงไกรศักดิ์สวมกอดหลานชายไว้แล้วร้องไห้ นั่นเป็นเพียงไม่กี่ครั้งในชีวิตที่บุรุษผู้นี้จะหลั่งน้ำตาออกมา พรานโละเองก็ขยับเข้ามาสวมกอดสร้อยแก้วไว้อีกด้วย

                “ใยคนที่ข้ารักจึ่งต้องพรากไปจากข้าเยี่ยงนี้” สร้อยแก้วปล่อยแขนออกจากพีซบหน้าลงกับพื้นถ้ำสะอึกสะอื้น

                “เจ้าป่าเจ้าเขาเมตตาข้าด้วย” สร้อยแก้วกรีดเสียงร้องไห้ดังลั่นขึ้น

                ท่านพ่อไกรศักดิ์กับพ่อโละช่วยกันกอดประคองไว้ สร้อยแก้วกรีดเสียงร้องไห้อย่างน่าเวทนา เธอเกลือกกลิ้งอยู่บนพื้นถ้ำเหมือนใจจะขาด หญิงสาวไม่มีสติจะฟังคำปลอบใดๆได้อีกแล้ว เธอคร่ำครวญอยู่จนหมดสติแน่นิ่งไปท่านพ่อไกรศักดิ์จึงพยุงขึ้นจากพื้นถ้ำกอดเอาไว้

                “ขอระเบิดให้ผมครับ” พีพูด

                เขาตัดความรู้สึกรักใคร่ชอบชังออกจากใจแล้วเพื่อจะทำสิ่งที่คิดว่าสมควรทำ ชายหนุ่มไม่ยอมหันไปมองคนรักของเขาที่สลบแน่นิ่งอยู่ในอ้อมอกท่านพ่อของเธออีก
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่